บทที่ 353 เสี่ยวเว่ยได้รับบาดเจ็บ
บทที่ 353 เสี่ยวเว่ยได้รับบาดเจ็บ
จักรพรรดิวางสาส์นในพระหัตถ์ลง แล้วเงยพระพักตร์ถามเซี่ยเชียน “ท่านขุนนาง ตระกูลเซวียที่หมั้นหมายกับเจ้าในยามนั้น ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง? มีทายาทหรือไม่?”
เซี่ยเชียนส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “ตระกูลเซวียและตระกูลเซี่ยโดนพิพากษาร่วมกัน ลูกหลานในตระกูลต่างก็ถูกเนรเทศออกนอกเมือง หลายปีมานี้กระหม่อมยังไม่เคยเจอใครแม้แต่คนเดียวพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิส่งเสียงอุทานหนึ่งเสียง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็กล่าวขึ้นอีก “การหมั้นหมายนั้น ก็ต้องถูกยกเลิกอย่างนั้นสิ?”
ครั้นเห็นว่าจักรพรรดิเหมือนจะจริงจังกับเรื่องนี้ เซี่ยเชียนทำได้แค่กล่าวว่า “การหมั้นหมายไม่เคยถูกยกเลิก หลายปีนี้แม่นางเซวียเหมือนหยกที่เกิดรอยร้าว กระหม่อมไม่เคยได้รับข่าวใด ๆ และไม่เคยคิดเรื่องการแต่งงานด้วย”
พระขนงรูปดาบของจักรพรรดิค่อย ๆ ขมวดเข้าหากัน แล้วมองเซี่ยเชียนอย่างไม่เห็นด้วยแวบหนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “เจ้าก็ไม่ใช่เด็กแล้ว ไม่คิดจะแต่งงานจะมีความหมายอะไร? ต่อให้ตกหลุมรักแม่นางเซวียอีกครั้ง ก็ไม่สามารถรอคอยการหมั้นหมายที่ว่างเปล่าได้ เสียเวลาตัวเอง!”
เซี่ยเชียนเอือมระอากับนิสัยเอาแต่ใจตัวเองของจักรพรรดิไม่น้อย จึงทำได้แค่กล่าวว่า “กระหม่อมมีแผนแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิใช้นิ้วพระหัตถ์อันเรียวยาวเคาะโต๊ะ พลางหรี่พระเนตรลงและตรัสว่า “แผนอะไร? ข้าว่าเจ้าไม่มีแผนการอะไรนั้นหรอก”
เซี่ยเชียนไม่พูด
ครั้นจักรพรรดิเห็นว่าเขามีทิฐิสูง จึงทำได้แค่ผนึกเรื่องนี้ไว้อีกด้าน และกล่าวแค่ว่า “โชคดีที่ตอนนี้เจ้ายังไม่มีทีท่าจะแต่งงาน รอให้ข้าหาคนที่เหมาะสมได้ก่อน แล้วค่อยเอ่ยถึงเรื่องการแต่งงานของเจ้า”
นิสัยอันธพาลของเขา ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้อื่นคงทนไม่ไหวกันแล้ว ถึงอย่างไรมันก็คือการแต่งงานของตนเอง ย่อมไม่มีใครอยากให้จักรพรรดิทำการคัดเลือกให้
แต่เซี่ยเชียนไม่อยากแต่งงานกับคนที่ตนไม่รู้จัก คาดว่าจักรพรรดิต้องหาตัวเลือกมากแน่นอน อย่างไรแล้วเขาก็มีสิทธิ์ปฏิเสธ จึงไม่ได้เปล่งเสียงออกมาอีก
สองนายบ่าวพูดคุยกันอีกสองสามประโยค จักรพรรดิจึงปล่อยเซี่ยเชียนกลับไป
เซี่ยเชียนเพิ่งจะก้าวพ้นธรณีประตู ก็เจอะเจอกับใบหน้ายิ้มแย้มที่ต๋ากงกงมอบให้เขาจากด้านข้าง จากนั้นก็รุดขึ้นหน้า “ใต้เท้าเซี่ย ฝ่าบาทเป็นอย่างไรบ้าง?”
