บทที่ 359 การเคลื่อนไหวของราชสำนัก
บทที่ 359 การเคลื่อนไหวของราชสำนัก
วันรุ่งขึ้น เหยาซูและหลินเหราต่างก็เริ่มยุ่งตัวเป็นเกลียวอีกครั้ง
สถานการณ์ในราชสำนักตกสู่สภาวะเคร่งเครียดมาโดยตลอด เพราะเรื่องที่เสี่ยวเว่ยไปได้ยินบทสนทนาระหว่างเหมิงฉิงและตู้เหิงในชานเมืองก่อนหน้านั้นถูกจับได้ การเคลื่อนไหวในช่วงนี้ของเหมิงฉิงจึงต้องหยุดชะงักลงโดยสมบูรณ์
ดังนั้น หลินเหราและเหยาเฉาจึงมุ่งความสนใจมาที่การจัดกำลังคนลาดตระเวนอยู่รอบตัวจักรพรรดิอย่างรอบคอบ ส่วนเรื่องอื่นนั้นไม่จำเป็นต้องสนใจนัก
แต่ทางฝั่งของเหยาซูนั้นแตกต่างนางใช้เวลาเดินทางเป็นเดือนเศษ ทำให้เรื่องที่ต้องจัดการในภัตตาคารสุมกองพะเนินเป็นภูเขา อีกทั้งยังต้องเตรียมพร้อมเปิดร้านขายผ้าเหยาจี้อีกด้วย ซึ่งมันทำให้หญิงสาวยุ่งจนหัวหมุนเลยทีเดียว
โชคดีที่ได้รับการช่วยเหลือจากพี่สะใภ้ทั้งสองคน สถานที่ตั้งของร้านจึงถูกเลือกไว้หลายแห่งแล้ว รอแค่เหยาซูกลับมาดู
เช้าวันนี้ ทั้งสามคนออกจากบ้าน ปล่อยให้คนกลางพาเดินวนรอบเมืองหลวง
หลังจากเดินวนไปแล้วหนึ่งรอบ พวกนางก็กลับมายังร้านอาหาร และนั่งปรึกษาหารือกัน
เมื่อเหยาซูชงชาเสร็จก็หันมาคุยกับพี่สะใภ้ทั้งสองคน “ลำบากพี่สะใภ้ใหญ่แล้ว สถานที่ที่เลือกมาเหล่านี้ ถือว่าใช้ได้ทีเดียว”
สะใภ้ใหญ่เหยายิ้มพลางโบกมือไปมา “เอาความลำบากที่เจ้าพูดไว้ใช้กับอาเวยเถอะ สองสามวันนี้นางเป็นฝ่ายวิ่งวุ่นหาหน้าร้าน ข้าไม่ได้ออกแรงเลยแม้แต่น้อย”
เหยาซูยิ้มและกล่าวขอบคุณพี่สะใภ้รองเหยา
เดิมทีพี่สะใภ้รองเหยามีนิสัยง่าย ๆ สบาย ๆ นางเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ แค่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ได้วนดูร้าน มันทำให้ข้าเข้าใจเมืองหลวงขึ้นไม่น้อย พี่สะใภ้ใหญ่ อาซู พวกเจ้าคิดว่า สถานที่ที่เราไปดูกันมาวันนี้ ที่ไหนเหมาะสมยิ่งกว่ากัน?”
สะใภ้ใหญ่เหยากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะไปรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร! อาซูมาดูเองเถอะ”
เหยาซูยกจอกชาขึ้นจิบ พร้อมกับครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ร้านเหล่านี้มีขนาดแตกต่างกันไม่มาก พี่สะใภ้รองหาตามมาตรฐานนี้ใช่หรือไม่?”
