ในตำหนักประชุมของจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล เหมียวอี้ทำตัวราวกับเพิ่งมาเป็นครั้งแรก กำลังหันมองประเมินรอบๆ
เป็นสามีภรรยากันมาหลายปี อวิ๋นจือชิวค่อนข้างเข้าใจเขา รู้ว่าเขาได้รับผลกระทบจากฉากที่สวีถังหรานและภรรยาหวนมาเจอกันอีกครั้ง เพียงแต่ในด้านความรู้สึกนั้น เขาคงไม่ปาดน้ำตาเหมือนผู้หญิงอย่างพวกนาง
อวิ๋นจือชิวโบกมือไล่เฟยหงและคนอื่นๆ ที่ตามมา แล้วเดินส่ายกระโปรงเบาๆ เข้ามาในตำหนักเพียงคนเดียว เดินมาอยู่ข้างหลังเหมียวอี้
เหมียวอี้ได้ยินเสียงฝีเท้าก็รู้ว่าเป็นใคร เขาถอนหายใจแล้วถามในขณะที่หันหลังให้นาง “ที่บ้านไม่มีเรื่องอะไรใช่มั้ย?” เขาเองก็เข้าใจอวิ๋นจือชิว ตอนที่เขามีงานใหญ่ต้องจัดการ ไม่ว่าที่บ้านจะมีเรื่องอะไร อวิ๋นจือชิวล้วนปิดบังเขาไว้ เพราะกลัวว่าจะรบกวนเขา แต่จะว่าไปแล้ว เรื่องในบ้านอวิ๋นจือชิวก็จัดการได้ดีมากมาตลอด ไม่เคยต้องให้เขากังวลอะไร บริหารบ้านเรือนได้ดีมากและเหมาะสมมาก ทำให้เขาไม่ห่วงหน้าพะวงหลัง
และสำหรับเหมียวอี้แล้ว เขาเองก็พยายามปกป้องตำแหน่งในบ้านของอวิ๋นจือชิวเอาไว้ ไม่อย่างนั้นถ้าเพิ่มปัญหายุ่งยากให้อวิ๋นจือชิว ก็เท่ากับเพิ่มปัญหายุ่งยากให้ตัวเองด้วย ถอยคนละก้าว ฟ้ากว้างทะเลไกล หลักการนี้ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
“ที่บ้านมีเรื่องอะไร” อวิ๋นจือชิวเดินอ้อมมาตรงหน้าเขา สีหน้ากลัดกลุ้มเศร้าใจหายไปทันที นางกล่าวด้วยรอยยิ้มที่เป็นกันเองว่า “ได้ยินว่านายท่านรับสาวงามมาด้วยคนหนึ่ง หม่อมฉันต้องยินดีกับนายท่านด้วยหรือไม่เพคะ?” ในน้ำเสียงแฝงความหมายล้ำลึก
“หืม…สาวงามอะไร?” เหมียวอี้งุนงง ดึงอารมณ์ออกจากเรื่องเมื่อครู่นี้ในชั่วพริบตาเดียว ในใจรู้สึกเครียดนิดหน่อย ทำไมดูจากท่าทางแล้ว เหมือนผู้หญิงคนนี้กำลังจะอาละวาดเลยล่ะ หรือว่านางรู้เรื่องหวงฝู่จวินโหรวแล้ว?
“นี่! แกล้งโง่กับข้ารึไง” อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม แล้วเอานิ้วจิ้มตรงหน้าอกเหมียวอี้ “ทำไมหม่อมฉันได้ยินว่าอ๋องของเผ่าเทพอสรพิษดำคนนั้นไม่ได้สวยธรรมดา เผ่าเทพอสรพิษดำเชียวนะ นายท่านมีรสนิยมจัดจ้านจริงๆ ด้วย ทำไมล่ะ? จะซ่อนสาวงามไว้ในห้องรึไง? ทำไมไม่นำออกมาให้หม่อมฉันดูสักหน่อยล่ะ ใช่ว่าข้าจะไม่เคยเห็นอนุภรรยาภูตผีมารปีศาจพวกนั้นของเจ้า ไม่ถือสาที่จะเห็นคนเผ่าเทพอสรพิษดำเพิ่มอีกสักคนหรอก”
คำพูดประหลาดคลุมเครือพวกนี้ทำให้เหมียวอี้หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่ก็โล่งใจมากเช่นกัน ยังนึกว่าเป็นหวงฝู่จวินโหรวเสียอีก ที่แท้ก็เป็นอ๋องอสรพิษดำ เขามีความมั่นใจทันที คนตัวตรงไม่ต้องกลัวเงาเอียงไงล่ะ แต่นางก็ทำให้เขานึกขึ้นได้ว่ามีอ๋องอสรพิษดำ เขายังไม่ได้ปล่อยออกมา เพียงถอนหายใจแล้วบ่นว่า “น้องชิว คิดอะไรซี้ซั้ว ข้าเป็นคนประเภทนั้นเหรอ? ข้า…”
“จูเก๋อชิง…” อวิ๋นจือชิวถือโอกาสเอ่ยชื่อหนึ่งออกมาตัดบทเขา
“…” เหมียวอี้อ้าปากค้างทันที ถึงขั้นอับอายจนโมโหด้วย ทำไมเอาแต่เอ่ยเรื่องนี้ อาศัยฐานะของพ่อ มีผู้หญิงมากหน่อยจะเป็นไรไป?
