บทที่ 562 ตอนนี้ซวีจ้าวทำอะไรอยู่
บทที่ 562 ตอนนี้ซวีจ้าวทำอะไรอยู่
ลู่เหยาพยักหน้าอย่างหนักแน่น และกลับจวนไป
“ท่านแม่! อาซือคิดถึงท่านแม่ที่สุดเลย!”
หลินซือมาถึงประตูไม่นาน ก็ตะโกนเรียกเหยาซูทันที ถ้าไม่ใช่เพราะเท้าของนางบาดเจ็บ คงวิ่งเข้าไปกอดเหยาซูแล้ว
เหยาซูรู้เรื่องที่หลินซือเท้าพลิก จึงอดพูดอย่างปวดใจไม่ได้ “เด็กโง่! เดินไม่รู้จักระวัง ออกไปเล่นดี ๆ ก็ไม่ได้ ยังบาดเจ็บเท้าพลิกกลับมาอีก” พูดพลางเดินอ้อมไปหลังรถเข็นของนาง
เจี่ยงเถิงตำหนิตัวเองในใจ จึงเดินรุดหน้าเข้าไปพูดว่า “ท่านอาซู ขออภัยอย่างยิ่งขอรับ ข้าไม่ดีเอง ไม่ดูแลอาซือให้ดี ทางบนภูเขาลูกนั้นไม่ราบรื่น ข้าไม่ควรพานางไปเก็บผลไม้เลย”
เหยาซูมองเจี่ยงเถิงที่มีสีหน้าเศร้าหมอง แล้วส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมถึงชอบเอาความผิดมาลงที่ตัวเองนักนะ ลูกสาวของข้าเป็นอย่างไรทำไมข้าจะไม่รู้? เท้าพลิกคราวนี้ข้าต้องสั่งสอนนางเสียหน่อย เอ๊ะ ว่าแต่รถเข็นคันนี้เป็นฝีมือใครหรือ?”
หลินซือหัวเราะและพูดว่า “พี่อาเถิงทำให้เจ้าค่ะ! เขาเก่งมาก ไม่กี่ชั่วยามก็ทำเสร็จแล้ว พี่อาเถิงยอมเจ็บมือเพื่อทำรถเข็นนี้ให้ข้า ท่านแม่ท่านอย่าถือโทษโกรธพี่อาเถิงเลยเจ้าค่ะ ทั้งหมดเป็นความผิดข้าเอง”
เหยาซูเคาะศีรษะของหลินซืออย่างแผ่วเบา พลางพูดว่า “เจ้านะเจ้า ข้าไม่มีทางกล่าวโทษเจี่ยงเถิงหรอก เด็กคนนี้ เท้าพลิกคราวนี้เจ้ายังทำรถเข็นให้นางโดยเฉพาะอีก เจ้าชักจะตามใจนางเกินไปแล้ว!”
เจี่ยงเถิงตั้งใจจะกลับจวน สุดท้ายก็ถูกเหยาซูรั้งตัวให้กินมื้อค่ำด้วยกัน ทั้งยังเชิญมารดาของเจี่ยงเถิงมาร่วมวงด้วย
ทั้งสองตระกูลกินข้าวด้วยกันอย่างมีความสุข มีเหยาเอ้อหลางและหลินซือสองพี่น้องที่หยอกเย้าอย่างเบิกบานใจ พาให้เกิดเสียงหัวเราะขึ้นอย่างไม่ขาดสาย
เช้าตรู่อีกวัน
หลินซือยังนอนบิดขี้เกียจอยู่บนเตียง เหยาซูและหลินเหราเตรียมจะออกจากบ้าน เดิมทีหลินเหราตั้งใจจะปลุกหลินซือ แต่ถูกเหยาซูห้ามไว้ บอกว่านางเหน็ดเหนื่อยมาหลายวัน ไม่ง่ายเลยที่จะได้กลับจวนมานอนบิดขี้เกียจเช่นนี้ จึงไม่ปลุกนาง
“เหยาต้าหลางต้องออกเรือนแล้ว พริบตาเดียวเด็กคนนี้ก็โตเป็นหนุ่มเสียแล้ว ถึงวัยที่ต้องสร้างครอบครัวเริ่มต้นอาชีพ ส่วนเราก็แก่ตัวลงทุกวัน…” เหยาซูพูดกับหลินเหรา
หลินเหราตบมือของเหยาซูอย่างแผ่วเบา พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ที่ไหนกันเล่า อาซูในสายตาของข้างดงามที่สุดเสมอ อาซูไม่เคยแก่ลงเลยแม้แต่น้อย หรือต่อให้เป็นฮูหยินที่มีอายุแล้ว เจ้าก็ยังอ่อนเยาว์ที่สุดงดงามที่สุดในใจข้าเสมอ”
เหยาซูกลั้วหัวเราะกับการหยอกเย้าของเขา “ปากท่านชักจะกะล่อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะโตเพียงใดก็ไม่เคยละอายใจ จริงสิ วันนี้เราไปคุยเรื่องงานแต่งของต้าหลางนะ ท่านรู้สถานการณ์ทางครอบครัวของแม่นางผู้นั้นบ้างหรือไหม?”