สะใภ้รองเหยาพยักหน้า
เหยาซูจึงพูดต่อ “จากมุมมองร้านตัวเอง ก็ไม่แตกต่างกันมากนัก คิดว่าพี่สะใภ้รองจะต้องเลือกอย่างละเอียดแล้วหนึ่งรอบ จึงค่อยพาข้าและพี่สะใภ้ใหญ่ไปดู”
สะใภ้ใหญ่เหยาทอดถอนใจ “ก็ไม่เชิง! เจ้าไม่อยู่ตั้งหนึ่งเดือน อาเวยก็ยุ่งหัวปั่น น่าเสียดายที่ข้าเองก็ไม่ได้ช่วยอะไร…”
สะใภ้รองเหยายิ้ม “จะอะไรกันนักหนา ทุกคนก็คือครอบครัวเดียวกัน จะมานั่งแยกว่าใครช่วยมากใครช่วยน้อยอีกทำไม? สถานที่ที่ข้าเห็นวันนี้ จริง ๆ มันก็ต่างกันไม่เท่าไร”
เหยาซูส่ายหน้า “ที่พี่สะใภ้รองหามาก็ใช้ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องพึงพอใจตามข้อกำหนดของเรา ข้าต้องตาต้องใจเพียงที่เดียว”
พี่สะใภ้ทั้งสองคนไม่ค่อยรู้เรื่องการทำการค้ามากนัก จึงเอ่ยด้วยความสงสัย “ที่ใด?”
เหยาซูจิบชาหนึ่งคำ แล้วค่อย ๆ วิเคราะห์ออกมา “เราอาศัยอยู่ทางทิศตะวันตกของเมือง การหาหน้าร้านที่เหมาะสมในทิศตะวันตกของเมืองย่อมดีที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นคนที่อาศัยอยู่ที่นี่ ส่วนใหญ่มีสินทรัพย์มรดก และไม่สูงเกินเอื้อม นั่นคือสถานที่ที่มีลูกค้า”
ทั้งสองคนพยักหน้า “เป็นเช่นนี้”
เหยาซูพูดต่อ “แต่พี่สะใภ้ทั้งสองคนต้องคิดไตร่ตรองให้ดี สิ่งที่เราจะเปิดคือร้านขายผ้า แล้วค่อย ๆ ขยายกิจการเป็นร้านขายผ้าสำเร็จรูป ร้านขายผ้าและเสื้อผ้าสำเร็จรูปนี้ แบบไหนคนจะมากกว่ากัน?”
ร้ายขายผ้าเหยาจี้อยู่ในความดูแลของเหยาเฟิงมาตลอด สะใภ้ใหญ่เองก็ได้รับอิทธิพลมาจากสิ่งที่ได้ยินได้เห็นอยู่ทุกวัน มักจะได้ยินเขาพูดถึงเรื่องในร้านขายผ้าไม่น้อย จึงมีความเข้าใจบ้าง
หญิงสาวเอ่ยปาก “ถ้าจะบอกว่ามากที่สุด ก็น่าจะเป็นร้านที่พวกผู้หญิงมักชอบไปเดินเล่น”
เหยาซูยิ้มและพยักหน้า “พี่สะใภ้ใหญ่พูดถูก ร้านที่เราไปดูแล้วก็สามารถจำกัดให้เหลืออยู่แค่สามร้าน“
นางพูดตำแหน่งของร้านทั้งสามอีกครั้ง ทั้งสองคนจึงเข้าใจในทันที “บริเวณโดยรอบของสถานที่เหล่านี้มีทั้งร้านขายชาด แป้งน้ำ ร้านน้ำชา…”
เหยาซูพูดอีกว่า “ความจริงแล้วที่ตั้งของทั้งสามร้านไม่แตกต่างกันนัก แต่มีเพียงหนึ่งร้าน ที่มีร้านขายผ้าอื่นเปิดอยู่ในละแวกนั้น”
สะใภ้รองย่นคิ้วเล็กน้อย แล้วเอ่ยด้วยความไม่เข้าใจ “หรือว่าเราควรหลีกเลี่ยงเปิดร้านขายผ้าแห่งนี้? ถ้าเราไปเปิดถัดจากพวกเขา กิจการนี้อาจมีการแข่งขัน…”
เหยาซูส่ายหน้า “พี่สะใภ้รอง ร้านขายผ้าและร้านอาหารมันไม่เหมือนกัน ถ้าร้านอาหารสองร้านเปิดตรงข้ามกัน ย่อมกลายเป็นคู่แข่งที่ต้องสู้กันเพื่อกิจการ แต่ถ้าเป็นสิ่งของที่ผู้หญิงชอบเดินซื้อ หวังจะได้เดินเล่นในร้านขายผ้าทั้งสองแห่ง เลือกในสิ่งที่ตัวเองชอบ พวกเขาจะดูแค่ร้านเดียวแล้วไม่ไปร้านอื่นแล้วหรือ?”