แน่นอน คำพูดนี้เก็บไว้ในใจเท่านั้น ไม่กล้าพูดออกมาแน่นอน ไม่อย่างนั้นผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าจะต้องถือดาบมาสู้ตายกับเขาแน่นอน
เอาความจริงมาพูดกันดีกว่า เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะว่า “ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดเลย”
“ทำไมข้ารู้สึกว่ารอยยิ้มของเจ้าดูปลอมล่ะ?” อวิ๋นจือชิวแสยะยิ้ม
“คือย่างนี้นะ…” เหมียวอี้เล่าเรื่องระหว่างตัวเองกับอ๋องอสรพิษดำให้ฟังคร่าวๆ ทันที สุดท้ายก็ปล่อยอ๋องอสรพิษดำออกจากกระเป๋าสัตว์
อ๋องอสรพิษดำรีบมองไปรอบๆ ทันทีที่โผล่หน้าออกมา เหมียวอี้บอกว่า “ไม่ต้องเดาแล้ว ที่นี่คือจวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล ท่านนี้คือฮูหยินของข้า อวิ๋นจือชิว”
แล้วผู้หญิงสองคนนี้ก็มองประเมินกันด้วยความสงสัย
อ๋องอสรพิษดำมองอวิ๋นจือชิวด้วยสายตาผิดคาดนิดหน่อย ตามข่าวลือ ผู้หญิงที่ทำให้หนิวโหย่วเต๋อยอมนำกำลังพลครึ่งธงพยัคฆ์ไปสู้ตายกับทัพหนึ่งล้านของน่านฟ้าระกาติง แม้จะสวยและมีสง่าราศีไม่ธรรมดา แต่ก็ไม่ถึงขั้นงามล่มเมืองจนทำให้คนระดับหนิวโหย่วเต๋อสู้ตายเพื่อนาง แต่งตัวรุ่มร่ามด้วย ถ้าจะพูดแบบไม่น่าฟังหน่อยก็คือ แต่งตัวบ้านๆ
นางจะไปรู้ได้อย่างไรว่าอวิ๋นจือชิวมีเรือนร่างที่ยั่วราคะ เป็นเพราะหลังจากจบเรื่องน่านฟ้าระกาติงแล้วกลัวจะสร้างปัญหาให้เหมียวอี้อีก เลยตั้งใจแต่งตัวให้สงบเสงี่ยม การที่ผู้หญิงคนหนึ่งสามารถข่มธรรมชาติความรักสวยรักงามแบบนี้ไว้ได้ ก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย
อวิ๋นจือชิวเดินวนรอบอ๋องอสรพิษดำที่สวมชุดกระโปรงยาวสีดำทั้งตัว มองสำรวจศีรษะจดเท้า พบว่าความงามของอ๋องอสรพิษดำแข่งกับเฟยหงได้เลย แต่เสน่ห์อันลึกลับราวกับดวงดาวในความฝันนั้นกลับเป็นสิ่งที่เฟยหงเทียบไม่ติด โดยเฉพาะเรือนร่างที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ได้ด้อยไปกว่านาง ผมยาวที่คลุมบ่าอย่างอิสระช่วยเพิ่มเสน่ห์ไปอีกแบบ
พอมองไปมองมา ในใจอวิ๋นจือชิวก็เริ่มไม่พอใจแล้ว นางเลิกคิ้วมองเหมียวอี้แวบหนึ่ง
เหมียวอี้เดาออกแล้วว่านางกำลังคิดอะไร ได้แต่เงยหน้ามองเพดานอย่างพูดไม่ออก จิตใจเปี่ยมด้วยมโนธรรม เขาไม่ได้คิดอะไรกับอ๋องอสรพิษดำคนนี้เลยจริงๆ ตอนนี้ในมือยังมีงานสำคัญต้องทำ จะมีกะจิตกะใจมาคิดเรื่องผู้หญิงได้อย่างไร
“เจ้าก็คืออ๋องอสรพิษดำเหรอ?” อวิ๋นจือชิวที่เดินมาตรงหน้าอ๋องอสรพิษดำสอบถาม
“ไม่ใช่! อ๋องอสรพิษดำคือเรื่องในอดีต ตอนนี้อ๋องอสรพิษดำคือคนอื่นแล้ว ชื่อของข้าคือซิง” หลังจากซิงแนะนำตัวแล้ว ก็ย่อตัวทำความเคารพ “คำนับฮูหยิน”
อวิ๋นจือชิวเองก็ไม่เอ่ยเรื่องเป็นทาสเช่นกัน ถึงอย่างไรเมื่อครู่นี้เหมียวอี้ก็บอกไว้แล้ว ว่าระหว่างเขากับอ๋องอสรพิษดำมีข้อตกลงต่อกัน ว่าไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องนี้ต่อใครได้ นางไม่อยากทำงานของเหมียวอี้พัง “ซิง[1]? มีแค่ตัวอักษรเดียวเหรอ?”
