บทที่ 431 พี่สะใภ้ใหญ่และน้องเขย
บทที่ 431 พี่สะใภ้ใหญ่และน้องเขย
ตอนนี้ท้องฟ้าเพิ่งสว่าง ขณะที่หลินจื้อกำลังเตรียมออกราชกิจ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเจื้อยแจ้วของน้องสาวตนเองดังขึ้นมาจากที่ไกล ๆ “พี่ใหญ่ พี่ใหญ่อยู่หรือไม่?”
ครั้นหลินจื้อผลักประตูออกไป ก็เห็นหลินซือผู้เป็นน้องสาวกำลังกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างกับอวิ้นเหอหญิงรับใช้ของเขา
เมื่อเห็นพี่ชายออกมา หลินซือก็วิ่งเข้ามาทันที จากนั้นก็เอ่ยด้วยความตื่นเต้น “พี่ใหญ่ วันนี้ข้าจะออกไปข้างนอกกับพี่ไป๋ ข้าจะไปเลือกเสื้อผ้าสำหรับพิธีปักปิ่น[1] อะไรนั่นด้วยตัวเอง พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วง จริงสิ พี่ใหญ่มีอะไรจะฝากไปบอกพี่ไป๋หรือไม่เจ้าคะ?”
ไป๋หรูปิงและหลินจื้อต่างก็มีใจตรงกัน ความสัมพันธ์ของทั้งสองคน เป็นการตกลงกันของบิดามารดาทั้งสองฝ่าย
หลายปีมานี้ อำนาจของตระกูลหลินถือว่าไม่เลวเลย
หลินจื้อเข้ารับราชการเมื่อสองปีก่อน กระทั่งได้รับภารกิจสำคัญจากจักรพรรดิมาโดยตลอด
เหยาซูและหลินเหราสองคนนั้นไม่เคยกลับมาอีกเลย หลายปีมานี้ยังคงเดินทางไกล
จักรพรรดิทรงแต่งตั้งที่แห่งนี้เป็นจวนแม่ทัพ เหยาเฉาเองก็ได้รับพระราชทานจวนหนึ่งหลังเช่นกัน เขาจึงพาภรรยาและลูกย้ายเข้าไป ส่วนจวนที่ซื้อไว้ก่อนหน้านั้นก็ปล่อยให้หลินจื้ออยู่ แม่เฒ่าและพ่อเฒ่าเหยาตามลูกชายคนโตไป หลายปีมานี้ยังมีร่างกายแข็งแรง
ทั้งสามครอบครัวต่างอาศัยอยู่บนถนนสายเดียวกัน และห่างกันไม่ไกลมากนัก
ตอนนี้จวนแม่ทัพไม่มีนายหญิง อาซือก็ยังเด็กเกินไป ดังนั้นงานบ้านทุก ๆ วันในจวนจึงเป็นหน้าที่ของพ่อบ้านที่หลินจื้อและเซี่ยเชียนส่งมาจัดการโดยตลอด
หลินจื้อตอนนี้เป็นบุุรุษหนุ่มโตเต็มวัยแล้ว หลังได้รับการอบรมบ่มเพาะจากทั้งบิดามารดา เขาก็มีความสามารถทั้งงานนอกบ้านและงานในบ้าน จนอาซือมักจะหยอกเย้าอยู่เสมอว่าใครที่ได้ ‘แต่งงาน’ กับพี่ใหญ่นั้นคือความโชคดีที่ส่งต่อมาแปดชั่วอายุเลยทีเดียว
แน่นอนว่าประโยคนี้มีการพูดถึงไป๋หรูปิง
นิสัยของอาซือในวัยเด็กและในวัยแรกแย้มไม่มีสิ่งใดแปรเปลี่ยน โผงผางตรงไปตรงมาเช่นเคย
อะแฮ่ม หากพูดถึงเรื่องนี้ก็คงอีกยาวไกล
เมื่อเอ่ยถึงพิธีปักปิ่น
พิธีปักปิ่นสำหรับหลินซือบุตรสาวคนโตของตระกูลเป็นเรื่องหยุมหยิมวุ่นวาย แม้พี่สะใภ้รองเหยาและพี่สะใภ้ใหญ่เหยาจะร่วมด้วยช่วยกัน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถทำแทนได้ แต่ละบ้านต่างมีเรื่องวุ่นวายที่แตกต่างกัน
หลินจื้อโต้เถียงประชันฝีปากกับเหล่านักปราชญ์แห่งสำนักบัณฑิตฮั่นหลินได้อย่างฉะฉาน ยามเผชิญหน้ากับคลื่นใต้น้ำในราชสำนัก เขาก็สามารถเคลื่อนไหวพลิกแพลงได้ตามสถานการณ์ ทว่ายามที่ต้องจัดการพิธีปักปิ่นของน้องสาว เขากลับไม่คุ้นเคยแม้แต่น้อย
ครั้นได้ยิน หลินจื้อก็แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินการหยอกเย้าของน้องสาว แต่ก็ยังไม่ลืมกำชับว่า “ออกไปข้างนอกก็ระวังตัวด้วย ห้ามไปโดยปราศจากองครักษ์เด็ดขาด”
“วางใจเถอะเจ้าค่ะพี่ใหญ่ ข้าอยู่กับพี่ไป๋ ท่านยังไม่วางใจอีกหรือไร?”
