บทที่ 546 ความคิดชั่วร้ายของเหยาเอ้อหลาง
บทที่ 546 ความคิดชั่วร้ายของเหยาเอ้อหลาง
หลินซือพยักหน้า ปิดบังความรู้สึกในใจแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เฮ้อ พี่ไป๋ช่างน่าสงสารยิ่งนัก ท่านอาผู้นั้นได้รับความไม่เป็นธรรมเสียเปล่า ๆ จริงสิ พี่อาเถิง เราจะไปเที่ยวเล่นที่ไหนกัน? พี่ต้องเลือกสถานที่ให้ดีนะ ข้าจะพาพี่ไป๋ไปเดินเล่นคลายความกังวลด้วย”
เจี่ยงเถิงยิ้มพลางพูดว่า “เจ้านะเจ้า ในสมองห่วงแต่ผู้อื่น พี่ไป๋ของเจ้ามีพี่ชายเจ้าดูแลทั้งคน เขาอาจจะเตรียมเรื่องน่าประหลาดใจบางอย่างให้พี่ไป๋ของเจ้ายิ้มแล้วก็ได้ ใกล้ชนบทแห่งนี้มีทะเลสาบอยู่ที่หนึ่ง ทิวทัศน์งดงามยิ่งนัก ข้าอยากพาเราไปเที่ยวเล่นทะเลสาบ เจ้าว่าเป็นอย่างไร?”
“เยี่ยมไปเลย! ข้าชอบทะเลสาบที่สุด! ไม่สิ ข้าชอบกินปลาในทะเลสาบเป็นที่สุดเลย ฮิๆ! มา ๆ เรารีบกินกันเถอะ กินเสร็จแล้วจะได้ออกเดินทาง!”
หลินซือพูดพลางตักน้ำแกงเข้าปากโดยเร็ว
เจี่ยงเถิงเห็นท่าทางรีบร้อนของนาง ก็อดยิ้มไม่ได้ “เจ้าค่อย ๆ กินก็ได้ ทะเลสาบแห่งนั้นไม่หนีไปไหนหรอก เดี๋ยวก็สำลักเอา!”
…
ทุกคนเดินทางภายใต้การนำของเจี่ยงเถิง กระทั่งมาถึงบริเวณใกล้เคียงกับทะเลสาบ
เหนือทะเลสาบมีหมอกไอสีขาวปกคลุมอยู่เลือนราง บริเวณโดยรอบล้อมไปด้วยภูเขา ท้องฟ้าแจ่มใสราวกับได้รับการชะล้างจนสะอาด แสงสะท้อนคลื่นซัดสาดอากาศดี เขาขมุกขมัวมืดฝนประหลาดยิ่ง
บนเรือ เหยาเอ้อหลางคือคนที่นั่งสบายใจที่สุด กระทั่งเอ่ยปากยื่นข้อเสนอ “เอ๊ะ? เรานั่งแค่เรือเช่นนี้จะไปสนุกอะไร มาแต่งกวีเล่นกันเป็นอย่างไร? แม้จะเทียบกับการดื่มสุราไม่ได้ก็เถอะ!” พูดจบก็ชำเลืองมองไปยังซวีจ้าวแวบหนึ่ง
ซวีจ้าวไม่ชอบเล่นสำบัดสำนวน ชอบแต่เรื่องสงคราม รู้ว่าพจนะที่อ้างอิงจากตำราโบราณล้วนแล้วแต่เป็นเพราะการอ่านตำราทหาร การแต่งบทกวีไม่เป็นการสร้างความลำบากใจให้เขาหรือ?
แต่ครั้นเห็นทุกคนล้วนกระตือรือร้น ซวีจ้าวจึงต้องฝืนคล้อยตามความคิดของทุกคนอย่างอดไม่ได้ และไม่ได้เอ่ยปากปฏิเสธ
ดวงตาของหลินซือเป็นประกาย เบิกบานใจอย่างอดไม่ได้ “แต่งกวี เยี่ยมไปเลย! พี่รองก็ยังคิดการละเล่นสนุก ๆ ได้ ข้าล่ะคิดไม่ถึงจริง ๆ เช่นนั้นใครจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อน?”
