บทที่ 451 ปฏิเสธ
บทที่ 451 ปฏิเสธ
“ฝ่าบาท”
หลินซือไม่มีทางเลือก เด็กสาวมองใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความหวังขององค์รัชทายาท “การเด็ดดอกไม้ในสวนหลวงถือเป็นโทษร้ายแรง ดอกไม้ช่อนี้หม่อมฉันไม่กล้ารับไว้ได้จริง ๆ เพคะ ”
องค์รัชทายาทกำลังเป็นทุกข์ว่าควรจะขอโทษอย่างไรดี ครั้นเห็นดอกไม้ดอกนี้ จึงคิดว่าสตรีมักจะชอบดอกไม้ใบหญ้า ทำให้สมองของเขากระตือรือร้นเป็นอย่างมาก
หากเป็นชาติที่แล้ว คงจะไม่มีคนกล้าพูด…
“ท่านพี่ ฝ่าบาทจะโกรธท่านหรือไม่?”
เซี่ยเซินที่อยู่ข้าง ๆ หันมามองด้วยความสงสัยแล้วเอ่ยถามขึ้น
หลินซือทำได้เพียงส่ายหน้าเท่านั้น และตอบกลับองค์รัชทายาทที่ทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก “ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่โทษท่านหรอกเพคะ เพียงแต่ฝ่าบาทต้องรับผิดชอบตัวเอง และก็ต้องรับผิดชอบต่อประชาราษฎร์แห่งต้าเยี่ยน”
“ข้ารู้แล้ว” องค์รัชทายาทก้มหน้าลง
ทุก ๆ ครั้งที่หลินซือพูดด้วยหลักการคุณธรรมช่างเหมือนกับเซี่ยเชียนอย่างไรอย่างนั้น เหตุใดเด็กสาวไม่เคยพูดเช่นนี้กับเซี่ยเซินเลย
อยู่ ๆ องค์รัชทายาทก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา หรือว่าเขาจะเป็นคนพิเศษสำหรับนาง
เด็กสาวปฏิบัติต่อน้องชายด้วยความใจกว้างสบาย ๆ แต่จะเข้มงวดกับตนเอง หรือว่าที่หลินซือปฏิเสธนั้น จริง ๆ แล้วนางอยากจะเป็นพระชายา?
ถึงแม้ว่าหากหลินซือรู้ความคิดเช่นนี้เข้า นางจะต้องยอมอ่อนข้อให้ แต่ถ้าเป็นเจี่ยงเถิงรับรู้เข้าคงจะคิดว่าเขาเป็นคนโง่ และถ้าเซี่ยเซินรับรู้เข้าก็คงจะคิดว่าเขาบ้าไปแล้ว แต่เขาก็ปลอบตนเองว่า เมื่อยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกขึ้นเรื่อย ๆ ว่ามันสมเหตุสมผล
องค์รัชทายาทอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก อยากพูดจานุ่มนวลกับหลินซือ ทั้งยังต้องการถามเด็กสาวว่าหรือจริง ๆ แล้วนางต้องการที่จะเป็นชายาของตน แต่ก็รู้สึกว่านี่มันจะมากเกินไป พระองค์กลัวหลินซือจะเขินอาย จึงได้เอ่ยขึ้น “พี่อาซือ พวกเราไปดูฝั่งโน้นกันเถอะ”
องค์รัชทายาทชี้ไปอีกฝั่งที่ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน หลินซือจำในสิ่งที่เจี่ยงเถิงบอกกับตนได้ ดังนั้นเด็กสาวจึงไม่ยินยอมไป
“ฝ่าบาท ข้ารู้สึกว่าที่ตรงนี้นั้นดอกไม้บานได้สวยงามมากเพคะ”
หลินซือชี้ไปที่กลุ่มดอกเบญมาศสีขาวราวกับเครื่องประดับทรงกลมที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก “ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่เพคะว่าดอกไม้ประเภทนั้นคือดอกอะไร? ข้าเองก็อยากจะปลูกไว้ที่จวนสักหน่อย”
องค์รัชทายาทไม่ได้มีความสนใจในเรื่องดอกไม้ จึงไม่รู้ว่าดอกไม้นั้นเป็นดอกไม้ชนิดใด
แต่ด้วยความเย่อหยิ่งของเขา ไม่อนุญาตให้ตนกล่าวต่อหน้าหญิงที่ตนชอบว่า ‘ข้าไม่รู้’
เวลานั้นองค์รัชทายาทประหม่า จึงได้ก้าวขึ้นไปข้างหน้าสองก้าวเพื่อให้แน่ใจว่าหลินซือจะไม่เห็นการแสดงออกของตนเอง เขาทำทีพิจดูอย่างละเอียด แต่จริง ๆ แล้วกำลังยักคิ้วหลิ่วตาให้กับเซี่ยเซินอย่างบ้าคลั่ง
เซี่ยเซินที่สนิทสนมกับองค์รัชทายาทมาเป็นเวลาหลายปี จึงรับรู้การขอความช่วยเหลือของเขาได้โดยฉับไว เด็กน้อยจึงขยับปากเพื่อบอกกับอีกฝ่าย
