ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 467 อวี๋จือและเซี่ยเชียน

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 467 อวี๋จือและเซี่ยเชียน

บทที่ 467 อวี๋จือและเซี่ยเชียน

เมื่อจันทราไต่ระดับขึ้นสู่ท้องฟ้า ทุกคนต่างอิ่มหนำสำราญ และต่างทยอยกลับออกไป

เหยาเอ้อหลางเคยชินกับการดื่มสุราอยู่ในค่ายทหารมาสองปี จึงรินสุราให้กับอาจื้อและเจี่ยงเถิงแกมบังคับ แต่ตัวเองกลับคอแข็งยังไม่แสดงอาการมึนเมาแต่อย่างใด

เพราะเซี่ยเซินอายุยังน้อย ประกอบกับยุ่งมากในช่วงสองวันนี้ จึงหลับใหลไปก่อนแล้ว

เซี่ยเชียนอยากพาเจ้าตัวกลับ จึงเรียกเสี่ยวเว่ยมาพาตัวเขากลับไป

“ใต้เท้าเซี่ยค่อย ๆ เดินขอรับ”

คืนนี้ทุกคนดื่มกันไม่น้อย แม้ใบหน้าของเซี่ยเชียนจะแดงก่ำไปบ้าง แต่เสี่ยวเว่ยยังคงมีสีหน้าปกติ เหมือนกับไม่ได้รับผลกระทบจากสิ่งเร้าภายนอกแต่อย่างใด เขาพาเซี่ยเชียนไปส่งหน้าประตู ซึ่งมีรถม้าคันหนึ่งมาจอดรออยู่หน้าประตูแล้ว

“เสี่ยวเว่ย ลำบากเจ้าแล้ว” เซี่ยเชียนพยักหน้าให้กับเขา

ใบหน้าของเสี่ยวเว่ยยังคงแต้มไปด้วยรอยยิ้มที่แม้แต่ลมแปดทิศก็ไม่สะท้าน พลางโบกมือให้กับเซี่ยเชียน

หลายปีมานี้ เขาติดตามเหยาเฉาตลอด นิสัยจึงดูเจียมเนื้อเจียมตัวลงมากทีเดียว แม้ว่าจะยังมีนิสัยเดิมที่เอะอะก็ฆ่าคนอยู่ท่าเดียวบ้าง แต่สำหรับคนบางกลุ่ม ยังพอเก็บสีหน้าอารมณ์ของตัวเองได้

แต่ยังไม่ทันที่เซี่ยเชียนจะขึ้นรถม้า จู่ ๆ ก็ถูกใครคนหนึ่งเรียกไว้

“พี่เชียน ช้าก่อน”

แม่นางเซวียเพิ่งกลับมาจากข้างนอกวันนี้ ตอนนี้พักอยู่ในจวนเหยา

แม่นางเซวียวิ่งออกมาด้วยความรีบร้อนอย่างชัดเจน ครั้นเห็นเซี่ยเชียนยังไม่จากไป จึงได้วางใจลง “พี่เชียน ข้ามีเรื่องจะคุยกับพี่เป็นการส่วนตัวสักหน่อยได้หรือไม่?”

ครั้นแม่นางเซวียกล่าวจบ ก็มองไปทางเสี่ยวเว่ยแวบหนึ่ง ชายหนุ่มจึงค้อมตัวคำนับอย่างรู้กัน แล้วพูดว่า “ข้าขอตัวขอรับ”

ตอนที่เข้าไปด้านใน เสี่ยวเว่ยยังมิวายหันกลับมามองทั้งสองคนภายใต้แสงจันทราสาดส่อง ไม่รู้เหตุใดทันทีที่เห็นก็รู้สึกว่าพวกเขาช่างเหมาะสมกันนักเยี่ยงกิ่งทองใบหยก

แต่ครั้นเห็นสีหน้านิ่งเฉยของเซี่ยเชียน ก็รู้ทันทีว่าครานี้แม่นางเซวียคงจะต้องเป็นดั่งแสงจันทร์ที่สาดส่องคูเมืองเสียแล้ว ต่อให้ทำดีแค่ไหนอีกฝ่ายก็ไม่แยแส ใจแข็งดุจเหล็กกล้า

ความสัมพันธ์ของทั้งสองคน ใครก็ตัดสินไม่ได้ แม่นางเซวียยังต้องพึ่งพาเซี่ยเชียน เซี่ยเชียนเองก็ดีกับแม่นางเซวียมากเช่นกัน ห้องที่นางพักอยู่ในจวนเซี่ยก่อนหน้านั้น รวมทั้งตอนนี้ ห้องนั้นก็ยังอยู่