หลินจื้อส่งเสียงกระแอม แล้วเอ่ยขึ้น “ในนี้ข้าโตสุด เช่นนั้นเริ่มจากข้าละกัน วันนี้อากาศช่างสดใส คลื่นหมอกควันไร้เงามืดเกลี้ยงหมดจด ป่าเขียวครามไม่เท่ามรกต”
คนต่อไปคือไป๋หรูปิง นางเป็นสตรีมากความสามารถ ชื่อเสียงเลื่องลือในต้าเยี่ยน หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ค่อย ๆ เอื้อนเอ่ยออกไป “พันฝนโปรยปรายปลายฤดูสารท อาทิตย์สาดส่องริมระเบียงราวช่วงวสันต์ แม้นมิใช่ฤดูสารท ทัศนียภาพนี้กลับคล้ายละอองฝนในยามสารท”
องค์รัชทายาทนั่งอยู่ข้างไป๋หรูปิง คิดว่านี่คือโอกาสดีที่จะแสดงความสามารถของตัวเอง จะต้องทำให้หลินซือได้เห็นว่าความรู้ของตัวเองไม่ด้อยไปกว่าเจี่ยงเถิง!
“วสันต์ล่วงเลยกระทั่งคืนสารทฤดู เคล้าเมรัยพ่วงความเหงาอยู่เดียวดาย! แม้นยามนี้ไม่ใช่ยามราตรี แต่หวังว่าเราจะได้เล่นอย่างเปรมปรีดิ์สนุกสนาน!”
องค์รัชทายาทยืนพูดอย่างมั่นใจ
ครั้นถึงตาลู่เหยา ปกติแล้วนางมักจะถูกมารดาบีบบังคับให้อ่านตำรามากมาย ทักษะด้านวรรณกรรมย่อมมีเป็นธรรมดา
“สตรีงามยิ้มหยาดเยิ้มเพิ่มเสน่ห์ สรวลเสเฮฮายามร่ำสุรา…”
เสียงของลู่เหยาเบานัก
หลินซือต้องเอียงไปหานางและตั้งใจฟังถึงจะได้ยิน ก่อนจะปรบมือและพูดว่า “เยี่ยม! สุดยอด! น้องข้า เจ้าคุมสัมผัสทั้งสองคำได้ ชื่นชม ๆ ตาข้าล่ะนะ ข้าขอคิดก่อน”
“จันทราสุกสกาว ราวกระจกสะท้อนเหนือนภา!” หลินซือตบโต๊ะพลางพูดอย่างกล้าหาญ
เจี่ยงเถิงมองสาวน้อยอย่างภาคภูมิใจ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่เลว บทกวีที่บังคับให้เจ้าท่องในครานั้นไม่สูญเปล่า เห็นท่าทางของเจ้าในตอนนี้ ข้าชื่นชมมากจริง ๆ!”
เหยาเอ้อหลางก็กระตือรือร้นเช่นกัน เขาหัวเราะเสียงดังและกล่าวว่า “ถูกต้อง! ข้าจำได้! ตอนนั้นญาติผู้น้องเพื่อจะได้หนีการท่องกวี จึงแกล้งป่วยลุกขึ้นจากเตียงไม่ไหว สุดท้ายก็ถูกท่านอาจับได้ ฮ่า ๆ ๆ!”