“ใช่แล้ว ชื่อก็เป็นแค่คำเรียกเท่านั้น จะตัวอักษรมากหรือน้อยก็ไม่ต่างกัน” ซิงตอบอย่างใจเย็น
“มาขอพึ่งพานายท่านด้วยความจริงใจหรือเปล่า?” อวิ๋นจือชิวถาม
ซิงพยักหน้า “ใช่แล้ว” แล้วก็มองไปที่เหมียวอี้อีก “จะคลายผนึกบนตัวข้าเมื่อไร?”
อวิ๋นจือชิวพูดแทรก “วรยุทธ์ของเจ้าไม่ธรรมดา ถ้าคลายผนึกออก แล้วเจ้ามีเจตนาไม่ซื่อขึ้นมาจะทำยังไง?”
“ข้าสาบานไว้แล้ว” ซิง
อวิ๋นจือชิวมองเหมียวอี้ “เชื่อถือได้มั้ย?”
“น่าจะได้มั้ง” เหมียวอี้เอามือลูบจมูก ดูจาดสถานการณ์ที่สระน้ำมังกรดำ ผู้หญิงคนนี้น่าจะไม่ทรยศคำสาบานที่ตัวเองมีต่อคนในเผ่า ทว่าเรื่องแบบนี้ใครจะแน่ใจได้?
“จะคลายผนึกให้เจ้าเมื่อไรน่ะเหรอ ข้าต้องรอดูอีกที” อวิ๋นจือชิวเหมาเรื่องนี้ไว้ในความรับผิดชอบของตัวเอง แล้วถามเหมียวอี้อีกว่า “เก็บไว้ใช้งานข้างกายข้า เจ้าคงไม่ว่าอะไรใช่มั้ย?”
เหมียวอี้ยิ้มเจื่อน “เจ้าจัดการตามเห็นสมควรเถอะ”
“เชียนเอ๋อร์!” อวิ๋นจือชิวตะโกนเรียกข้างนอกอีก เรียกเชียนเอ๋อร์เข้ามา แล้วสั่งให้พาตัวซิงไป จากนั้นก็กำชับว่าให้จับตาดูซิงให้ดี
แยกจากกันไปนานก็เหมือนคู่แต่งงานใหม่ ต่อมาการออกแรงทำงานเพื่อ ‘ส่งข้าว’ ให้ท่านขุนนางเหมียวก็คือสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้
หลังจากสุขสำราญกันแล้ว อวิ๋นจือชิวก็ยังนอนกอดเหมียวอี้อยู่บนเตียงโดยไม่ยอมขยับไปไหนราวกับเป็นหนวดปลาหมึก เหมียวอี้แกะแขนขานางออก เพราะเขายังมีธุระสำคัญต้องจัดการ
เขาใส่ชุดลำลองเดินออกจาดห้อง ร่างกายและจิตใจผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย อารมณ์ฟุ้งซ่ายหายไปหมดสิ้น ทั้งตัวสงบเยือกเย็นแล้ว
เขามาเจอกับหยางเจาชิงในลานบ้านด้านนอก จากนั้นก็ถามถึงสถานการณ์ด้านนอก หลังจากรู้ว่ายาแก่นเซียนราคาสูงขึ้นเยอะ เหมียวอี้ก็รู้สึกขำ “คาดว่าถ้าไม่ใช่ท่านนั้นของวังสวรรค์ ก็เป็นคนของตระกูลเซี่ยโห้วที่ก่อกวน ตระกูลอื่นคงจะไม่ซ้ำเติมอิ๋งจิ่วกวงในเวลานี้ เรื่องนี้ไม่ต้องสนใจ เอาเป็นว่าอย่าชดเชยให้พวกเราน้อยลงก็พอ”
หลังจากปรึกษาเรื่องบางอย่างกัน หยางเจาชิงก็กล่าวขอตัวลา ส่วนเหมียวอี้ก็ได้รับข่าวจากหยางชิ่งเร็วมาก พอหยางชิ่งได้ยินเรื่องที่อ๋องอสรพิษดำมาที่นี่ ก็แปลกใจว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่
