บทที่ 395 ข่าวลือของเด็กทั้งสาม
บทที่ 395 ข่าวลือของเด็กทั้งสาม
ทางด้านของเหยาเฉาได้นำคนที่ปลุกระดมฝูงชนกลับมายังศาลต้าหลี่ พวกเขาจำเป็นที่จะต้องสอบสวนเพื่อหาหลักฐาน ขณะที่เด็กทั้งสามก็ได้เริ่มแผนการแก้แค้นร้านขายผ้าของตู้เหิงแล้ว
พวกเขาไม่สนใจผู้ใด เพียงต้องการโค่นล้มอีกฝ่ายเพื่อระบายความแค้นให้สะใภ้ใหญ่เหยา
เอ้อหลางเสนอแผนการมาสองแผน แต่กลับโดนอาซือปฏิเสธ
“ที่พี่รองเสนอมา ต่อให้เราวิ่งเข้าไปก่อเรื่องโดยตรงหรือคอยขัดขวางพวกเขาเงียบ ๆ ทั้งสองอย่างนี้พวกเราก็ไม่อาจทำสำเร็จได้”
เอ้อหลางขมวดคิ้ว “พวกเขาให้คนมาก่อเรื่องที่ร้านขายผ้า เหตุใดพวกเราถึงไม่สามารถโต้ตอบได้เล่า?”
อาซือจ้องมองที่ต้าหลาง ราวกับว่าเด็กชายมีเจตนาอะไรบางอย่าง จึงกล่าววิเคราะห์อย่างใจเย็น “อีกฝั่งหาเรื่องก่อกวน แต่ละคนต่างก็เป็นคนหนุ่มร่างกายกำยำสูงใหญ่ แม้แต่เถ้าแก่อู๋และคนในร้านก็ยังไม่สามารถรับมือกับพวกเขาได้ ถ้าพวกเราทั้งสามบุกไปที่ร้านโต้ง ๆ จะทำอะไรได้? เพียงร้องตะโกนไม่กี่คำจะไม่โดนจับหรือ?”
เหยาเอ้อหลางกล่าวขึ้น “ถ้าพวกเขาจะจับ แล้วพวกเราวิ่งหนีไม่ได้หรืออย่างไร?”
ใบหน้าของอาซือเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่ทำอะไรไม่ได้นอกจากส่ายหัวออกมา “วางแผนเสียใหญ่โต แต่สุดท้ายก็ใช้ไม่ได้สักเรื่อง แผนนี้ง่ายดายมาก ๆ หากจะแหวกหญ้าให้งูตื่น เรื่องขาดทุนเช่นนี้ เหตุใดพวกเรายังต้องทำมันอีกเล่า?”
เหยาต้าหลางที่ถูกน้องสาวกระตุ้นก็เอ่ยกับเหยาเอ้อหลางขึ้นมา “คนงานในร้านของอีกฝ่ายดูเหมือนว่าจะยั่วยุไม่ได้ง่าย ๆ ถึงเวลานั้นเกรงว่าพวกเราจะไม่ได้แก้แค้น แต่จะถูกจับตัวไปแทนน่ะสิ”
เหยาเอ้อหลางที่เห็นว่าเขาทั้งสองต่างก็ไม่มีใครเห็นด้วยกับแผนการของกันและกัน จึงเอ่ยขึ้น “เอาละ เอาละ เช่นนั้นพวกเจ้าคิดแผนการกันมา อย่างไรข้าก็ไม่มีข้อคิดเห็นอยู่แล้ว”
เหยาต้าหลางครุ่นคิด “ความคิดของเอ้อหลางคือมีเรื่องกับผู้คน พวกเราทั้งสามคนต่างก็ไม่มีใครสู้ไหว อย่างไรก็ต้องหลีกเลี่ยงวิธีที่ทำให้เกิดการขัดแย้งซึ่งหน้า ถ้าเราเริ่มลงมือจากร้านผ้าคงจะดีกว่า”
เอ้อหลางยังไม่ทันจะเข้าใจความหมายในสิ่งที่พี่ใหญ่เอ่ย ก็ได้ยินอาซือเอ่ยขึ้นในเวลาต่อมา “พี่ใหญ่พูดได้ถูกต้อง ถ้าพวกเราสามารถทำให้กิจการของอีกฝ่ายเสียหายได้ ก็นับว่าเป็นการแก้แค้น เมื่อเทียบกับการต้องบุกไปถึงร้านของพวกเขา วิธีนี้ใช้ได้มากกว่าตั้งเยอะ”
เหยาเอ้อหลางเอ่ยถาม “พูดได้ดี แล้วจะทำอย่างไรถึงจะทำลายกิจการของพวกเขาได้?”