แต่ไหนแต่ไรมาหลินเหรามักจะเพิกเฉยเรื่องภายนอก จึงส่ายหน้าอย่างฉงน พลางเอ่ยว่า “ไม่รู้สิ ข้าอยู่กับฮูหยินตลอด พวกเขาไม่มาถามความเห็นจากข้าหรอก เจ้ารู้ก็พอแล้ว”
“ท่านเป็นถึงท่านอาเขยของต้าหลาง เหตุใดจึงไม่สนใจเช่นนี้ บิดาแม่นางผู้นั้นเป็นเสนาบดี แม้ว่าจะไม่ใช่ตระกูลที่มั่งคั่งนัก แต่ภูมิหลังของตระกูลนับว่าบริสุทธิ์ทีเดียว พี่ใหญ่พอใจแม่นางผู้นี้มาก คิดว่าการที่นางเป็นภรรยาของต้าหลางนับว่าเหมาะสมที่สุดแล้ว”
“หลายปีมานี้ต้าหลางยุ่งแต่เรื่องการทำการค้ามาตลอด ร้านอาหารและโรงน้ำชาในเมืองโดยส่วนใหญ่ล้วนเป็นกิจการของเขาทั้งสิ้น แม่นางผู้นั้นจะไม่มีวันลำบากแน่นอน การไปของเราในคราวนี้ ก็เพื่อช่วยดูนิสัยใจคอของเด็กสาวผู้นี้ว่าเป็นอย่างไร แม้ว่าจะเป็นงานเลี้ยงธรรมดา แต่คราวนี้ท่านพี่ให้ความสำคัญมากทีเดียว”
เหยาซูอธิบายให้หลินเหราฟังอย่างอดทน
ครั้นถึงจวนเหยา เหยาต้าหลางก็มารออยู่หน้าประตูก่อนแล้ว ครั้นเห็นเหยาซูและหลินเหรามาถึงก็ต้อนรับพวกเขาอย่างกระตือรือร้น
ระหว่างทางเหยาต้าหลางเรียกได้ว่าชื่นชมแม่นางผู้นั้นไม่ขาดปาก บอกว่านิสัยดี คนในครอบครัวก็มีเหตุมีผล ไม่มีเรื่องซับซ้อนซ่อนเงื่อนแต่อย่างใด
นัยน์ตาของแม่นางผู้นั้นก็เฉียบคม ครั้นเห็นเหยาซูเดินเข้ามาก็รีบลุกขึ้นแสดงความเคารพทันที “ฝูโหรวขอแสดงความเคารพท่านลุงและท่านป้าเจ้าค่ะ ขออภัยที่ต้องให้พวกท่านวิ่งมาถึงนี่ ฝูโหรวขอดื่มต้อนรับท่านทั้งสองหนึ่งจอก”
พูดพลางยกสุราบนโต๊ะดื่มรวดเดียวหมด
เหยาซูกลับคาดไม่ถึงว่าแม่นางผู้นี้จะห้าวหาญเพียงนี้ จึงหลุดหัวเราะพลางพูดว่า “ต้าหลางช่างโชคดียิ่งนักที่ได้แม่นางที่แสนดีเช่นนี้ ต้าหลางเด็กคนนี้มีนิสัยสุขุมและมีความเป็นผู้ใหญ่ ตั้งแต่เด็กมักเป็นเด็กที่รู้ความที่สุด แรกเริ่มเขาพูดกับข้าว่าอยากทำการค้า ข้ายังกลัวอยู่เลยว่าเขาจะทำไม่ได้ ใครจะไปรู้เล่าว่า เด็กคนนี้จะมีพรสวรรค์ในด้านการค้า ร้านอาหาร โรงน้ำชาที่เปิดในตอนนี้กำลังรุ่งเรืองทีเดียว”
ครั้นฝูโหรวได้ยินเหยาซูพูดเช่นนี้ ก็ยิ้มพลางพยักหน้า และใช้ผ้าเช็ดหน้าปกปิดใบหน้าที่แดงระเรื่อด้วยความเขินอาย