เหมียวอี้เล่าสถานการณ์ให้ฟังคร่าวๆ สุดท้ายก็กล่าวอย่างจนใจ : เผ่าเทพอสรพิษดำได้เจอกับอ๋องแบบนี้ เป็นทั้งโชคดีและโชคร้าย ถ้ามองจากบางมุม คนนิสัยอย่างซิงไม่เหมาะจะกลายเป็นอ๋องของเผ่าเทพอสรพิษดำ
หลังจากหยางชิ่งครุ่นคิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก็บอกมุมมองอีกอย่าง : นายท่าน การที่ซิงทำอย่างนี้ เกรงว่าคงไม่ใช่อย่างที่ท่านจินตนาการ
เหมียวอี้ : หรือว่ามีเงื่อนงำอย่างอื่น?
หยางชิ่ง : นายท่านลองคิดดูสิ การที่เผ่าเทพอสรพิษดำมีที่ยืนอยู่ในใต้หล้า ก็ถือว่าหมดความเป็นไปได้ที่จะมีกำลังทหารที่พึ่งพาได้แล้ว ถ้ากำลังทหารแข็งแกร่งเมื่อไร ก็จะทำให้ถูกฆ่าล้างเผ่า ไม่ว่าประมุขคนไหนก็ไม่ยอมให้เผ่าเทพอสรพิษดำยิ่งใหญ่ขึ้นกว่านี้ หนทางรอดที่ดีที่สุดของเผ่าเทพอสรพิษดำก็คือ เลิกแข่งขันด้านกำลังทหารกับโลกภายนอก ทว่าสระน้ำมังกรดำดันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อย่างน้อยในสายตาเผ่าเทพอสรพิษดำ ในศึกนี้เผ่าเทพอสรพิษดำก็ได้แสดงบทบาทสำคัญแล้ว จู่ๆ พวกเขาก็พบว่าตัวเองมีศักยภาพในการสู้กับทัพตะวันออก เกรงว่าสภาพจิตใจคงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่บ้าง ลองคิดดู ถ้ารู้สึกว่าตัวเองมีศักยภาพ ยังจะมีใครยอมถูกคนอื่นควบคุมไปตลอดอีกเหรอ? การที่อ๋องอสรพิษดำไปแล้วกลับมาหานายท่านอีกครั้ง เกรงว่าคงตระหนักได้ถึงจุดนี้แล้ว นางอาศัยอิทธิพลของตัวเองที่มีต่อเผ่ามาควบคุมจิตใจทะเยอะทะยานซึ่งจะก่อหายนะต่อเผ่า ตั้งแต่นางให้โม่โหยวรับตำแหน่งอ๋องต่อก็มีแนวโน้มนี้แล้ว นางเข้าใจชัดเจนว่าจะให้คนที่มีใจทะเยอะทะยานมาคุมเผ่าเทพอสรพิษดำไม่ได้…แน่นอน ข้าน้อยไม่ได้รู้จักเผ่าเทพอสรพิษดำดีนัก นี่เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น
เหมียวอี้ : ถ้าพูดแบบนี้ ก็แสดงว่าอ๋องอสรพิษดำคนนี้แผนสูงมาก
หยางชิ่ง : ก็ไม่แน่ว่าจะแผนสูง ถ้าฉลาดจริงๆ ก็คงไม่เลือกมาเป็นทาสของนายท่าน…ข้าน้อยไม่ได้หมายความอย่างอื่นนะ
เหมียวอี้เข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่อ ฝั่งตัวเองก็ไม่ใช่ที่ที่สงบเท่าไร ถ้าเข้าใจสถานการณ์ก็จะรู้ว่าเขาอาจมีปัญหาและทำให้เผ่าเทพอสรพิษดำเดือดร้อนไปด้วยก็ได้
