บทที่ 484 อาจารย์และลูกศิษย์
บทที่ 484 อาจารย์และลูกศิษย์
เซี่ยเชียนเดินออกจากห้องทรงอักษร ประตูห้องด้านหลังได้ถูกปิดลงด้วยเสียงเบา สายตาที่ไม่อาจเพิกเฉยได้หายไปจากหลังประตูบานนั้น
เซี่ยเชียนผ่อนคลายเส้นประสาทอันตึงเครียดลงเล็กน้อย จากนั้นก็ก้าวเท้าลงขั้นบันไดของห้องทรงอักษรอย่างมั่นคง
“ใต้เท้าเซี่ย ช้าก่อนขอรับ!”
ขันทีผู้หนึ่งวิ่งไล่ตามหลังมา เซี่ยเชียนจำได้ว่าขันทีผู้นี้คือบุตรชายร่วมสาบานของพ่อบ้านจางที่คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายองค์จักรพรรดิ
“เสี่ยวจางกงกง ฝ่าบาททรงมีสิ่งใดจะรับสั่งหรือ?” เซี่ยเชียนกล่าวเสียงราบเรียบ
เสี่ยวจางกงกงนำกล่องผ้าใบหนึ่งที่ถืออยู่ในมือยื่นให้กับเซี่ยเชียน และกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ปีนี้หิมะตกค่อนข้างหนัก ฝ่าบาททรงเป็นกังวลว่าใต้เท้าเซี่ยจะหนาวกายขณะเดินทางไปกลับวังทุกวัน ดังนั้นจึงให้ข้าน้อยนำยาบำรุงร่างกายเหล่านี้มาส่งมอบให้ท่านขอรับ”
เซี่ยเชียนชำเลืองมองกล่องเล็กนั้นด้วยสายตานิ่งสงบ ก่อนจะกล่าวด้วยสีหน้านิ่งเฉย “ขอบพระทัยในความเมตตากรุณาของฝ่าบาท ลำบากเสี่ยวจางกงกงแย่”
“ไอหยา ท่านราชครูเกรงใจข้าเกินไปแล้วขอรับ” ขันทีเสี่ยวจางโบกมือไปมา จากนั้นก็ล้วงหยิบสิ่งของที่เหมือนกันยื่นไปตรงหน้าของเซี่ยเชียน แล้วกล่าวเสียงต่ำว่า “ตอนนี้อากาศค่อนข้างหนาว ใกล้ถึงช่วงปีใหม่เมืองหลวงก็ยังไม่ค่อยสงบนัก ดังนั้นจักรพรรดิจึงทรงตระเตรียมป้ายคำสั่งที่สามารถเข้าออกวังหลวงได้ตามใจชอบชิ้นนี้มาให้ท่านราชครู ต่อไปแม้ในวันอากาศไม่ดี ท่านสามารถเข้าไปพักในวังหลวงได้ขอรับ”
ครานี้เซี่ยเชียนกลับไม่ยอม ขณะที่ถอยหลังหนึ่งก้าวเขาได้เลื่อนมือของขันทีเสี่ยวจางกลับไป แล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทตรัสเกินไป ชี้แนะองค์รัชทายาทเป็นหน้าที่ของข้า ไฉนเลยต้องน้อมรับพระคุณอันล้นพ้นนี้ อีกอย่างเซี่ยเซินก็ยังอายุน้อย ข้าไม่วางใจให้เขาไปมาหาสู่ระหว่างจวนเซี่ยและวังหลวงเพียงลำพัง ดังนั้น ป้ายคำสั่งชิ้นนี้ได้โปรดเก็บกลับไปเถิด”
“แต่…“
“กงกง” เซี่ยเชียนเพิ่มน้ำเสียงให้หนักแน่นขึ้น “ได้โปรดช่วยกลับไปปราบทูลฝ่าบาทด้วย ให้เขาเก็บป้ายคำสั่งนี้กลับไปเสียเถิด”
ความหนักแน่นของเซี่ยเชียนทำให้เสี่ยวจางกงกงจำต้องเก็บป้ายคำสั่งชิ้นนี้ แล้วมองแผ่นหลังที่เดินจากไปของอีกฝ่ายด้วยความทอดถอนใจอยู่ในใจ ป้ายคำสั่งที่องค์จักรพรรดิพระราชทาน ในสายตาของบางคนเป็นเกียรติอันสูงส่ง แต่กลับมีบางคนปฏิเสธอย่างไม่เกรงกลัว