เวลานั้นต้าหลางไม่ได้มีแผนการอะไร แต่เป็นอาซือที่เสนอขึ้นมาแทน “พวกเขาบอกว่าร้านขายผ้าเหยาจี้ของพวกเราแย่งลูกค้าของพวกเขาไป ใช้วิธีการที่สกปรก เปลี่ยนขาวให้เป็นดำ เช่นนั้นพวกเราก็ทำได้เหมือนกัน”
เด็กชายทั้งสองรอให้อาซือกล่าวต่อ
เด็กหญิงกล่าวต่อ “ในพวกเราทั้งสามคน ไม่ว่าพี่ใหญ่หรือพี่รองต่างก็ไม่มีใครรู้จัก ข้าเองก็ไปโผล่หน้าไปที่ร้านขายผ้าอยู่น้อยครั้ง ข้าว่าทำไมพวกเราไม่แกล้งทำเป็นว่าโดนกระทำ แสร้งร้องไห้โวยวายตรงทางเดินระหว่างทางไปร้านขายผ้าเพื่อเป็นการทำลายชื่อเสียงของร้านพวกเขาเล่า”
เอ้อหลางตะลึงจนพูดไม่ออก “นี่ นี่คือนับว่าเป็นแผนการอะไรกัน?”
เหยาต้าหลางขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ข้าเกรงว่าผลลัพธ์มันจะออกมาไม่ดี”
อาซือหัวเราะ “ผลลัพธ์มันจะออกมาไม่ดีได้อย่างไร ข้าเคยได้ยินมาว่า วัสดุเสื้อผ้าของเสื้อผ้าสตรีร้านนั้น ทุกชนิดล้วนมีกลิ่นหอม จุดเด่นของร้านพวกเขาจุดนี้ ดึงดูดลูกค้าผู้หญิงได้มากมาย พวกเราก็ลงมือจากจุดนี้สิ”
เหยาต้าหลางสบตากับเหยาเอ้อหลาง ทั้งคู่ต่างก็ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
อาซือเบะปาก “แม้แต่สถานการณ์ของศัตรูก็ยังไม่รู้ แต่กลับคิดจะไปเล่นงานผู้อื่น จะโดนผู้อื่นเล่นงานกลับสิไม่ว่า!”
เหยาเอ้อหลางหัวเราะ “พูดได้ชาญฉลาด เอ้อเป่าของพวกเรานี่หลักแหลมเสียจริง ๆ เจ้ารีบบอกมาเถอะจะต้องทำอย่างไรต่อไป?”