เซี่ยเชียนยืนนิ่ง แล้วกล่าวว่า “ทรงอารมณ์ดี”
กระทั่งเห็นต๋ากงกงทอดถอนใจยาว ๆ สีหน้าดูผ่อนคลายลง จึงส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “ใต้เท้าเซี่ยนะใต้เท้าเซี่ย ท่านช่างมีความสามารถในการดับไฟยิ่งนัก ครั้นเห็นท่าทางกลับมาจากราชกิจในวันนี้ของฝ่าบาท ถ้าไม่เรียกท่านมาช่วยพูด เกรงว่าคงเสียจอกชาไปอีกหลายจอกเป็นแน่”
หัวคิ้วของเซี่ยเชียนขมวดเข้าหากันเล็กน้อย แล้วกล่าวถาม “ช่วงนี้ฝ่าบาททรงกริ้วอยู่บ่อย ๆ หรือ?”
ต๋ากงกงไม่อยากปิดบังเขา แค่กล่าวว่า “ตอนนี้อากาศค่อนข้างร้อนระอุ อารมณ์ของฝ่าบาทก็มักจะหงุดหงิด อีกอย่างในราชสำนัก วังหลังต่างก็ไม่ได้ดั่งใจสักทีเดียว…”
เซี่ยเชียนกล่าวเสียงต่ำ “เมื่อเป็นเช่นนี้ คงต้องรบกวนกงกงหนักใจเสียหน่อย ให้เตรียมน้ำชาที่มีฤทธิ์ช่วยคลายร้อนถวายแด่ฝ่าบาทอยู่เสมอ ควรเชิญหมอหลวงมาตรวจชีพจรของฝ่าบาท ขาดไม่ได้เด็ดขาด ตอนนี้วังหลังยังไม่สงบ กงกงจะต้องละเอียดรอบคอบขึ้น”
ต๋ากงกงตอบรับ แล้วยืนส่งเซี่ยเชียนจากไป
เขาได้แต่ทอดถอนใจอยู่ในใจ ปกติแล้วใต้เท้าเซี่ยมักจะเป็นคนเย็นชา คาดไม่ถึงว่าหลังจากต้องเอาใจใส่ฝ่าบาทอย่างจริงจัง จึงยิ่งต้องมีความละเอียดเช่นนี้
ครั้นคิดได้เช่นนี้ เขาก็ขานเรียกอาเล่อที่อยู่ข้างกายไปยังโรงหมอหนึ่งรอบ เชิญหมอมาตรวจชีพจรให้แก่จักรพรรดิ
ยามที่ต๋ากงกงจัดการเรื่องราวเสร็จสิ้น แล้วเดินมายังทิศทางของตำหนักนั้น ก็เจอกับหลินเหราที่เฝ้ารักษาการณ์อยู่ด้านข้าง จึงกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าหลิน สองสามวันนี้เห็นเจ้าเฝ้าอยู่ข้างกายของฝ่าบาทตลอด คงลำบากไม่น้อย”
หลินเหราและเซี่ยเชียนมีความคล้ายคลึงที่ไม่สามารถพรรณนาออกมาได้ ความนิ่งสงบและเป็นที่พึ่งพิงได้ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ซึ่งทำให้ต๋ากงกงรู้สึกสนิทและเชื่อใจโดยปริยาย
กระทั่งได้ยินหลินเหรากล่าว “พระสนมกุ้ยเฟยสิ้นพระชนม์จากการป่วย เรื่องราวในวังก็ซับซ้อน การเฝ้าระวังยิ่งต้องเข้มงวดกว่าปกติ”
ต๋ากงกงยืนนิ่ง แล้วกล่าวกับหลินเหราว่า “ก็ไม่เชิง! แม้จะบอกว่าเป็นเช่นนี้ แต่สองสามวันนี้ใต้เท้าปฏิบัติหน้าที่ตลอด? จะไม่พักผ่อนหน่อยหรือ?”