สายลมที่โบยพัดมาพร้อมกับเกล็ดหิมะ ได้พัดผ่านร่างของเสี่ยวจางกงกงจนหนาวสะท้าน ไม่มีกะจิตกะใจจะมีอารมณ์หวั่นไหว รีบกระชับเสื้อคลุมแล้วกลับเข้าไปในห้องทรงอักษร
“ฝ่าบาท ท่านราชครูเซี่ยไม่รับป้ายคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ” เสี่ยวจางกงกงนำป้ายคำสั่งทูนขึ้นเหนือหัวแด่องค์จักรพรรดิอย่างสุภาพ
องค์จักรพรรดิไม่ตรัสสิ่งใด เสี่ยวจางกงกงไม่กล้าขยับเช่นกัน ทำได้แค่โน้มตัวเช่นนั้นต่อไป ด้วยความอึดอัดที่ค่อย ๆ เกิดขึ้นในใจ
ไม่รู้ว่านานเพียงใด เสี่ยวจางกงกงดูเหมือนจะได้ยินเสียงทอดถอนใจที่ไม่เบานักดังมาจากเหนือศีรษะของตน ไม่นานมือที่ทูนเหนือหัวก็รู้สึกเบาลง หมายความว่าองค์จักรพรรดิได้รับป้ายคำสั่งไปแล้ว
“ลุกขึ้นเถอะ ท่านราชครูรับยาบำรุงอะไรเหล่านั้นไหม?” จักรพรรดิลูบไล้บนป้ายคำสั่งในมือพลางตรัสถาม
เสี่ยวจางกงกงครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็กราบทูลคำขอบคุณสำหรับยาบำรุงจากปากของเซี่ยเชียนแด่องค์จักรพรรดิโดยไม่ให้ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
“เข้าใจแล้ว เจ้าออกไปเถอะ” จักรพรรดิฟังจบใบหน้าก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกใด นอกจากโบกมือไปมา เสี่ยวจางกงกงจึงรีบถอยออกไป
เซี่ยเชียนเดินเข้าไปในตำหนักตะวันออกด้วยสีหน้าปกติเฉกเช่นเดิม ความจริงแล้วในหัวของเขาเต็มไปด้วยเรื่องป้ายคำสั่งชิ้นนั้น
ความจริงมันก็เป็นแค่ป้ายคำสั่งเท่านั้น เขาเป็นถึงราชครูขององค์รัชทายาท รับไปก็ไม่เสียหายอะไร
แต่ขุนนางฝ่ายนอกที่เข้าออกวังหลวงได้ตามใจชอบ โดยส่วนใหญ่ล้วนได้รับสมญานามเป็นขุนนางผู้ได้รับความโปรดปราน เซี่ยเชียนไม่อยากให้ตัวเองโดนนินทาว่าร้ายลับหลัง และไม่อยากให้องค์จักรพรรดิทรงมีมลทินอะไรเพราะเรื่องนี้
เซี่ยเชียนกำลังเหม่อลอย แม้แต่เสียงขานเรียกชื่อของเขาจากคนด้านหลังถึงสองครั้งก็ยังไม่ได้ยิน
อวี๋จือที่คอยเดินตามมาตลอดได้วิ่งรุดหน้าเข้ามาโอบไหล่ของเซี่ยเชียน แล้วพูดอย่างน้อยใจ “ท่านอาจารย์ เหตุใดท่านถึงไม่สนใจข้ากันขอรับ?”
เซี่ยเชียนเพิ่งสังเกตเห็นลูกศิษย์ของตัวเอง จึงกล่าวขอโทษ “เมื่อครู่ข้ากำลังคิดบางอย่าง”
“เรื่องอะไรหรือขอรับ?” อวี๋จือแกล้งทำเป็นจริงจัง “ข้าเห็นอาจารย์เดินมาจากห้องทรงอักษรฝั่งนั้น ทำให้อาจารย์กลุ้มใจเช่นนี้ คงมีเรื่องใหญ่อะไรใช่หรือไม่ขอรับ?”