เด็กหญิงครุ่นคิด กล่าวขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์ “ข้ามีแผนการแล้ว ท่านพี่ทั้งสองมาดูกันเถอะ จะต้องทำให้ชื่อเสียงร้านขายผ้าของพวกเขาเสื่อมเสียอย่างแน่นอน”
เด็กทั้งสามไม่ได้บอกแผนการครั้งนี้กับใคร เมื่อพวกเขาเตรียมการเสร็จก็ออกไปทันที
เมื่อเดินไปถึงถนน เหยาเอ้อหลางมองดูการแต่งตัวของน้องสาว ภายในใจก็มีความรู้สึกสับสนเล็กน้อย “แผนการของเราครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่…”
อาซือดึงผ้าคลุมหน้าขึ้นอีกครั้ง กล่าวอย่างใจเย็น “มาถึงจุดนี้แล้ว พี่รองอย่าได้คิดมากไป ลองดูแล้วจะรู้เอง”
สิ้นประโยค เด็กหญิงก็ทำอารมณ์อยู่สักพัก ไม่นานดวงตาของเด็กหญิงก็เริ่มแดงขึ้น
อาซือแสดงออกมาได้ดีมาก หยาดน้ำตาปรากฏบนดวงตาดอกท้อที่เหมือนกับของเหยาซู ไม่ต้องพูดถึงอารมณ์ทุกข์ใจของลูกพี่ลูกน้องทั้งสอง แม้แต่คนแปลกหน้า เมื่อพบเห็นต่างก็เข้ามาดูและอดไม่ได้ที่จะไถ่ถาม
เหยาต้าหลางเห็นว่าน้องสาวของเขานั้นเตรียมตัวเสร็จแล้ว เขาเองก็เริ่มทำอารมณ์ของตน
หญิงสาวสองคนเดินมาจากทางหัวมุมของถนน คนหนึ่งสูงและคนหนึ่งเตี้ยกว่าเล็กน้อย ใบหน้าธรรมดาของพวกนางมองดูแล้วเป็นคนอบอุ่น
เหยาต้าหลางรอให้พวกนางเดินเข้ามาใกล้ พลันดึงอาซือเข้ามาข้างกาย แล้วก็โค้งคำนับให้สตรีทั้งสองคน
เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังที่ต้องการความช่วยเหลือ “พี่สาวทั้งสองท่าน….ขออนุญาตขอรับ ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านจะไปร้านขายผ้าจิ่นชิ่วข้างหน้านั้นหรือไม่ขอรับ?”
ถนนเส้นนี้มุ่งไปที่ร้านขายผ้าเท่านั้น การแต่งกายของสตรีทั้งสอง เมื่อมองดูแล้วก็รู้ได้ในทันทีว่ากำลังจะไปเลือกวัสดุผ้า
เมื่อสตรีทั้งสองเห็นว่าคนที่เข้ามาขวางทางเป็นเด็กน้อยที่มีสีหน้าเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ราวกับว่ากำลังเผชิญกับปัญหาอะไรบางอย่าง จึงได้เข้าไปถาม “เด็กน้อย เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
อาซือที่อยู่ด้านหลังเหยาต้าหลางก็ได้ร้องไห้ขึ้นมา ส่วนต้าหลางที่บังอาซืออยู่ก็เริ่มมีดวงตาแดงก่ำขึ้น
เด็กชายก้มหน้าแล้วกล่าวกับสตรีทั้งสอง “นี่คือน้องสาวของข้า และที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็คือน้องชายของข้าเองขอรับ”
สตรีทั้งสองเห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของเหยาต้าหลาง พวกเขาดูเหมือนเด็กจากตระกูลผู้ดี แม้เหยาเอ้อหลางในอีกด้านหนึ่งจะดูแตกต่างเล็กน้อย แต่ทั้งสองก็มีใบหน้าที่คล้ายกันและดูเหมือนพี่น้องกันจริง ๆ
แม้จะมองเห็นเด็กหญิงที่อยู่ข้างหลังได้ไม่ชัดเจน แต่ด้วยท่าทางน่ารักน่าชังไม่น้อย ก็ทำให้คนเริ่มทนไม่ได้
สตรีทั้งสองคิดว่าเด็กทั้ง ๆ สามกำลังประสบปัญหาบางอย่าง จึงเอ่ยถามอย่างอบอุ่น “มาโดนรังแกอยู่ข้างนอกแบบนี้ เหตุใดจึงไม่กลับบ้าน?”