หลินซือกะพริบตาปริบ ๆ พลางส่งสายตาเจ้าเล่ห์ให้หลินจื้อ กระทั่งเห็นว่าใบหน้าที่มักจะนิ่งสงบมาโดยตลอดของหลินจื้อเกิดร่องรอยบางอย่าง เขาเผยสีหน้าโดยไม่รู้ตัว
“ยามเซินต้องกลับถึงจวน”
“รู้แล้วเจ้าค่ะพี่ใหญ่”
หลินซือตกปากรับคำ ก่อนจะยิ้มตาหยีโบกมือแล้วหมุนตัวเดินจากไป
ความจริงแล้ว หลินซือยังเหลือเวลาอีกครึ่งปีถึงจะเข้าพิธีปักปิ่นได้ จะเตรียมตัวตอนหน้าก็ยังไม่สาย แต่นางกลับไม่สบายใจ ตระกูลเหยาและตระกูลเซี่ยต่างก็รักหลินซือมาก คิดจะจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ ขั้นตอนต่างๆ จึงยุ่งยากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เลยจะต้องตระเตรียมไว้ล่วงหน้า
ในร้านขายเสื้อผ้าตระกูลเหยา
ไป๋หรูปิงรับผ้าผืนหนึ่งที่หลินซือเพิ่งหยิบขึ้นมา แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “ผ้าผืนนี้ไม่ได้”
หลินซือทอดถอนใจยาวพลางพิงตู้พลางเอ่ยอย่างหมดเรี่ยวแรง “เลือกกันมาตั้งหนึ่งชั่วยามแล้ว นี่คือร้านขายเสื้อผ้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ถ้ายังเลือกไม่ได้ เช่นนั้นก็คงต้องส่งคนไปหาข้างนอกแล้วกระมัง”
“คุณหนู คุณหนูพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูกนะเจ้าคะ” ผู้ดูแลร้านข้างกายกลั้วหัวเราะและเอ่ยว่า “วัสดุผ้าในร้านของเราเป็นวัสดุที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้ว เครื่องบรรณาการส่วนใหญ่ก็ล้วนแต่มาจากที่นี่ ถ้าคุณหนูเลือกผ้าที่ถูกใจจากที่นี่ไม่ได้ ไปข้างนอกย่อมได้รับคุณภาพที่ไม่เทียบเท่า จะยิ่งเลือกยากกว่าเดิมนะเจ้าคะ”
หลินซือรู้สึกว่าที่ผู้ดูแลพูดก็มีเหตุผล จึงทำได้แค่ทอดถอนใจ แล้วรวบรวมสติตั้งใจเลือกต่อไป
ไป๋หรูปิงไม่ได้หงุดหงิดใจอะไร ยังคงเลือกผ้าท่ามกลางวัสดุผ้าที่กองเป็นภูเขาอย่างพิถีพิถัน “เรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้ ต้องเลือกสิ่งที่ตนชื่นชอบ ทั้งยังต้องเข้ากับกาลเทศะ คู่ควรกับบุตรสาวของจวนแม่ทัพ ไฉนเลยจะง่ายดายเช่นนั้น”
“เฮ้อ ข้าไม่อยากเข้าร่วมพิธีปักปิ่นเลย ข้าพูดกับพี่ใหญ่แล้วว่าไปหาท่านพ่อและท่านแม่กันเถอะ” หลินซือพูดด้วยสีหน้าขมขื่น
ไป๋หรูปิงหัวเราะน้อย ๆ ทีหนึ่งโดยไม่สนใจอารมณ์ของหลินซือ จากนั้นก็นำผ้าที่เลือกได้มาทาบกับตัวของนาง แล้วส่ายหน้าเบา ๆ อีกครั้ง
“พี่ไป๋ ยามที่พี่ปักปิ่นมันยุ่งยากเช่นนี้หรือไม่?”