อวี๋จือรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ในตอนที่เสี่ยวจางกงกงยื่นป้ายคำสั่งให้เซี่ยเชียน เขาอยู่ห่างออกไปสิบก้าวกว่า ทุกประโยคในบทสนทนาของทั้งสองคนดังเข้ามาในหูของเขาอย่างชัดเจน ที่ถามก็แค่อยากเห็นว่าอาจารย์ของตัวเองจะบอกตนหรือไม่เท่านั้น
“เรื่องที่คุยกับองค์รัชทายาท” เซี่ยเชียนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
สายตาของอวี๋จือหม่นหมองลงในทันที
เป็นอย่างที่คิดไว้ อาจารย์ไม่อยากบอกตน
“อาจารย์ ท่านดูจะให้ความสนใจองค์รัชทายาทมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วนะขอรับ ข้ายังเป็นลูกศิษย์ที่อาจารย์โปรดปรานที่สุดอยู่หรือไม่ขอรับ?”
อวี๋จือเป็นชายหนุ่มร่างสูงกว่าเซี่ยเชียน แต่ครั้นอยู่ต่อหน้าเซี่ยเชียนกลับไม่เคยโตเลย ทั้งยังเหมือนหัวไชเท้าน้อยที่เพิ่งอายุเพียงไม่กี่สิบขวบ
อวี๋จือเป็นลูกศิษย์ที่เซี่ยเชียนภูมิใจที่สุด และเป็นน้องเล็กสุดก่อนที่จะมีองค์รัชทายาท
อาจจะเพราะถูกชะตากับเซี่ยเชียน เห็นได้ชัดว่าลูกศิษย์คนอื่นยามอยู่ต่อหน้าเซี่ยเชียนต่างพากันนั่งตัวเกร็งนิ้วแทบไม่กระดิกเพราะกลัวว่าจะถูกเรียกจับผิดบางอย่าง แต่อวี๋จือกลับเป็นเด็กที่ชอบประจบประแจงออดอ้อนยามอยู่ต่อหน้าเซี่ยเชียนจนเป็นนิสัยไปแล้ว
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?” เซี่ยเชียนยิ้มให้กับการหยอกเย้าของอวี๋จือ “ตอนนี้ข้าเป็นถึงราชครูขององค์รัชทายาท การทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อองค์รัชทายาทเป็นเรื่องที่สมควรทำไม่ใช่หรือ?”
“เช่นนั้นท่านอาจารย์ก็บอกได้สิว่าองค์รัชทายาททรงฉลาดหรือว่าข้าที่ฉลาดกว่า?” อวี๋จือยังไม่ยอมแพ้
“เอาความจริง” ครั้นเซี่ยเชียนได้ยินอีกฝ่ายถามคำถามที่ไร้เดียงสา นัยน์ตาคู่นั้นได้แฝงไปด้วยรอยยิ้ม แล้วกล่าวกึ่งเตือนว่า “ที่นี่วังหลวง ระวังถูกผู้อื่นได้ยินแล้วจะกล่าวโทษเจ้าเสีย”
“ข้าเห็นว่าคนที่พูดเช่นนี้ได้ก็มีแต่อาจารย์เท่านั้นขอรับ หรือว่าท่านอยากกล่าวโทษข้าใช่หรือไม่ขอรับ?” อวี๋จือมองตาปริบ ๆ พร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้เซี่ยเชียน
ตอนนี้เขาเหมือนจิ้งจอกน้อยตัวหนึ่งก็มิปาน
เซี่ยเชียนยิ้มพลางผลักศีรษะของอวี๋จือออกไป “ขืนเจ้ายังพูดจาผิดทำนองคลองธรรมอีก ข้าจะลงโทษเจ้าก่อน”
“ท่านอาจารย์ไม่ทำหรอกขอรับ” อวี๋จือหัวเราะพลางเดินตามอยู่ข้างกายเซี่ยเชียน เดินเป็นเพื่อนเขาไปตำหนักตะวันออก ส่วนเซี่ยเชียนก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะอวี๋จือไปตลอดทาง จนเพิ่งนึกสิ่งหนึ่งได้เลยโพล่งถามออกไป “เจ้าเข้าวังมาทำไม?”