“ดอกไม้ชนิดนี้มีนามว่าเหยาไถ่อวี้เฟิง” พระองค์หันมาบอกกับหลินซือด้วยท่าทางเป็นธรรมชาติ
หลินซือคาดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทจะรู้จักจริง ๆ จึงได้ถามขึ้นอีกสองถึงสามประเภท หากแต่เขาก็สามารถตอบกลับมาได้
ตอนนี้หลินซือเองรู้สึกสับสน “ฝ่าบาท ท่านบอกว่าไม่รู้จักดอกเบญจมาศ ช่างถ่อมตนเสียจริง ดอกไม้หลากชนิดเช่นนี้ แม้แต่พี่ชายของข้าเองก็ต้องไม่รู้จักทั้งหมดแน่ ๆ เพคะ”
เมื่อได้รับการชื่นชมจากใจจริงของหลินซือ องค์รัชทายาททรงพอพระทัยอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมา “ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก แค่ศึกษาจากตำราไม่กี่เล่มก็จำได้แล้ว”
“พี่อาซือ พวกเราไปตรงนั้นกันดีหรือไม่ ตรงนี้คนเยอะเกินไปแล้ว ท่านดูตรงนั้นดอกไม้บานสวยมาก” องค์รัชทายาทเอ่ยขึ้นและพลางดึงแขนเสื้อของหลินซือ อดที่จะอธิบายพลางดึงหญิงสาวไปฝั่งนั้นไม่ได้
หลินซือมองเซี่ยเซินด้วยความลำบากใจ อยากให้เด็กชายช่วยเบนความสนใจขององค์รัชทายาท แต่ว่าเซี่ยเซินกลับโดนดอกเบญจมาศอีกที่หนึ่งดึงดูดเอาไว้
เหยาซูเหลือบมองมาทางหลินซือได้ทันเวลา หากแต่เด็กสาวถูกดึงตัวไปเสียแล้ว
“ฝ่าบาท ตรงนั้นมีคนน้อย ไม่ไปตรงนั้นได้ไหมเพคะ ถ้าเกิดมีอันตรายจะทำเช่นไรเพคะ?”
หลินซือมองว่าถ้าตนนั้นเดินต่อไป นางจะมองไม่เห็นแม้แต่เงาของเหยาซูที่กำลังชื่นชมดอกเบญจมาศ เด็กสาวจึงไม่เดินต่อ
องค์รัชทายาทไม่ได้บังคับเด็กสาว และตรงนี้เองก็เงียบสงบลงมาก เขาจึงทำตามความปรารถนาของหลินซือ
เมื่อห่างไกลจากความวุ่นวาย หากแต่บรรยากาศระหว่างทั้งสองกลับเงียบงัน
“พี่อาซือ”
“ฝ่าบาท”
ภายใต้ความเงียบสงบ ทั้งสองได้เอ่ยปากขึ้น
หลินซือยิ้มขึ้นเพื่อให้เขากล่าวก่อน
องค์รัชทายาทมีท่าทางตื่นเต้น ทำใจอยู่เงียบ ๆ ก่อนที่จะสงบลงและเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น “ข้าก็เพียงแค่อยากจะถาม งานเลี้ยงวันไหว้พระจันทร์ครั้งก่อนที่สวนหลวง อาซือพิจารณาไว้ว่าอย่างไร”
เมื่อเห็นว่าพระองค์เปลี่ยนคำเรียกชื่อของตน ในใจของหลินซือพลันบีบรัด เด็กสาวเอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึม “ฝ่าบาท ทุก ๆ ครั้งที่พบกันก็ล้วนแต่จะพูดเรื่องนี้ หม่อมฉันเองก็พิจารณามาเรียบร้อยแล้ว แต่คำตอบของหม่อมฉันเหมือนกับคำตอบของครั้งที่แล้ว ไม่ว่าพระองค์จะตั้งใจหยอกล้อเช่นไร หม่อมฉันก็ตอบได้เพียงว่า ขอบคุณในความกรุณาของฝ่าบาทเพคะ”
เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านั้นเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง แต่คำพูดของหลินซือทำให้จิตใจของเขาจมดิ่งทีละน้อย พร้อมกับสีหน้าของเขาที่สลดลง
“หลินซือ ข้าตั้งใจถามเจ้า นี่ไม่ใช่ความรักระหว่างครอบครัว ข้าหมายถึงสถานะชายาขององค์รัชทายาท เพียงแค่เจ้ายินยอม แม้ว่าองค์จักรพรรดิจะคัดค้าน อย่างไรข้าก็จะแต่งงานกับเจ้า”
ครั้นได้ยินความดื้อรั้นในน้ำเสียงขององค์รัชทายาท หลินซือผงะถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความหวาดกลัว ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่คุ้นเคย หัวใจพลันสงบขึ้นทันที
จู่ ๆ หลินซือก็หัวเราะ และจับมือขององค์รัชทายาทอย่างอ่อนโยน เด็กสาวกล่าวขึ้นอย่างนุ่มนวล “ฝ่าบาท อย่าทรงล้อเล่นเลยเพคะ อายุของท่านยังเยาว์วัยนัก คิดอยากจะมีพระชายาแล้วหรือเพคะ?”