เรื่องของอ๋องอสรพิษดำ หยางชิ่งก็แค่ถือโอกาสถามเท่านั้น เรื่องที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือปรึกษากับเหมียวอี้ถึงแผนการขั้นที่สอง ฉวยโอกาสตอนที่ยังมีตระกูลอิ๋งต้านให้ ตอนยังไม่มีใครมาหาเรื่องที่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาล รีบอาศัยข้ออ้างในการปราบโจรครั้งนี้เลื่อนยศให้ลูกน้อง ตอนนี้เป็นเวลาที่แรงต้านน้อยที่สุด
ทั้งสองวางแผนลับกันนานมาก…
หยางเจาชิงที่เตรียมงานเสร็จแล้วกลับมาที่บ้านของตัวเอง ยังไม่ทันได้อุ่นเตียงกับหลินผิงผิง สวีถังหรานกับเสวี่ยหลิงหลงก็มาแล้ว
ที่มาที่นี่ก็ไม่ใช่เพราะเรื่องอะไร เมื่อรู้จากปากสวีถังหรานว่าหยางเจาชิงเสี่ยงอันตรายไปช่วยสามีนาง เสวี่ยหลิงหลงก็ดึงสวีถังหรานมาขอบคุณทันที
เมื่อเห็นเสวี่ยหลิงหลงตื้นตันใจจนจะคุกเข่าขอบคุณ หยางเจาชิงก็รีบบอกใบ้ให้หลินผิงผิงประคองเสวี่ยหลิงหลงขึ้นมา แล้วปลอบใจว่า “ทำตัวห่างเหินแล้ว เป็นคนกันเองทั้งนั้น เป็นเรื่องที่อยู่ในหน้าที่ ถ้าข้าประสบเคราะห์บ้าง เชื่อว่าพี่สวีก็คงช่วยข้าเต็มที่เหมือนกัน”
คำพูดนี้ทำให้สวีถังหรานรู้สึกละอายนิดหน่อย เขาลองถามตัวเอง ว่าถ้าหยางเจาชิงตกอยู่ในสภาพเดียวกับเขาจริงๆ เขาก็อาจจะไม่ไปเสี่ยงอันตรายเหมือนหยางเจาชิงก็ได้…
หลังจากนั้นเกือบครึ่งเดือน เหมียวอี้ก็ได้รีบยาแก่นเซียนหนึ่งหมื่นล้านล้าน ส่วนศพที่อยู่ในมือก็ส่งให้ตระกูลอิ๋งหมดแล้ว
ตอนนี้ยาแก่นเซียนข้างนอกขาดตลาด ราคาสูงลิ่ว เบื้องล่างก็ต้องใช้ยาแก่นเซียนมาฝึกตน เหมียวอี้ที่เป็นผู้ริเริ่มจะให้พวกลูกน้องต้องแบกรับความลำบากนี้ไม่ได้ ยาแก่นเซียนที่ได้มาจึงแก้ไขปัญหาได้พอดี นี่ไม่ใช่ปัญหาเรื่องมีเงินหรือไม่มีเงิน
“ไม่กลัวข้ามีเจตนาไม่ซื่อแล้วเหรอ?”
ในลานบ้าน เหยียนซิวคลายผนึกบนตัวซิงแล้ว จากนั้นถอยกลับไปอยู่ข้างกายเหมียวอี้ ส่วนซิงก็ถามอย่างประหลาดใจ
เหมียวอี้มองอวิ๋นจือชิวที่อยู่ข้างกัน แล้วตอบด้วยรอยยิ้มเจื่อน “นี่ไม่ใช่ความคิดของข้า ในจวนมีธรรมเนียม ฮูหยินเป็นคนดูแลผู้หญิงทั้งหมด ในเมื่อฮูหยินบอกว่าคลายผนึกบนตัวเจ้าได้ ข้าก็ไม่มีความเห็นแย้งอะไร”
อวิ๋นจือชิวถลึงตามองเขา การที่เขาพูดแบบนี้ทำให้นางดูเหมือนแม่เสือ ทำอย่างกับเจ้ากลัวเมียมาก
เหมียวอี้หัวเราะกลบเกลื่อน แล้วโยนกำไลเก็บสมบัติให้ซิงวงหนึ่ง
ซิงที่รับกำไลมาไว้ในมืออึ้งนิดหน่อย ถามด้วยความสงสัย “นี่คือ?”
“สามพันล้านล้านยาแก่นเซียน” เหมียวอี้ตอบพร้อมรอยยิ้ม
…………………