เมื่อหลินซือถามจบก็รีบส่ายหน้าทันที “คงไม่สินะ ท่านแม่ของพี่อยู่ในจวน ย่อมจัดการทุกอย่างให้พี่อย่างดี”
“ไฉนกันเล่า” ไป๋หรูปิงยิ้มพลางดีดหน้าผากของหลินซือเบา ๆ “เรื่องอื่นไหว้วานให้ผู้อื่นจัดการได้เสมอ แต่รูปแบบของเสื้อผ้าต้องเป็นฝ่ายเลือกเอง นี่คือเรื่องที่สำคัญที่สุดนับตั้งแต่เจ้าเกิดจนถึงตอนนี้เลยเชียว”
ประโยคนี้ของไป๋หรูปิงกลับกลายเป็นสิ่งเตือนใจหลินซือ นางยิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้ง ก่อนจะรุดหน้าเข้าไปพูดหยอกเย้าว่า “แล้วเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ของพี่ไป๋คืออะไร? หื้อ พี่สะใภ้ใหญ่?”
การแต่งงานระหว่างไป๋หรูปิงกับพี่ชายของนางเป็นเรื่องที่นางชื่นชอบมาโดยตลอด แม้ว่าเหล่าอาวุโสจะไม่แสดงออกนัก แต่ก็มีการทำข้อตกลงอย่างเงียบ ๆ ให้ทั้งสองคนแล้ว
ใบหน้าขาวนวลผุดผ่องของไป๋หรูปิงขึ้นสีแดงระเรื่อทันใด ก่อนจะผลักหลินซือที่คลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ แล้วพูดด้วยความอึดอัดใจว่า “ตอนนี้พูดเรื่องของเจ้าก่อนเถอะ ของข้ามันยังเร็วไป”
เหล่าพี่น้องต่างคิดเห็นอย่างไร นางก็ยังไม่รู้เลย
“ไม่เร็วไปหรอก มีเวลาอีกไม่ถึงสองปีแล้วไม่ใช่หรือ พิธีปักปิ่นของข้ายังเตรียมตัวล่วงหน้าเป็นครึ่งปี พวกพี่เตรียมตัวกันล่วงหน้าสองปีไม่นับว่าเร็วแล้ว” ขณะที่หลินซือพูด ก็เรียกลูกจ้างเข้ามา “เอาวัสดุสำหรับตัดชุดงานมงคลสมรสที่ดีที่สุดของที่นี่ออกมาด้วย”
ทุกคนต่างคิดว่าเป็นเรื่องขบขัน จึงแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
“เอ้อเป่า เจ้ายังเลือกวัสดุผ้าไม่ได้อีกหรือ?” สีแดงก่ำบนใบหน้าของไป๋หรูปิงเริ่มชัดมากขึ้น
หลินซือเกรงว่าจะสร้างความร้อนใจให้แก่ไป๋หรูปิง จึงได้ปลอบโยน “ข้าก็แค่ดูเท่านั้น ไม่ช้าก็เร็วข้าก็ต้องกลายเป็นญาติกับพี่อยู่ดี”
ไป๋หรูปิงร้อนใจมาก กระทั่งหลุดโพล่งออกไปว่า “เช่นนั้นเจี่ยงเถิงก็ต้องเป็นน้องเขยข้านะสิ?”
พูดจบ นางก็รู้สึกเสียใจทันที สตรีสูงศักดิ์จะพูดจาลับหลังผู้อื่นได้อย่างไร?