เหยาต้าหลางดึงอาซือที่อยู่ข้างหลังเขาออกมา พลางกล่าวกับหญิงสาวทั้งสอง “ข้ากับท่านแม่ของข้าได้ยินมาว่าผ้าของร้านขายผ้าจิ่นชิ่วไม่เพียงสวยงาม แต่ยังส่งกลิ่นหอมอีกด้วย เวลาตัดเย็บออกมาก็งดงามราวกับผีเสื้อในฤดูใบไม้ผลิ พวกข้าจึงซื้อผ้ามากมายจากร้านแห่งนี้ แต่เมื่อใส่เสื้อผ้าของร้านนี้ได้เพียงไม่กี่วัน ท่านแม่และน้องสาวของข้าก็เริ่มมีผื่นขึ้น… ตอนนี้แม่ข้านอนป่วยอยู่บนเตียง ข้าเลยพาน้องสาวของข้ามาอธิบายให้กับร้านขายผ้าฟัง แต่พวกเขากลับไล่พวกเราออกมา”
สตรีทั้งสองลอบสังเกตเห็นเด็กหญิงตัวเล็กที่อยู่ด้านหลังเหยาต้าหลาง เด็กน้อยปกปิดใบหน้าของตน บริเวณหน้าผากและหลังมือของนางก็มีตุ่มแดง ๆ ขึ้นเต็มไปหมด
พวกนางต่างรู้สึกเห็นอกเห็นใจเด็กหญิงผู้น่าสงสารคนนี้มาก จึงอดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้ “ผ้ามีปัญหาจริงหรือ? ท่านหมอว่าอย่างไรบ้าง?”
อาซือสะอื้นพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ท่านหมอต่างก็เข้าไปดูที่บ้านมาหมดแล้ว บอกว่าส่วนผสมที่ใช้ในการย้อมผ้ามีสารหนูและเถาต้นเฟยเซียน เพื่อให้ผ้ามีสีและกลิ่นหอมติดทนนาน ส่วนผสมทั้งสองมีพิษร้ายแรง ข้ากับท่านแม่เลยมีตุ่มสีแดงขึ้นตามกายเจ้าค่ะ”
เมื่อสตรีทั้งสองได้ยินเช่นนั้นก็พลันมีใบหน้าซีดเผือด ทั้งตกใจและหวาดกลัวในเวลาเดียวกัน
ดูจากร่างกายขาวราวกับกระเบื้องเนื้อละเอียดและหยกขาว ประกอบกับดวงตาทั้งสองของเด็กหญิง ในอนาคตต้องเติบโตอย่างงดงามเป็นแน่
เพียงแต่ใบหน้าเล็กรูปไข่ในยามนี้กลับมีผื่นแดง ๆ เต็มไปหมด ช่างน่าเสียดายจริง ๆ
อาซือกล่าวขึ้นด้วยความกังวล กลัวว่าผู้คนจะหวาดกลัวนาง “พี่สาวทั้งสอง ตุ่มแดงบนตัวข้านี้ถ้าไม่จับก็จะไม่ติดโรคไปเจ้าค่ะ”
ว่าอย่างไรนะ ผื่นนี้สามารถติดต่อกันได้หรือ?
เมื่อสตรีทั้งสองได้ยินเช่นนี้ ต่างก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปใกล้ เพียงเพราะความเห็นใจอกเห็นใจและมารยาทจึงไม่ได้หันหลังเดินกลับไป
สตรีร่างสูงหยิบเงินบางส่วนออกมาแล้วห่อด้วยผ้าเช็ดหน้า ก่อนที่จะส่งให้ต้าหลางอย่างระมัดระวังที่จะไม่โดนมือของเด็กชาย
หญิงสาวเอ่ยขึ้นเบา ๆ “นี่เป็นเงินจำนวนไม่มาก…เจ้าลองดู พวกข้าก็ไม่รู้จะช่วยพวกเจ้าอย่างไร…รับเงินนี้ไว้แล้วกลับบ้านเสียเถอะ”
เหยาต้าหลางส่ายหัว ไม่ได้รับเงินที่หญิงสาวส่งให้แต่อย่างใด “ขอบคุณพี่สาวมากขอรับ พี่สาวทั้งสองท่านช่างมีจิตใจงดงามยิ่งนัก เพียงแต่พวกเราไม่ได้ต้องการเงินทอง เราอยู่ที่นี่เพียงเพื่อต้องการพบคนใจดีที่พอจะช่วยพวกเราอธิบายให้กับร้านขายผ้าจิ่นชิ่วขอรับ”