เสี่ยวเว่ยส่ายหน้าก่อนละสายตา ทว่าขณะที่จะย่างเท้าเข้าไปก็เกือบจะชนใครคนหนึ่ง

“ขอโทษ ขอโทษ”

เสี่ยวเว่ยยังไม่ทันได้อ้าปาก คนผู้นั้นก็รีบกล่าวขอโทษกันเสียวุ่นวาย

นั่นคืออวี๋จือลูกศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจของเซี่ยเชียน วันนี้เขาได้ติดตามเซี่ยเชียนมาด้วย

ในงานเลี้ยงเขาก็ดื่มเหล้าไปไม่น้อยเช่นกัน ย่อมเมามายเป็นเรื่องธรรมดา

ที่รีบร้อนเช่นนี้ คงเพราะเห็นแม่นางเซวียออกไปแล้ว เซี่ยเชียนก็ออกไปแล้ว จึงรีบครองสติแล้วลากตัวเองไล่ตามไปดู

อ่อ เสี่ยวเว่ยไม่สนใจอีกฝ่ายเท่าไรนัก หลายปีมานี้อวี๋จืออยู่ในจวนเซี่ย อะไร ๆ ก็ล้วนดีไปหมด มีแต่ความรู้สึกเดียวเท่านั้นที่ยังไม่เคยพัฒนา

เขาได้ยินพี่รองเอ่ยถึงเพียงสองครั้ง แต่เขาไม่ชอบ

พี่รองควรจะให้ความสนใจกับเขาที่สุดถึงจะถูกต้อง!

แม้ว่าในใจจะเกิดความคิดปั่นป่วน แต่ใบหน้าของเสี่ยวเว่ยยังคงนิ่งสงบ ก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าอวี๋ ท่านรีบร้อนกลับจวนหรือ? ให้ข้าจัดรถม้าที่เร็วขึ้นหน่อยให้เจ้าหรือไม่?”

“ไม่ต้อง คุณชายเว่ย ข้ากลับพร้อมกับอาจารย์ก็พอ” อวี๋จือรีบโบกมือไปมา

“พอดีเลย ใต้เท้าเซี่ยยังคุยกับแม่นางเซวียอยู่ ข้าว่าน่าจะตามไปทัน”

อวี๋จือยกมือขึ้นมาทำความเคารพแสดงความขอบคุณ จากนั้นก็เร่งฝีเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว

เสี่ยวเว่ยเบะปาก ก่อนจะแค่นเสียงอย่างเย็นชาออกมา “เจ้าท่อนไม้เอ๊ย”

“พี่เชียน เราคุยเป็นการส่วนตัวได้หรือไม่?”

แม่นางเซวียเน้นคำว่า ‘ส่วนตัว’ นี้ แล้วมองไปยังคนขับรถม้าบนรถม้านั้นอีกครั้ง

“เซินเอ๋อร์หลับแล้ว ข้าไม่อยากไปไหนไกล คุยกันตรงนี้เถอะ” เซี่ยเชียนเอ่ยเสียงเรียบ

แม่นางเซวียกัดริมฝีปากอย่างลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “เรื่องตระกูลของเรา ต้องขอบคุณพี่เชียนมาก ๆ ข้าซาบซึ้งใจ…”

“อาหรง” เซี่ยเชียนขมวดคิ้วเป็นปมที่ยากจะสังเกตเห็น “เรื่องนี้เป็นเรื่องในความรับผิดชอบของข้า อีกอย่างในยามนั้นพี่สาวของเจ้าก็เป็นว่าที่คู่หมั้นของข้า อย่างไรข้าก็ต้องช่วยอยู่แล้ว สำหรับคำขอบคุณ หลายปีมานี้เจ้าพูดไปหลายครั้งแล้ว”

เขามีนิสัยนิ่งเฉย หลายปีมานี้เขาแค่รู้สึกว่าเซวียหรงยังมีความเกรงใจ ซึ่งคนอื่นไม่สังเกตเห็นแต่อย่างใด

“ถ้าอาหรงต้องการจะพูดเรื่องนี้ เช่นนั้นข้าขอตัวลา” เซี่ยเชียนกล่าวจบ ไม่รอให้เซวียหรงได้สติกลับมา พลันหมุนตัวกลับเตรียมจะขึ้นรถม้า

“พี่เชียน!” เซวียหรงรีบรุดหน้า ดึงแขนเสื้อของเซี่ยเชียนด้วยความกระวนกระวายใจ

เซี่ยเชียนก้มมองมือของแม่นางเซวีย อีกฝ่ายจึงรีบปล่อยมือเหมือนถูกน้ำร้อนลวกอย่างไรอย่างนั้น จากนั้นก็ถอยหลังสองก้าวแล้วรีบกล่าวขอโทษรัวเร็ว