ปกติแล้ว แม้ว่านางมักจะทำเรื่องที่ขัดต่อกฎระเบียบประเพณีลับหลังเสมอ แต่ก็ไม่เคยมีนิสัยที่ชอบนินทาลับหลังผู้อื่น
หลินซือตกตะลึงในใจ แต่ใบหน้ากลับแสดงท่าทางไม่ได้สนใจ แล้วแกล้งพูดเฉไฉ “ไม่เสมอไปหรอก”
“เอ้อเป่า ถ้าในใจมีคนอื่นแล้วก็รีบตัดสินใจเสีย”
ไป๋หรูปิงพยายามเกลี้ยกล่อม “เจ้าไม่เหมือนข้า เจ้าเป็นบุตรสาวจวนแม่ทัพ เกรงว่าคงจะเลื่อนงานแต่งออกไปดั่งใจตัวเองไม่ได้”
หลินซือเข้าใจความหมายของไป๋หรูปิง เนื่องจากจักรพรรดิทรงควบคุมตระกูลหลิน จึงอาจพระราชทานงานสมรสให้แก่ตน
นางไม่กังวลเรื่องนี้ มีท่านพ่อและท่านแม่อยู่ พวกท่านไม่มีทางยอมให้ตัวเองแต่งงานกับคนที่ไม่ได้ชอบอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจนัก
ครั้นเห็นหลินซือไม่ได้คิดมาก ไป๋หรูปิงก็ทอดถอนใจพลางคิด ‘ถ้าเจี่ยงเถิงและอาซืออยู่ด้วยกันจริง ๆ ก็ดี ทั้งสองคนเป็นคู่ปรับมาตั้งแต่เด็กจนโต เท่าที่นางเห็น เจี่ยงเถิงก็ดูมีความสนใจอาซือ แต่เด็กสาวคนนี้นี่สิไม่รู้อะไรเอาเสียเลย’
ความหมายเมื่อครู่ของอาซือคือหยอกล้อ นางไม่ได้ใส่ใจ กระทั่งคนฟังอย่างไป๋หรูปิงก็ยิ่งไม่มีทางเก็บมาใส่ใจเช่นกัน
ทั้งสองคนเสียเวลาอยู่ในร้านผ้าตลอดช่วงเช้า ก่อนที่หลินซือจะใช้เงินจนหมด ในที่สุดก็เลือกผ้าที่เหมาะสมได้แล้ว
หลินซือรีบบอกลูกจ้างให้ไปส่งให้กับจวนแม่ทัพทันที จากนั้นก็ลากตัวไป๋หรูปิงจากไปอย่างอดใจไม่ไหว
“พี่ไป๋ ไปกินข้าวที่หอหรูอี้กันเถอะ”
หลินซือลูบท้องที่กำลังร้องโครกครากของตัวเอง กระทั่งได้กลิ่นอาหารที่ลอยอบอวลออกมาจากหอหรูอี้จนก้าวเท้าไม่ออก
ไป๋หรูปิงก็หิวแล้วเช่นกัน ไม่มีอะไรที่ต้องปฏิเสธแน่นอน ยามทั้งสองคนเดินมายังหน้าหอหรูอี้ หลินซือก็ถูกเด็กชายคนหนึ่งที่วิ่งเข้ามาชนอย่างรวดเร็ว
จะบอกว่าเด็กชายก็ไม่เชิง น่าจะอายุราว ๆ แปดขวบเห็นจะได้
เด็กชายผู้นั้นมีเรี่ยวแรงไม่มากนัก หลังจากวิ่งชนแล้วก็ไม่มีคำว่าขอโทษ แค่เงยหน้ามองหลินซือด้วยความตกตะลึงเท่านั้น
หลินซือเลิกคิ้วสูงไม่ได้โกรธเคือง แต่รู้สึกประหลาดใจ ก่อนจะคุกเข่าถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าหนู พ่อแม่เจ้าล่ะ?”
เด็กชายผู้นั้นยังมองนางอย่างนิ่งงัน โดยไม่พูดสิ่งใด
หลินซือครุ่นคิดในใจ ‘เด็กคนนี้คงไม่ได้เป็นใบ้หรอกนะ?’
นางยกมือขึ้นมาโบกไปมาตรงหน้าของเด็กน้อย ก่อนจะพูดอย่างเป็นกังวล “เจ้าหนู เจ้าคงไม่ได้…” เป็นใบ้หรอกนะ?
ประโยคหลังจากนั้นได้แต่ครุ่นคิดแล้วตัดสินใจไม่ถามออกไป จะพูดอย่างไร? ไม่ว่าจะถามอย่างไรก็ฟังดูประหลาด
เด็กคนนั้นได้สติกลับมา จากนั้นก็พูดตะกุกตะกักอยู่สองครั้ง ส่วนสายตาก็ลอบมองพิจารณาหลินซือ
………………………………………………………………………………………………..
[1] วัยปักปิ่น คือวัยที่เด็กสาวแต่งงานได้
สารจากผู้แปล
เด็กที่มาชนอาซือนี่เป็นใครกันน้า
ไหหม่า(海馬)