อาซือที่ร้องไห้อยู่ด้านหลังเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจ็บปวด “พวกเราต้องการจะจัดการร้านขายผ้าจิ่นชิ่วนี้ พวกเราไม่ต้องการให้ผู้คนจำนวนมากถูกทำร้ายเจ้าค่ะ”
เมื่อสตรีทั้งสองเห็นท่าทางของเด็ก ๆ โดยเฉพาะอาซือเด็กหญิงตัวน้อยที่เสียโฉมตั้งแต่เยาว์วัย และยังต้องการช่วยเหลือผู้คน ช่างเป็นภาพน่าประทับใจเสียจริง
หญิงสาวร่างเล็กเอ่ยกับอาซืออย่างนุ่มนวล “เด็กน้อย เจ้าทั้งน่ารักและมีจิตใจดี วันข้างหน้าจะต้องดีขึ้นแน่ ๆ”
หญิงสาวทั้งสองโน้มน้าวให้พวกเด็ก ๆ กลับบ้านอีกครั้ง แต่เหยาต้าหลางที่มีใบหน้าโศกเศร้า อาซือที่พยายามกลั้นสะอื้น หรือเหยาเอ้อหลางที่ก้มหน้าไม่ยอมพูดจา ทั้งหมดไม่มีใครเห็นด้วย
ท้ายที่สุดหญิงสาวทั้งสองก็หมดหนทาง “พวกเจ้าจะอยู่รอตรงนี้ตลอดมันไม่ใช่วิธีที่ดีเลย ถ้าหากว่าคนของร้านขายผ้าจิ่นชิ่วรู้เข้า ต้องพาคนมาสร้างปัญหาให้กับพวกเจ้าแน่ ๆ เอาแบบนี้สิ เรื่องของผู้ใหญ่ก็ให้ผู้ใหญ่จัดการ….รอพวกเรากลับไปก่อน ข้าจะบอกกับสหายและญาติ ๆ ของข้าเกี่ยวกับผ้าของร้านขายผ้าจิ่นชิ่ว เตือนให้พวกเขาไม่ตกเป็นเหยื่ออีก ดีไหม?”
เหยาต้าหลางเงยหน้าขึ้น เอ่ยอย่างดีใจ “ขอบคุณพี่สาวมากขอรับ!”
อาซือและเหยาเอ้อหลางต่างก็ขอบคุณตามพี่ชายของเขา
สตรีทั้งสองกล่าวเตือนพวกเด็ก ๆ ต่อสองสามคำก่อนที่ทั้งคู่จะจากไป เวลานั้นบริเวณทางแยกก็กลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง
เหยาเอ้อหลางเข้าไปใกล้พี่ใหญ่และน้องสาว เมื่อมองดูแล้ว ในเวลานี้เด็กชายก็สงสัยเกี่ยวกับชีวิตของมนุษย์ยิ่งนัก
ทั้งสองคนทำเรื่องหลอกลวงและน่าขายหน้าในเวลาเดียวกันได้อย่างไร และมีคนเชื่อโดยไม่ลังเลได้อย่างไร?
อาซือเช็ดน้ำตา และเอ่ยพูดกับเหยาเอ้อหลาง “ก่อนหน้านี้ข้าบอกแล้ว การรับบทเป็นผู้ถูกกระทำนั้นดีที่สุด ตอนพี่รองอยู่ที่บ้านท่านไม่เชื่อข้า ตอนนี้เห็นหรือยัง?”
เหยาเอ้อหลางกลั้นใจอยู่นาน เด็กชายเฝ้าดูน้องสาวของเขาร้องไห้ พลางคิดถึงแผนการของตนที่ไม่สามารถเรียกได้ว่า ‘แผน’ เลยด้วยซ้ำ มันต้องมีเหตุผลที่ว่าเหตุใดเขาถึงแพ้น้องสาวของเขา
ผ่านไปสักพัก เด็กชายก็ส่ายหน้าแล้วรำพึงว่า “หรือว่าข้าจะไร้เดียงสาเกินไป…”
………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ร้ายกาจจจ นางร้ายฝึกหัดอย่างนังตู้หรือจะสู้นางร้ายนิยายต้นฉบับอย่างอาซือได้ ถ้าได้รับรู้ว่าตัวเองแพ้เด็กผู้หญิงที่ยังไม่ถึงวัยปักปิ่นนี่จะกระอักเลือดขนาดไหนนะ
ไหหม่า(海馬)