“อาหรง” เซี่ยเชียนเอ่ยพลางนวดคลายระหว่างหัวคิ้ว “เจ้าคือน้องสาวของข้า เมื่อหลายปีก่อน ข้าเคยบอกแล้วว่าไม่ต้องเกรงใจ และที่บอกว่าจะดูแลเจ้าไปตลอดชีวิตนั้นคือเรื่องจริง”

นางรู้ แต่มันกลับเกิดความคิดที่ไม่ควรหวั่นไหว อยากจะไกลห่าง แต่ดูเหมือนนางจะตกหลุมรักเสน่ห์ของคนที่ชื่อเซี่ยเชียนไปแล้ว

นางรู้ว่านางคือน้องภรรยาของเขา ไม่เคยลืม!

ยิ่งหญิงสาวคิดอยากจะออกห่างเท่าไร ความห่างก็ยิ่งไกล ยิ่งลืมไม่ได้

“พี่เชียน เมื่อครู่ข้าได้ยินเรื่องที่พี่กับแม่ทัพหลินพูดถึงเรื่องของหลินซือ จู่ ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ว่าเราสองตระกูลเคยมีการหมั้นหมายกัน แต่อะไร ๆ ก็เปลี่ยนแปลงได้เสมอ ตอนนี้ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ หลายปีที่ผ่านมา ข้างกายของพี่เชียนก็ไม่มีผู้ใด ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอ้างว้างบ้างหรือ?”

เซี่ยเชียนมองไปยังแม่นางเซวียที่กำลังมองตาของตน ไม่ง่ายนักที่นางกล้าทำเช่นนี้ กระทั่งรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดอะไร วิธีการพูดก็เหมือนกับการกล่าวความจงรักภักดีต่อบ้านเมืองอย่างชำนาญ ก่อนจะค่อย ๆ เปิดทีละประเด็น

วันนี้เซวียหรงตั้งใจรวบรวมความกล้าอย่างชัดเจน นางไม่ได้ยอมแพ้กับคำพูดที่เคร่งเครียดนั้นแต่อย่างใด แต่กลับพูดว่า “เช่นนั้นพี่เซียนไม่อยากมีทายาทแล้วหรือ? หลังจากนี้อีกร้อยปี แม้ว่าจะไม่มีลูกหลานคอยคุกเข่าระลึกถึง แต่ก็ไม่ควรไม่มีแม้แต่คนที่จะมาดูแลพี่นะ”

เขาอยู่โดดเดี่ยว ไม่ต้องการให้ใครมาดูแล

ยิ่งไปกว่านั้น เขามองไปบนรถม้า

ตอนนี้เขาไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวเพียงลำพังแล้ว

“อาหรง” เซี่ยเชียนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่นทันใด “อาเซินเปลี่ยนมาใช้สกุลเซี่ยแล้ว นั่นคือลูกหลานของตระกูลเซี่ย ต่อไปอย่าได้พูดเรื่องนี้อีก จริงสิ จวนเซี่ยยังมีห้องของเจ้าตลอด ถ้าเจ้าอยากกลับไป ย่อมได้ทุกเมื่อ”

ปกติแล้วเขาไม่พูดมากเพียงนี้ เพราะเหยาซูและหลานชายที่มีล้ำค่ามหาศาล พอเป็นเรื่องครอบครัว จึงค่อย ๆ ให้ความสำคัญมากขึ้น

แม่นางเซวียรู้ว่าเซี่ยเชียนไม่อยากจะอธิบายนางไปมากกว่านี้ จึงได้แต่มองร่างเงาของเซี่ยเชียนที่จากไปโดยไร้ซึ่งความอาลัยอาวรณ์ ริมฝีปากถูกกัดจนกลายเป็นสีขาวซีด

ตลอดชีวิตนี้ของนางไม่เคยมีสีหน้าสับสนมาก่อน

“อาจารย์ รอข้าด้วย”

จู่ ๆ ก็มีเสียงอันสดใสเสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง เซวียหรงตัวแข็งทื่อไปทั้งตัว กระทั่งเห็นอวี๋จือวิ่งออกมาจากข้างกายตัวเอง

เขามาตั้งแต่เมื่อไรกัน?

“อาจารย์ เราไปทางเดียวกัน พาข้าไปด้วยได้หรือไม่?”