หลินจื้อก็คลี่ยิ้มเช่นกัน “ความจริงแล้ว ตอนนั้นน้องตกใจจนต้องวิ่งไปยอมรับผิดต่อหน้าอาจารย์แม้แต่รองเท้าก็ไม่ใส่ ต่อมาท่านแม่จึงอบรมนางอยู่ฉากใหญ่”
ครั้นหลินซือเห็นตนถูกทุกคนหัวเราะเยาะ ก็อดโกรธเคืองจนหน้าแดงเถือกไม่ได้ “พวกท่าน! นั้นมันเรื่องสมัยเด็ก ๆ ห้ามเอ่ยถึงมันอีก! ไม่อย่างนั้น ท่านพี่อย่าลืมสิ ว่าพี่มีเรื่องที่น่าอายยิ่งกว่าข้า! แล้วก็พี่อาเถิง พี่รอง พวกสองคนก็ทำเรื่องที่ไร้คุณธรรมไว้ไม่ใช่น้อยเชียวนะ?”
เจี่ยงเถิงตบแผ่นหลังของหลินซืออย่างแผ่วเบาพลางปลอบโยน “เอาละ ๆ ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว ตาข้าล่ะนะ ยามราตรีที่เยือกเย็นดุจสายน้ำ ตาคู่งามทอดมองดาวสาวทอผ้า”
เหยาเอ้อหลางชอบหยอกเย้าเป็นที่สุด พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มมาดร้าย “ไม่รู้ว่าเจี่ยงเถิงอยากดูดาวสาวทอผ้ากับใครหนอ? น้องข้า เจ้ารู้หรือไม่?”
“พี่รอง! พี่น่าเกลียดจริง ๆ! พี่อาเถิงอยากดูดาวกับใครข้าจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า เพราะพี่คิดประโยคถัดไปไม่ออก จึงตั้งใจเปลี่ยนหัวข้อสิท่า!” หลินซือพูดด้วยความฮึกเหิม
เหยาเอ้อหลางส่งเสียงไม่พอใจออกมา แล้วกล่าวอย่างลำพองใจ “เมื่อดวงดาวอับแสงเปล่งประกาย ตะวันแดงกลับเฉิดฉายอยู่ปลายฟ้า เป็นอย่างไร ภาพนี้งดงามพอไหม? ตาเจ้าแล้ว ซวีจ้าว”
ซวีจ้าวค่อนข้างเป็นกังวลมาก คาดไม่ถึงว่าจะมาถึงตนเองเร็วเพียงนี้ พลันโพล่งออกไป “ท้องฟ้า… ข้าดื่มสุราก็ได้” พูดพลางยกจอกสุราขึ้นดื่มรวดเดียว
หลินซือเพิ่งนึกออกว่าซวีจ้าวไม่เคยเรียนเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้มาก่อน ย่อมเทียบกันไม่ได้ จึงอดตำหนิอยู่ในใจไม่ได้ ‘พี่รองนี่จริง ๆ เลย! รู้ทั้งรู้ว่าซวีจ้าวไม่เก่งบทกวี ยังตั้งใจเสนอการละเล่นนี้ คงไม่ได้จะทำเขาลำบากใจหรอกนะ?’
หลายตาผ่านไป ซวีจ้าวดื่มไปแล้วหลายจอก ตอนนี้หน้าของเขาเริ่มแดงก่ำ ในขณะที่คนอื่นเพิ่งจะดื่มไปไม่กี่จอก
“พวกเจ้าเล่นกันไปก่อน ข้าจะไปสูดอากาศบริเวณหัวเรือเสียหน่อย เดี๋ยวกลับมา”
ซวีจ้าวลุกขึ้นโซซัดโซเซ จากนั้นก็เอ่ยด้วยความเกรงใจ
เหยาเอ้อหลางเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา ก็เกิดรู้สึกผิดขึ้นในใจ จึงยืนขึ้นและเข้าไปประคองตัวเขา “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าเอง ดูท่าทางเขาแล้วหากเกิดอะไรขึ้นมา รองแม่ทัพซวีเอาข้าตายแน่”