หลินเหราส่ายหน้า แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “การเฝ้าอารักขามีการผลัดเวรยาม”
คนก่อนหน้าเดินเข้ามาในตำหนักด้วยท่าทีทอดถอนใจ พลางพูดในใจ ‘ใต้เท้าเซี่ย ใต้เท้าหลิน สองน้าหลานต่างก็ให้ความสำคัญต่อความปลอดภัยของจักรพรรดิ’
ต๋ากงกงไม่รู้ว่าตอนนี้เหยาซูลงใต้ไปแล้ว หลินเหราจึงต้องมาอาศัยอยู่ในห้องที่เหล่าขุนนางเตรียมไว้ให้กับองครักษ์ จึงสามารถเฝ้ารักษาการณ์ได้ทุกวัน
หลินเหราเฝ้ารักษาการณ์ภายในวัง เหยาเฉาทุ่มเทเวลาและแรงกายทั้งหมดมาเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของตู้เหิง
หลังจากที่กุ้ยเฟยสิ้นพระชนม์จากการป่วยแล้ว แม้ว่าจักรพรรดิจะยังไม่ยอมแพ้กับการคัดเลือกคนในทันที แต่กองกำลังที่ซุกซ่อนอยู่ในเมืองหลวงมาตลอดก็ช่างโง่เขลาไร้ปัญญาสิ้นดี ไม่มีผู้ใดยอมทิ้งโอกาสที่หาได้ยากยิ่งโดยการส่งกำลังคนไปครองตำแหน่งอยู่ในวังหลังได้หรอก
ตู้เหิงและเหมิงฉิงมีการไปมาหาสู่กันเป็นการส่วนตัว นับวันก็ยิ่งสนิทสนมมากขึ้น
ในเมืองหลวงไม่ว่าจะเป็นหลินเหราหรือเหยาเฉา การกระทำของพวกเขาต่างอยู่ในสายตาผู้อื่นตลอดเวลา มีเพียงคนเดียวที่จะช่วยทั้งสองคนเฝ้าดูพวกเขาได้ นั่นคือเสี่ยวเว่ยที่สะกดรอยตามโดยไร้ร่องรอยมาตลอด
สามวันก่อน เสี่ยวเว่ยเพิ่งได้รับข่าว บอกว่าตู้เหิงและเหมิงฉิงนัดไปเจอนอกชานเมือง เสี่ยวเว่ยจึงตามไป ส่วนเหยาเฉารอฟังข่าวของเขาอยู่ที่บ้าน
แต่หลังจากเฝ้ารอมาอย่างยาวนาน การรอคราวนี้คิดเป็นเวลาสามวัน ตู้เหิงปรากฏตัวในร้านค้าของเมืองหลวง แต่กลับไม่เห็นเสี่ยวเว่ยกลับมา
เหยาเฉาเริ่มร้อนใจอยู่เงียบ ๆ ในใจ
วันนี้สะใภ้รองเหยาตั้งใจจะออกจากบ้าน คิดว่าเหยาเฉาอยู่บ้าน จึงตั้งใจจะมาพูดคุยกับเขา
ครั้นเห็นเขาอ่านตำราเล่มหนึ่งอยู่เป็นครึ่งวันใหญ่ สะใภ้รองเหยาจึงอดถามขึ้นด้วยความแปลกใจไม่ได้ “ทำไม อาเหราอยู่ในวัง สองสามวันนี้ท่านก็เลยขี้เกียจเช่นนั้นสิ? ไม่ไปทำหน้าที่ วัน ๆ เอาแต่อ่านหนังสือ กลัวว่าเมื่ออาซูกลับมา จะเป็นเดือดเป็นร้อนแทนสามี!”
เหยาเฉาทำได้แค่ยิ้ม จากนั้นก็ชูหนังสือในมือขึ้น พร้อมกล่าวว่า “ไม่ง่ายเลยที่จะมีเวลาว่างสบาย ๆ สักวัน ก็เลยทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ ตำราเก่าในสมัยก่อน ยังใช้แผ่นไม้ไผ่แกะสลักอยู่เลย ตัวอักษรล้วนเข้าใจยาก อ่านแล้วต้องใช้สมาธิอย่างมาก ข้ากำลังวิเคราะห์เรื่องนี้”
สะใภ้รองเหยาไม่เข้าใจ “จะเป็นตัวอักษรกี่ปีก็แล้วแต่ ตอนนี้แม้แต่จะใช้ก็ยังไม่มีใครใช้เลย ท่านจะวิเคราะห์มันไปเพื่ออะไร?”
เหยาเฉาปิดแผ่นไม้ไผ่นั้น แล้วส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “เจ้าช่างไม่เข้าใจอะไรเสียเลย ตัวอักษรบางตัวในสมัยก่อน ตอนนี้ยังใช้ได้ในค่ายทหาร เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนสกัดกั้นการส่งข่าวในค่ายทหาร เช่นนั้นแล้วเจ้าว่าการวิเคราะห์เรื่องนี้มีประโยชน์หรือไม่เล่า?”
สะใภ้รองเหยายังไม่เข้าใจ จึงได้พึมพำออกไป “เจ้าไม่ต้องไปเข้ากองทัพแล้วกระมัง หลังจากวิเคราะห์เรื่องนี้เสร็จแล้ว ก็ตั้งใจสอนเหยาเอ้อหลางอยู่ในบ้าน วันข้างหน้าจะได้เป็นกำลังใจให้ลูกชายของเจ้าลงสนามรบ!”