สะใภ้ใหญ่เหยาและสะใภ้รองเหยาต่างก็สบตากัน แล้วพากันพยักหน้า
สะใภ้รองเหยาจึงเอ่ยถามอีกว่า “แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่การเปิดมันด้วยกัน มันสร้างประโยชน์อะไรต่อเราเล่า?”
เหยาซูยิ้ม “พี่สะใภ้รอง พี่ลองคิดดูสิ! ร้านขายผ้าร้านใหม่ของเรา เดิมทีไม่ได้มีชื่อเสียงอะไร ไม่ได้เป็นที่รู้จัก แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นที่คุ้นเคยของคนในเมืองที่ต้องการซื้อผ้า ถ้าเลี้ยวมาแล้วเจอเรา จะไม่ถือโอกาสเข้ามาดูสักหน่อยหรือ?”
ทั้งสองคนเข้าใจอย่างฉับพลัน จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาซูนะอาซู เจ้าช่างเป็นสมบัติล้ำค่าในครอบครัวเราโดยแท้จริง ทำกิจการก็คิดมากกว่าผู้อื่น”
เหยาซูส่ายหน้า จิบชาในมืออีกครั้ง แล้วพูดว่า “นอกจากที่ตั้งแล้ว ก็ยังต้องคิดไตร่ตรองเรื่องอื่นด้วย เรามาระดมความคิดตัดสินใจเรื่องสถานที่ภายในสองสามวันนี้กันเถอะ”
สะใภ้ทั้งสองของตระกูลเหยาตั้งใจฟังข้อสำคัญในการเลือกร้านจากนางไม่น้อย ต่างทยอยกันทอดถอนใจกับความยุ่งยากของการทำการค้า
สะใภ้ใหญ่ทอดถอนใจ “มิน่าเล่าบางร้านหลังจากเปิดกิจการได้ไม่นานก็ต้องปิดตัวลง การหาเลี้ยงชีพเช่นนี้ จะก้าวหน้าได้อย่างไรกัน!”
สะใภ้รองเหยาคล้อยตาม ด้วยการพูดต่อ “จากที่เจ้าพูด สถานที่ที่เหมาะสมที่สุดแห่งนั้น กลับกลายเป็นไม่เหมาะสม”
เหยาซูยิ้มแล้วพูดปลอบใจทั้งสองคน “พี่สะใภ้วางใจเถอะ การเลือกร้านเป็นเพียงก้าวหนึ่งเท่านั้น ยังไม่เจอร้านที่มีข้อบกพร่องมากมายก็ไม่เป็นไร ไม่มีร้านที่สมบูรณ์ไปเสียทุกอย่าง ตราบใดที่วัสดุผ้าของเราดี ราคาเหมาะสม การนำเข้าส่งออกคงที่ กิจการย่อมค่อย ๆ ดีขึ้นแน่นอน”
เมื่อพูดเช่นนี้ สะใภ้ทั้งสองคนเริ่มมีความสนใจในกิจการเพิ่มมากขึ้นแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสะใภ้รองเหยา นางยังคุยเรื่องกิจการขายผ้าสำเร็จรูปในภายภาคหน้ากับเหยาซู “ได้ยินว่าอาซูมีสหายคนหนึ่งค้าขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปใช่หรือไม่? ต่อไปนางจะมาช่วยเราในเมืองหลวงหรือไม่?”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ ดวงตาของเหยาซูก็เปล่งประกาย ก่อนจะยิ้มและพยักหน้า “ใช่! เถ้าแก่เนี้ยคนนี้มีแซ่ว่า ‘เซวีย’ แม้ว่าจะเป็นสตรี แต่กลับมีความรู้เรื่องการเดินทางไม่น้อย เสื้อผ้าที่นางเลือก ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหรือความสบาย ก็ล้วนไม่เป็นสองรองใครในเมืองชิงถงทีเดียว…”