ทุกคนต่างคลี่ยิ้ม ทั้งสองคนจึงขึ้นเรือเล็กอีกลำแล้วพายมันอย่างช้า ๆ
“เหยาเอ้อหลาง เอ๊ะ? ไม่สิ เจ้าชื่ออะไรนะ? ข้าได้ยินพวกเขาเรียกเจ้าว่าเหยาเอ้อหลาง จึงเรียกตาม” ซวีจ้าวดื่มสุราจนเมาทำให้เขากล้าพูดมากขึ้น และพึมพำเพราะความมึนเมานั้น
เหยาเอ้อหลางเห็นเขาเช่นนี้ก็อดขบขันไม่ได้ จึงวางไม้พายลง “ข้า ข้าชื่อเหยาเกา เพราะท่านพ่อของข้าอยากให้ข้าสูง ๆ ดังนั้นจึงตั้งชื่อว่าเหยาเกา”
ความจริงแล้ว นั่นมันไม่ใช่ทั้งหมด
เหยาเฉาพูดตามใจตัวเอง ต่อมาเขาก็ถูกผู้เป็นท่านปู่ไล่ตีอยู่หลายวัน
ซวีจ้าวพยักหน้า เหมือนจะครุ่นคิดได้บางอย่าง ก่อนจะหรี่ตาลงพลางเอ่ยขึ้นว่า “แต่เท่าที่ข้าเห็นเจ้า เจ้าก็ไม่ได้เตี้ยนะ เหตุใดใต้เท้าเหยาถึงตั้งชื่อนี้ให้เจ้า? แปลกจริงเชียว”
เหยาเอ้อหลางเห็นท่าทางจริงจังของเขา ก็หลุดหัวเราะออกมา “ฮ่า ๆ ๆ! เจ้าคงไม่ได้เชื่อข้าจริง ๆ หรอกใช่หรือไม่? ข้าล้อเจ้าเล่น พญาหงส์กางปีกพลิ้วไหวดั่งธง กระพือปีกพุ่งทะยานสู่ฟากฟ้า ท่านพ่อหวังให้ข้ากระทำได้ทุกสิ่ง ทะยานปีกขึ้นสูงดั่งนกอินทรี ดังนั้นจึงตั้งชื่อข้าว่าเหยาเกา”
แน่นอนว่านี่ก็มั่วซั่วอีกเช่นกัน
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นข้าจะอธิบายความเป็นมาของชื่อข้าให้เจ้าฟังด้วย”
ซวีจ้าวยกมือประคองศีรษะ พลางมองเหยาเอ้อหลางอย่างจริงจัง
“เจ้า เจ้าพูดมาสิ ข้าฟังอยู่” เหยาเอ้อหลางไม่เคยเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขามาก่อน ในใจคิดว่าอีกฝ่ายช่างน่ารักนัก ก่อนจะพูดต่อจากคำพูดของเขา
ซวีจ้าวกุมศีรษะของตนและพึมพำว่า “ข้าชื่ออะไร? อ่อ! นึกออกแล้ว ข้าชื่อซวีจ้าว ท่านแม่ให้กำเนิดข้าในช่วงแห้งแล้ง หลายครอบครัวต้องจากบ้านเกิด ดังนั้นจึงตั้งชื่อให้ข้าว่า ‘จ้าว’ หวังให้ข้านำมาซึ่งลางดี เหมือนปีที่อุดมสมบูรณ์ เป็นอย่างไร? มีความหมายใช่หรือไม่เล่า? ฮิฮิ”
เหยาเอ้อหลางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับการกระทำของซวีจ้าว ใครเล่าจะรู้ว่าเวลาเจ้าหมอนี่เมาแล้วจะน่ารักมากเพียงนี้! แตกต่างจากสีหน้าที่ดูเย็นชาไร้ความรู้สึกในวันปกติอย่างสิ้นเชิง
ขอถือโอกาสตอนที่เขาเมาแกล้งเขาเสียหน่อยแล้วกัน เหยาเอ้อหลางครุ่นคิดในใจ
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อาซือจะซื่อเกินไปแล้ว เหนื่อยแทนพี่เถิงเลย
อา เหมือนผู้แปลจะเห็นเรือลำใหม่นะคะ ทำไมเคมีคู่นี้มันน่ารักจังเลย
ไหหม่า(海馬)