สองสามีภรรยาอยู่ด้วยกันทุกวัน เรื่องจู้จี้จุกจิกก็มีมากไม่ใช่น้อย แต่เหยาเฉาไม่ได้มีนิสัยชอบคิดเล็กคิดน้อย และไม่เคยตีความถ้อยคำเสียดสีของสะใภ้รองเหยาให้มันเลยเถิดแต่อย่างใด ทำเพียงแค่กล่าวว่า “เอาละ ข้าไม่อ่านก็ได้? ลูกเล่า? ข้าจะไปเล่นกับเขาเสียหน่อย”
ความอึดอัดใจเล็ก ๆ ของสะใภ้รองเหยาเมื่อครู่จางหายไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ชี้ไปยังอีกด้านของกำแพง และกล่าวว่า “ไม่ต้องใช้ท่านหรอก วันนี้ต้าหลางและเอ้อหลางเด็กสองคนนั้นอยู่ด้วยกันทุกวัน ไม่ต้องให้ผู้ใหญ่มาสนใจ เอ้อหลางเป็นเด็กแข็งแรง หลายวันมานี้จึงดูสุขุมขึ้นไม่น้อย”
เหยาเฉากล่าวด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เพราะฮูหยินสอนมาดี”
สะใภ้รองเหยายิ้ม “หยุดหยอกเย้าข้าได้แล้ว! สองสามวันนี้ไหน ๆ ท่านก็อยู่บ้านแล้ว พักผ่อนเถอะ ข้าไม่รบกวนท่านแล้ว”
กล่าวจบ นางก็กล่าวลากับเหยาเฉา จากนั้นก็ตามสะใภ้ใหญ่เหยาไปร้านอาหารทันที
เหยาเฉายกตำราแผ่นไม้ไผ่ที่อ่านเมื่อครู่ขึ้นมาอีกครั้ง แล้วทำการวิเคราะห์ ส่วนในใจก็ค่อย ๆ ข่มความกังวลในใจระหว่างตัวอักษรแปลกตาเหล่านั้น
ผ่านไปอีกหนึ่งวัน เสี่ยวเว่ยก็ยังไม่มีการเคลื่อนไหวแม้แต่น้อย
กระทั่งยามราตรี ทุกคนในตระกูลเหยาหลับกันหมดแล้ว เสียงนกร้องอันคุ้นเคยขับขานเป็นท่วงทำนองปกติ เหยาเฉาพลันสะดุ้งตื่นจากความฝัน
เขาคลุมเสื้อแล้วเดินออกมาจากห้องนอน แสงจันทร์ดุจสายน้ำ สาดส่องไปทั่วทั้งจวน ทำให้เงาไม้ที่โบกพลิ้วไสวทอดยาวลงมาเกิดการแบ่งแยกชัดเจน
ใต้ต้นไม้ใหญ่ของจวน มีร่างเงาอันคุ้นเคยยืนอยู่ที่นั่นจริง ๆ
เหยาเฉาเร่งฝีเท้ารุดขึ้นหน้า แล้วกล่าวเสียงต่ำ “ทำไมเพิ่งกลับมา? เจอกับเรื่องราวที่แก้ไขยาก ก็เลยล่าช้าใช่หรือไม่?”
เด็กหนุ่มชุดดำไม่พูดสิ่งใด ใบหน้าซีดเผือดที่สะท้อนอยู่ใต้แสงจันทร์ ยิ่งทำให้ไร้เลือดฝาดอย่างชัดเจน
เหยาเฉาขมวดคิ้วแล้วเดินมาตรงหน้าของเด็กหนุ่ม ใคร่ถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าเสี่ยวเว่ยที่ยืนตัวตรงจู่ ๆ ก็ล้มลงมาทิศทางของเขา
“เสี่ยวเว่ย!”
เหยาเฉาย่อตัวลงประคองเด็กหนุ่มไม่ให้เขาล้มกระแทกพื้น แต่ลมหายใจของคนที่อยู่ในอ้อมแขนค่อนข้างถี่รัว เขาใช้แขนโอบร่างของเด็กหนุ่มไว้ กระทั่งสัมผัสได้ถึงความเหนียวหนืดที่เย็นเยือกกองหนึ่ง
เขาก้มหน้าลงมองสีแดงที่เปื้อนบนฝ่ามือ ในใจก็พลันเย็นเยียบอย่างอดไม่ได้
ชุดดำของเด็กหนุ่มทำให้มองไม่ออก แต่ความจริงแล้วบนร่างกายนั้นกลับเต็มไปด้วยโลหิตสด…
……………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
นังตู้ในชาตินี้น่าจะลงเอยกับท่านอ๋องน้อยหรือเปล่านะ
ไม่นะ เสี่ยวเว่ยไปบาดเจ็บจากที่ไหนมา
ไหหม่า(海馬)