หลังจากที่อวี๋จือและเสี่ยวเว่ยกล่าวลากัน เขาก็วิ่งหน้าตั้งออกมา กระทั่งตามมาทันในที่สุด

เด็กหนุ่มวิ่งมาด้วยความเหนื่อยหอบ พูดกับอาจารย์ผู้มีพระคุณด้วยความเหนื่อย

เซี่ยเชียนยกมือขึ้นมาทำสัญญาณห้ามพูด แล้วชี้ไปบนรถม้า

อวี๋จือเป็นอันเข้าใจ จากนั้นก็พูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “อาจารย์ เมื่อครู่ข้าไม่เห็นท่าน จู่ ๆ ท่านก็ออกไป ข้าบอกลาแล้วก็รีบไล่ตามมา โชคดีที่ท่านยังไปไม่ไกลขอรับ”

“ข้าเห็นว่าเจ้ากำลังคุยอยู่กับอาจื้อและคนอื่น ๆ การได้พูดคุยกับคนในวัยเดียวกันอย่างพวกเขามากขึ้นเป็นผลดีต่อเจ้านะ” เซี่ยเชียนพูด

“ต่อไปไว้มีโอกาสค่อยคุยกันก็ได้ขอรับ พวกเขาดื่มกันหนักเกินไป ขืนอยู่คุยต่อข้าคงไม่ได้กลับแน่ อาจารย์พาข้าไปด้วยเถิด”

รูปร่างของอวี๋จือสูงกว่าอาจารย์ของตัวเองครึ่งศีรษะ ยามอยู่ต่อหน้าเซี่ยเชียนจึงมักจะก้มหน้าทำตัวเล็กอย่างคุ้นเคย

เซี่ยเชียนมองตนดีไปเสียหมด เพราะเขาเป็นลูกศิษย์ที่น่าภาคภูมิใจและตามติดแจมากที่สุด จึงได้แต่พูดอย่างทอดถอนใจ “ไปกันเถอะ แต่ต้องพูดเสียงเบา ๆ เล่า เซินเอ๋อร์หลับอยู่”

อวี๋จือปิดปากแน่นพร้อมกับพยักหน้าเป็นการให้สัญญา หลังจากขึ้นรถม้าแล้วก็ยังไม่วายโบกมืออำลาให้แม่นางเซวียที่กำลังมองแผ่นหลังของเซี่ยเชียนอยู่ที่เดิมอย่างนิ่งงัน

เซวียหรงฝืนยิ้มตอบรับอวี๋จือกลับไป ความจริงแล้วการได้เห็นท่าทางสนิทสนมระหว่างอวี๋จือและเซี่ยเชียนที่มีการพัฒนาขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ นางกลับรู้สึกอิจฉา

หญิงสาวกำลังครุ่นคิด ถ้าเป็นบุรุษคงจะดื่มสุรากับเซี่ยเชียนได้ นอนด้วยกันอยู่ด้วยกันได้ ไม่ต้องกังวลเสียงซุบซิบนินทาของคนในจวน หรือสายตาพิจารณาทุกฝีก้าวของคนภายนอก…

บนรถม้า

“อาจารย์ แม่นางเซวียพูดสิ่งใดกับท่านหรือขอรับ?”

อวี๋จือยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหูเซี่ยเชียน แล้วเอ่ยถามอย่างกล้าหาญ “ข้ากำลังจะมีอาจารย์หญิงแล้วใช่หรือไม่ขอรับ?”

นัยน์ตาของเซี่ยเชียนเย็นยะเยือก มองไปยังอวี๋จือแวบหนึ่ง “หยุดพูดจาเหลวไหล”

เขาปฏิบัติกับอาหรงเหมือนน้องสาวคนสนิท จะมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวได้อย่างไร!

อวี๋จือไม่แน่ใจ เซี่ยเชียนพูดเพียงประโยคเดียวและไม่พูดอะไรอีก

ทันทีที่เห็นอาจารย์ดูไม่สนใจเซวียหรง

อวี๋จือไม่ได้โง่ เมื่อหลายปีก่อนเขามักจะไปจวนเซี่ยบ่อยครั้ง ย่อมมองออกว่าแม่นางเซวียมีใจให้กับอาจารย์

วันนี้เขาได้ถามออกมาอย่างกล้าหาญ อาจจะเพราะฤทธิ์สุรา แต่เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น ในที่สุดชายหนุ่มก็สบายใจ แล้วนั่งกลับลงไปอย่างว่าง่าย

…………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

นารีมีใจแต่เทพเซียนไร้ไมตรีแท้ๆ ช้ำใจแทนแม่นางเซวียเลยค่ะ

อะไรคะเนี่ย เรือผีอีกลำเหรอ แถมความต่างของส่วนสูงก็กร้าวใจอีก เซี่ยเชียนอยู่กับใครก็อร่อยจริงๆ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท