บทที่ 490 ออกจากเรือน
บทที่ 490 ออกจากเรือน
หลังจากเสร็จสิ้นพิธีปักปิ่นแล้วก็ถึงวันปีใหม่พอดี ทุกคนในจวนแม่ทัพก็ต่างยุ่งวุ่นวายเพราะเรื่องนี้
เพราะปีนี้ไม่ง่ายเลยที่หลินเหราและเหยาซูจะว่างอยู่ที่จวน ประกอบกับหลินซือเติบโตเป็นสาวเต็มวัยพอดี ด้วยเหตุนี้จึงตัดสินใจจัดงานฉลองอย่างครึกครื้น อุปกรณ์ในการจัดพิธีปักปิ่นของหลินซือเพิ่งจะถูกรื้อถอนออกไปไม่นาน พื้นที่ว่างเหล่านั้นก็ถูกครอบครองด้วยอุปกรณ์วันปีใหม่แล้ว
แม้ว่าขั้นตอนการเตรียมงานจะเหนื่อยยาก แต่วันปีใหม่สำหรับทุกคนคือการเริ่มต้นสิ่งใหม่ หลินซือช่วยงานอย่างขยันขันแข็ง แต่งานปีใหม่แตกต่างจากพิธีปักปิ่น โดยหลักแล้วเหยาซูผู้ซึ่งเป็นเจ้าภาพจะเป็นฝ่ายรับผิดชอบ ดังนั้นหลินซือจึงมักปลีกตัวจากงานยุ่งภายใต้การอนุญาตของเหยาซู
เหมือนเช่นวันนี้ หลังจากที่หลินซือบากหน้าไปอ้อนวอนถึงหน้าประตูหลายครั้งหลายครา ในที่สุดก็ดึงตัวไป๋หรูปิงที่กำลังวุ่นกับการเตรียมงานวันปีใหม่ในตระกูลไป๋ออกมาได้
ความจริงแล้วหลินซือไม่มีธุระอะไร ตัวเองเพียงเบื่อที่ต้องอยู่แต่ในเรือน ดังนั้นจึงอยากลากอีกฝ่ายไปเดินเล่น ตัวเลือกแรกของหลินซือคือเจี่ยงเถิง แต่ช่วงนี้ใกล้วันปีใหม่ เจี่ยงเถิงจึงยุ่งจนตัวเป็นเกลียว มีครั้งหนึ่งหลินซือยืนอยู่หน้าประตูจวนเจี่ยง แต่เมื่อเห็นเจี่ยงเถิงลงจากรถม้าเดินเข้าบ้านด้วยความเหนื่อยล้า ก็ได้แต่ยืนนิ่งงันอย่างนั้นโดยไม่ส่งเสียงเรียกออกไป
ในเมื่อเจี่ยงเถิงกำลังยุ่ง ไป๋หรูปิงจึงต้องรับกรรมไป
“พี่ไป๋ พี่ดูนี่สิว่าสวยไหม?” หลินซือหยิบเชือกถักที่สลับซับซ้อนชิ้นหนึ่งขึ้นมาจากแผงลอยตามใจตัวเอง
แม้ว่าไป๋หรูปิงจะมีเรื่องที่วางใจไม่ได้ แต่ก็ยังดูของที่อยู่ในมือของหลินซืออย่างตั้งใจ แล้วกล่าวว่า “ฝีมือไม่เลวเลย แต่รูปแบบดูธรรมดา”
หลินซือพยักหน้า ไม่ว่าเจ้าของแผงลอยนั้นจะรั้งอย่างไรก็ต้องปล่อยพวกนางไป
ช่วงใกล้ปีใหม่ กิจการของร้านหยกอวี้ฝูดีขึ้นอย่างมาก ในตอนที่หลินซือเดินผ่าน นางก็เห็นบรรยากาศภายในร้านเต็มไปด้วยความคึกคัก หัวใจจึงพองโตขึ้นไม่น้อย
เป็นเพราะต้องเตรียมเข้าพิธีปักปิ่นก่อนหน้านี้ หลินซือจึงไม่ได้มาเยี่ยมร้านหยกอวี้ฝูอยู่พักใหญ่ ไหน ๆ ครั้งนี้ก็มาถึงหน้าร้านแล้ว จะไม่เข้าไปเดินดูภายในคงไม่ได้ แต่คนที่ยืนอออยู่หน้าร้านมีจำนวนมากเกินไป หลินซือจึงลากตัวไป๋หรูปิงเข้าทางหลังร้านแทน
ก่อนหน้านี้หลังร้านมีแต่เสียงก๊อกแก๊กไม่ขาดสาย ทันทีที่เข้ามาก็จะรู้สึกถึงไอร้อนอบอ้าว ทว่ายามนี้เป็นเวลาใกล้เทศกาลปีใหม่ หลินซือจึงให้อาจารย์ประจำร้านหยุดพักไปก่อน หลังร้านจึงเงียบสงัด
เมื่อไม่มีคน ก็เห็นได้ชัดว่าทั่วทั้งร้านว่างเปล่า บริเวณโดยรอบไม่มีแม้แต่กลิ่นอายคน มีแต่ฝุ่นที่ลอยฟุ้งในอากาศ
“พี่ไป๋ ร้านของเราน่าจะต้องตกแต่งใหม่อีกแล้วกระมัง” หลินซือเช็ดฝุ่นที่เปื้อนอยู่บนโต๊ะหิน แล้วพูดโดยไม่คิดสิ่งใด
“ข้าคิดว่ามันไม่จำเป็น” ไป๋หรูปิงมองไปรอบ ๆ ด้าน “ต่อให้ตกแต่งเสียงดงาม พวกเขาต้องทำงานที่นี่ทุกวัน ทั่วทุกพื้นที่เต็มไปด้วยเศษหยกกระจัดกระจาย สุดท้ายมันก็สกปรกอยู่ดี”
“เฮ้อ ก็จริง” หลินซือผละออกจากโต๊ะหิน “ให้คนทำความสะอาดขยันเพิ่มขึ้นเสียหน่อย”
ทั้งสองคนเดินจากร้านที่มีผู้คนพลุกพล่านในไปสู่ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวของหลังร้าน พาให้ไม่อยากอยู่หลังร้านนานนัก เพราะเหตุนี้ทั้งสองคนจึงตัดสินใจออกจากที่นี่โดยเร็ว
แต่พริบตาเดียวที่หลินซือผลักประตูออกไป จู่ ๆ ก็มีเสียงความเคลื่อนไหวอันคุ้นเคยดังมาจากในห้อง
สตรีทั้งสองสบตากัน หลินซือเก็บมือที่ผลักประตูกลับมา แล้วพูดเสียงเบาว่า “เสียงดังออกมาจากในห้องของพี่อวี้”
“ข้าจำได้ว่าวันหยุดก่อนหน้านั้นเขาไปแล้ว” ไป๋หรูปิงขมวดคิ้วแน่น “หรือว่ากลับมาแล้ว?”
นางพูดขณะยื่นหน้าเข้าไปดู แต่หลินซือขวางนางไว้
“อย่าไป!” การแสดงออกของหลินซือค่อนข้างระแวดระวังมาก “เรือนของพี่อวี้เต็มไปด้วยหยกที่มีมูลค่า ไม่แน่อาจจะเป็นขโมยก็ได้”
“ไม่หรอกกระมัง ด้านหน้ามีคนมากมายเพียงนั้น” แม้ว่าจะพูดปลอบใจตัวเอง แต่ไป๋หรูปิงก็ยังมีความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ข้าไปดูเอง” แม้ว่าหลินซือจะขวางไป๋หรูปิงไว้ แต่ตัวเองกลับบอกจะไปก็ไปทันที “พี่รออยู่หน้าประตู ถ้าเป็นขโมยจริง ๆ ให้รีบวิ่งออกไปขอความช่วยเหลือทันทีเสีย”
“เฮ้! อาซือ!” ไป๋หรูปิงตื่นตกใจ
หลินซือรีบหันกลับมาส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายเงียบปาก แต่ดูเหมือนจะช้าไปเสียแล้ว เสียงนั่นพลันเงียบลงอย่างฉับพลัน
ทั้งสองคนเกิดความกังวลขึ้นมาทันใด แล้วจับจ้องไปยังประตูห้อง รอชายฉกรรจ์ที่มีร่างกายกำยำสีหน้าโหดเหี้ยมคนหนึ่งเดินออกมา จากนั้นทั้งสองคนก็จะวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต
“พวกเจ้าสองคนมาทำอะไรตรงนี้?” อวี้อวี้เปิดประตูออกมาเห็นทั้งสองคนยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูใหญ่ไม่ไหวติง สายตาจับจ้องมาที่เขาไม่กะพริบตา
“ที่แท้ก็พี่นี่เอง” หลินซือและไป๋หรูปิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก ร่างกายที่หดเกร็งเพราะความกังวลก็ผ่อนคลายลง
“ข้าทำไม? ข้าอยู่ที่นี่ไม่ได้หรือ?” อวี้อวี้กลอกตาไปมา แล้วเดินออกจากห้อง จากนั้นก็นั่งบนม้านั่งหินในลานบ้านโดยไม่สนใจว่าจะสกปรกหรือไม่
เขาน่าจะแกะสลักหยกอยู่ในห้องตลอดเวลา ตอนนี้ผมเผ้าจึงยุ่งเหยิง หน้าตาสกปรกมอมแมม เส้นผมเต็มไปด้วยเศษหยก ใต้ตามีรอยคล้ำอย่างชัดเจน
“พี่หยุดไม่ใช่หรือ?” หลินซืองุนงง “พี่ไป๋บอกว่าพี่ไปแล้ว?”
ท่าทางของอวี้อวี้เปลี่ยนเป็นกระตือรือร้นทันที หลินซือไม่อาจหาคำใดมาอธิบายความรู้สึกนี้ แต่มั่นใจได้ว่าจากประสบการณ์มันต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
“ข้าเจอกับหลี่จื้อสิงอีกแล้ว” อวี้อวี้กัดฟันพูด
“หา?” ช่วงนี้หลินซือยุ่งมากจึงลืมบุคคลนี้ไปเสียสนิท หลังจากสงบจิตใจลงก็เพิ่งนึกได้ว่าหลี่จื้อสิงคนนี้คือผู้ใด “พวกเจ้าเจอกันแล้ว? ช่างมีวาสนาต่อกันจริง ๆ”
“เหลวไหล” อวี้อวี้มองอย่างไม่สบอารมณ์ พร้อมกับสบถคำหยาบคายออกมา จากนั้นก็สงบสติอารมณ์ “คนผู้นี้เล่นไปดักรอข้าที่เรือน เฝ้าอยู่เรือนข้าตั้งหลายวัน ข้ากลับไปไล่ก็ไม่ไป!”
ยามอวี้อวี้กลับบ้านก็ต้องประหลาดใจ วันนั้นเขากลับบ้านเช้าตรู่ ขณะกำลังเปิดประตูเรือนด้วยความสะลึมสะลือ พลันคิดว่าเข้าผิดเรือน บ้านที่เดิมทีรกยิ่งกว่าคอกหมูก่อนหน้านั้น ถูกทำความสะอาดจนตัวเองไม่กล้าเข้าบ้าน ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองคือภาพของแม่นางหอยโข่ง[1] มาเยือนเรือนตน
แต่วินาทีต่อจากนั้นก็ถูกตบหน้าอย่างแรง เพราะหลี่จื้อสิงเดินยิ้มตาหยีออกมาจากในห้องนอนของเขา ทั้งยังพูดกับตนด้วยน้ำเสียงรังเกียจอีกว่า “ยินดีต้อนรับกลับบ้าน”
อวี้อวี้แทบจะอาเจียนเสียตรงนั้น คนที่มาเยือนไม่ใช่แม่นางหอยโข่ง แต่เป็นเจ้ากรรมนายเวร!
นาทีนั้นอวี้อวี้ได้แต่ทอดถอนใจ เลยถือโอกาสตอนที่รถม้ายังไม่ไป วิ่งกลับขึ้นรถม้าให้คนขับพาตนมาส่งที่นี่ จากนั้นก็ขังตัวเองอยู่หลังร้านหยกอวี้ฝูตลอด ลานกว้างก็ไม่กล้าย่างเท้าออกไป
ฟังจากน้ำเสียงของอวี้อวี้ หลินซือก็ได้แต่ตะลึงงัน จากนั้นก็มองไปทางไป๋หรูปิง พบว่าอีกฝ่ายก็อ้าปากตาค้างเช่นเดียวกัน
หลินซือถามตัวเองว่าถ้าตัวเองไปเชิญอวี้อวี้ถึงที่แล้วไม่สำเร็จ ก็คงไม่ทำถึงขั้นนี้แน่ ทว่าหลี่จื้อสิงเป็นถึงบุตรแห่งสวรรค์ ถูกหักหน้าเพียงนี้ หลินซือพลันรู้สึกเหมือนมีความกดดันอันหนักอึ้งแบกอยู่บนไหล่
“เขา เขาพูดอะไรกับเจ้า?” หลินซือลองเชิงถาม
“ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไร” อวี้อวี้กลอกตาใส่หลินซือ “ข้าไม่ไปกับคนพิสดารแบบนี้หรอก ตอนนี้เขาเสแสร้งแกล้งทำ สิ่งที่ไหลออกมาคือน้ำตาจระเข้ ตอนนั้นไม่ง่ายเลยนะที่ข้าจะออกจากร้านอวี้หยวนได้ แล้วจะกลับไปได้อย่างไร ต่อไปหากเขาทำแบบนี้อีก ข้าจะแจ้งชั้นศาลแล้ว ดูสิว่าเจ้าของร้านอย่างเขาจะรู้จักคำว่าขายหน้าหรือไม่”
หลินซือพูดไม่ออก ทำได้แค่ยกนิ้วโป้งให้กับอวี้อวี้ที่มีสีหน้าไม่สบอารมณ์
จากนั้นอวี้อวี้ก็เอาแต่ด่าสาดเสียเทเสียหลี่จื้อสิงให้หลินซือและไป๋หรูปิงฟังเป็นครึ่งชั่วยาม ตั้งแต่หลินซือตื่นตระหนกจนอารมณ์สงบลง สุดท้ายก็หยอกเย้าได้ในที่สุด
“พี่อวี้ หลี่จื้อสิงหนักแน่นกับพี่ขนาดนี้ ราวกับว่าเขาไม่ได้กำลังหาช่างแกะสลักหยก แต่กำลังชมชอบพี่เลย”
…………………………………………………………………………………………………..
[1] แม่นางหอยโข่ง เป็นตำนานพื้นบ้านของจีน เรื่องราวเกี่ยวกับชาวนาที่ได้ช่วยเหลือหอยโข่งมาเลี้ยงไว้ที่บ้าน ยามชาวนาไม่อยู่ หญิงงามจะออกจากหอยโข่งตัวนั้นคอยช่วยเหลือ ทำความสะอาดบ้านเพื่อเป็นการตอบแทนชาวนาที่ช่วยตน
สารจากผู้แปล
อ๊ะ…ค้นพบเรือใหม่ คนผู้นั้นดูแลปัดกวาดเช็ดถูบ้านให้เป็นอย่างดีแบบนี้จะไม่ลองพิจารณาดูบ้างเหรอคะอาจารย์อวี้
ไหหม่า(海馬)