อวี๋จือล้วงหยิบตำราพับเล่มหนึ่งออกมาจากในอก แล้วกล่าวว่า “ตำราประวัติศาสตร์ของคลังตะวันออกใกล้ซ่อมเสร็จแล้ว ข้านำสาส์นกราบทูลมาส่งขอรับ”
“แล้วไยเจ้ายังไม่รีบไปอีก” เซี่ยเชียนทำสีหน้าขึงขัง “สหายของเจ้ารอเจ้าอยู่ เหตุใดเจ้าถึงยังเสียเวลาอยู่กับข้าที่นี่?”
“พวกเขาสบายจะตาย” อวี๋จือบ่นพึมพำ แต่ครั้นเห็นเซี่ยเชียนมีสีหน้าเคร่งขรึม ก็รู้ทันทีว่าต่อให้ตัวเองอธิบายอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ “อาจารย์ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ!”
ครั้นอวี๋จือพูดจบ ก็รีบทำความเคารพและกล่าวลาทันที จากนั้นก็วิ่งหายวับไป
เมื่อเห็นท่าทางโวยวายจากลูกศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจที่สุด เซี่ยเชียนได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
ส่วนเซี่ยเซินเดินวนหาในวังหนึ่งรอบก็ยังไม่พบเซี่ยเชียน ในตอนที่เขาเดินออกไปหานั้น ก็บังเอิญชนกับเซี่ยเชียนที่เพิ่งกลับมาอย่างจัง
“ท่านปู่?!” เซี่ยเซินวิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจ “ท่านไปไหนมาขอรับ ข้าอยู่กับองค์รัชทายาทครู่เดียว ก็หาท่านไม่เจอเสียแล้ว”
เซี่ยเชียนลากตัวของเซี่ยเซินเดินกลับไป “ข้าไปห้องทรงอักษรมา คุยเรื่องบางอย่างกับองค์จักรพรรดิ”
เซี่ยเซินพยักหน้าอย่างว่าง่าย แต่ในใจกำลังครุ่นคิดเรื่องขององค์รัชทายาท กระทั่งพูดกับเซี่ยเชียนอย่างระมัดระวัง “ท่านปู่ ท่านจะไม่ให้ฝ่าบาทไปเข้าร่วมพิธีปักปิ่นผมจริง ๆ ใช่หรือไม่ขอรับ?”
เซี่ยเชียนไม่ตอบคำถามของเซี่ยเซิน แต่โต้กลับไปว่า “วันนี้ฝ่าบาททรงพูดคุยเรื่องหิมะที่ตกทางตอนเหนือกับข้า วันที่สิบเก้าข้าต้องไปจัดการเรื่องนี้ วันนั้นเจ้าก็ต้องสอนองค์รัชทายาทด้วยตัวเอง”
เซี่ยเซินตกตะลึงงัน ดวงตาคู่นั้นเปล่งประกายระยิบ
“ท่านปู่! ท่านหมายถึง?!” เราแอบออกไปได้เช่นนั้นหรือ?
เซี่ยเซินควบคุมตัวเองไม่ให้พูดจบ เซี่ยเชียนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพยักหน้าให้เขา
“เยี่ยมไปเลย!” เซี่ยเซินดีใจอย่างอดไม่ได้ ดวงตาจับจ้องไปยังเซี่ยเชียนด้วยสายตาเปล่งประกาย
“ไปกราบทูลองค์รัชทายาทเถิด จำไว้ว่าต้องเงียบ”
“ขอรับ ขอบคุณท่านปู่ขอรับ!” เซี่ยเซินโผเข้ากอดเซี่ย ไม่นานก็วิ่งออกไปไกล
เซี่ยเชียนตกใจอ้อมกอด ครั้นได้สติกลับมาก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเซี่ยเซินแล้ว จึงคลี่ยิ้มอย่างจนปัญญาอยู่ที่เดิม
หลายปีมานี้ การมีเซี่ยเซินอยู่ข้างกาย ทำให้เขายิ่งกลายเป็นคนใจร้อนไปเสียสนิท
…………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ราชครูเซี่ยอยู่กับใครก็เคมีดีไปหมดเลยค่ะ ทั้งฝ่าบาทและลูกศิษย์ก็เป็นห่วง
ไหหม่า(海馬)