สะใภ้ทั้งสองคนของตระกูลเหยาต่างสบตากัน แล้วพูดขึ้นด้วยความสงสัย “เราอยู่ในเมือง ไม่เคยได้ยินร้านขายเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่เป็นของตระกูลเซวียมาก่อน”
เหยาซูอธิบาย “พี่สะใภ้ไม่ชอบไปเดินเล่นในเมือง พี่เซวียไม่ค่อยอยู่เมืองชิงถงนัก แต่ทุกครั้งที่ประชุมกันจะจ้างรถมาที่นี่ ข้าเคยคุยกับนางหลายครั้งแล้ว ก็เลยค่อย ๆ สนิทกัน คิดว่านางจะต้องมีรสนิยม เป็นคนที่มีความคิดแน่นอน”
สะใภ้รองเหยากล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาซูไม่ค่อยชื่นชมคนอื่น ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าชักอยากเจอคนผู้นี้ใจจะขาดเสียแล้วสิ”
เหยาซูเห็นทั้งสองคนมีความสนใจ จึงอดพูดด้วยความดีใจไม่ได้ “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง เราเปิดร้านกันก่อน กลับมาข้าจะเขียนจดหมายหาพี่เซวีย ให้นางมาช่วยแนะนำเราในเมือง แต่จะรั้งพี่เซวียได้หรือไม่นั้นจะต้องขึ้นอยู่กับเราแล้วเจ้าค่ะ”
สะใภ้ใหญ่รู้สึกตื่นเต้นในใจ ก่อนจะถามขึ้น “จากที่ได้ฟังอาซูพูด เถ้าแก่เซวียผู้นี้ยังไม่แต่งงานใช่หรือไม่?”
เหยาซูส่ายหน้า “แม้ว่าข้า พี่เจี่ยงและพี่เซวียจะรู้จักกันมานาน มีความสนใจคล้ายกัน แต่พี่เซวียไม่ค่อยเล่าเรื่องตัวนางให้ข้าฟังนัก เรื่องในครอบครัว เราเอ่ยถึงน้อยมาก”
สะใภ้ใหญ่ได้ยิน ก็เข้าใจทันทีจึงได้แต่ทอดถอนใจเบา ๆ หนึ่งเสียง “สตรีที่โดดเด่นเช่นนี้ คิดว่าต้องมีประสบการณ์ที่คนอื่นไม่เข้าใจ และจนปัญญาที่จะพูดเรื่องนี้กับผู้อื่น…”
สะใภ้รองเหยาค่อนข้างใจกว้าง ทำได้แค่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เหตุใดพี่สะใภ้ใหญ่ยังกลัดกลุ้มใจ? แม้จะร่อนเร่แต่เถ้าแก่เนี้ยเซวียก็ได้รู้จักสหายอย่างอาซู ต่อไปไม่แน่ว่าก็อาจจะกลายเป็นสหายกับเราก็ได้! นี่สินะที่เรียกว่าเป็นบ้านทุกหัวระแหง สร้างความสุขด้วยตัวเอง”
สะใภ้ใหญ่เหยายิ้มให้กับเหยาซู
เหยาซูจึงพูดขึ้นว่า “ในเมื่อพี่สะใภ้ทั้งสองคนสนใจพี่เซวียเช่นนี้ ทางนี้ข้าจะส่งจดหมายไปหานาง ถามนางว่าช่วงนี้พอจะมีเวลาบ้างหรือไม่ ให้นางมาเมืองหลวงสักรอบ ถ้าบังเอิญก็น่าจะมาร่วมวางแผนให้กับร้านของเรา!”
พี่สะใภ้ทั้งสองคนของตระกูลเหยาพากันพยักหน้า “รีบเขียนจดหมาย รีบเขียนจดหมายเลย ให้นางมานี่เดี๋ยวนี้…”
……………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ว้าว จะเปิดร้านขายผ้ากันแล้ว แถมยังจะดึงเถ้าแก่เนี้ยเซวียมาอีก มีแววว่ากิจการต้องรุ่งเรืองแน่
ไหหม่า(海馬)