เมื่อองค์รัชทายาทเห็นหลินซือที่จู่ ๆ ก็อารมณ์เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ก็พลันได้ยินเสียงหัวเราะของสวีกุ้ยเฟยดังขึ้น “โอ้โห ฝ่าบาทอยากจะมีพระชายาแล้ว เช่นนั้นฝ่าบาทอยากจะให้ข้าแนะนำหรือไม่?”
สวีกุ้ยเฟยปรากฏตัวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม เหยาซูที่ตามมาทีหลังก็เอ่ยขึ้น “อาซือ เจ้าพูดอะไรกับฝ่าบาท ฝ่าบาทจึงอยากจะเเต่งงานกับเจ้าแล้วให้เป็นชายาเล่า?”
หลินซือรีบเดินเข้ามาหาเหยาซู แล้วยิ้มให้กับสวีกุ้ยเฟยอย่างหมดหนทาง
สวีกุ้ยเฟยไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้ เพียงแค่รู้สึกว่าหลินซือนั้นอบอุ่นและน่ารัก องค์รัชทายาทอยู่ในราชวังคนเดียวก็ต้องการพี่สาวที่อบอุ่น ไม่ใช่เรื่องผิดแปลกแต่อย่างใด
“ฝ่าบาท รีบมาได้แล้วเพคะ ข้าหันไปหาแล้วก็พบว่าไม่มีแม้แต่เงา ทำข้าตกใจแทบตาย”
สวีกุ้ยเฟยยกมือทาบอกและโบกมือให้กับองค์รัชทายาท
ตอนที่อยู่ต่อหน้าสวีกุ้ยเฟย องค์รัชทายาทรู้ดีว่าเวลาตนนั้นกล่าวอะไรออกไปก็เป็นแค่เพียงคำพูดของเด็ก เขามีคำพูดอีกหลายคำที่ไม่สามารถกล่าวออกมาได้ จึงเดินเข้าไปหาสวีกุ้ยเฟยด้วยใบหน้าหมองหม่น
“ฝ่าบาท ท่านต้องการให้หลินซือเป็นพี่สาวคนสนิทอย่างงั้นหรือ?” สวีกุ้ยเฟยถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ใช่พี่สาว แต่เป็นพระชายา” องค์รัชทายาทกล่าวขึ้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก
สวีกุ้ยเฟยไม่เชื่อคำพูดของเขา หญิงสาวกลับเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท ท่านไม่สามารถมีพี่แท้ ๆ ได้แล้ว แต่ว่าท่านยังมีน้องสาว อีกสักครู่เจาเอ๋อร์ก็จะมาแล้ว ให้นางมาเล่นกับท่านจะดีไหม”
พอนึกถึงชื่อองค์หญิงตัวน้อย เขาก็ปวดหัวขึ้นมาทันที “ไม่ได้ ข้าไม่ได้อยากพบนาง!”
“แต่ว่า อีกสักครู่เจาเอ๋อร์ก็จะมาแล้ว” สวีกุ้ยเฟยมองว่าองค์รัชทายาทเป็นเด็กเจ้าอารมณ์ นางยังคงยืนหยัดที่จะทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองดีขึ้น จึงเบนกายไปแล้วโบกมือ “เจาเอ๋อร์ รีบมาได้แล้ว”
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อย่าเพิ่งมโนค่ะองค์รัชทายาทน้อย ผู้หญิงเขาบอกว่าไม่ก็คือไม่ ทำไมพวกผู้ชายชอบมโนว่าผู้หญิงปฏิเสธแล้วแปลว่าชอบกันนะ
ไหหม่า(海馬)