“เด็กคนนี้ยังจะเอียงอายอยู่อีก ต่อไปเจ้าก็ต้องออกเรือนกับต้าหลาง ต้องเรียกข้าว่าท่านอาแล้วนะ ได้เจอเจ้าวันนี้ข้าชักถูกชะตาเสียแล้วสิ ไม่ได้เตรียมสิ่งใดมาเป็นพิเศษ เช่นนั้นข้าขอมอบปิ่นหินโมราหลิวอวิ๋นชิ้นนี้เป็นของขวัญในการเจอกันครั้งแรกแก่เจ้าก็แล้วกัน”
เหยาซูดึงปิ่นมาวางบนมือฝูโหรวพลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
เดิมทีฝูโหรวอยากจะปฏิเสธ แต่ครั้นนึกได้ว่าเป็นความตั้งใจของเหยาซู จึงลุกขึ้นยืนย่อกายพลางกล่าวว่า “ฝูโหรวขอขอบพระคุณท่านป้า ของขวัญที่มีมูลค่าเช่นนี้ ฝูโหรวจะรักษาทะนุถนอมอย่างดีเจ้าค่ะ”
เหยาซูโบกมือไปมา จากนั้นก็คว้ามือของนางและพูดเรื่องอื่น
อีกด้านหนึ่ง เหยาเอ้อหลางมองดูเหยาต้าหลางที่กำลังต้อนรับแขกเหล่านั้น ก็อดคิดในใจไม่ได้ ‘ไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าเหตุใดคนเหล่านี้ต้องแต่งงานด้วย! แลกใบเกิดกันและกัน จดทะเบียนกัน จัดงานแต่งงาน พิธีการที่ซับซ้อนเหล่านี้แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว โชคดีที่ข้าเป็นบุตรคนรองของตระกูล ไม่ถูกบีบให้ต้องแต่งงาน’
“พี่ใหญ่ พี่ชอบแม่นางผู้นั้นใช่หรือไม่?”
เหยาเอ้อหลางเห็นเหยาต้าหลางกำลังพักผ่อน จึงยกสุราเดินเข้าไปถาม
เหยาต้าหลางยิ้มบางเบา นัยน์ตาแสดงถึงความรักที่ไม่อาจปิดบังได้และกล่าวว่า “ข้าและนางเจอกันเพียงไม่กี่ครั้ง และชมชอบนิสัยของนางมาก แต่ข้ากลัวว่าด้วยสถานะพ่อค้าของข้าแล้วนางจะไม่ชอบ จนสร้างความไม่เป็นธรรมให้แก่นาง”
เหยาเอ้อหลางไม่เคยเห็นท่าทางเช่นนี้ของเหยาต้าหลางมาก่อน ดูท่าพี่ใหญ่จะพบรักแท้แล้วจริง ๆ เขายกจอกสุราขึ้นพลางเอ่ยว่า “ในเมื่อพี่ใหญ่เจอคนที่ตัวเองรักแล้ว สุราจอกนี้ข้าขอดื่มอวยพรให้กับพี่ใหญ่และพี่สะใภ้มีความสุขมาก ๆ ถือไม้เท้ายอดทอง กระบองยอดเพชร!”
เหยาต้าหลางยิ้มอย่างเขินอาย จึงยกมือขึ้นมาลูบศีรษะด้านหลัง และเอ่ยว่า “ตอนนี้ยังไม่ใช่พี่สะใภ้ใหญ่ เจ้าระวังคำพูดด้วย หากถูกคนอื่นได้ยินเข้าจะพากันหัวเราะเยาะเอา”
เหยาเอ้อหลางชนจอกสุราและเดินจากไป เขาเริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจ ตอนนี้พี่ใหญ่ตามหาคนที่ตัวเองรักได้แล้ว เกรงว่าอีกไม่นานบิดาของตนจะต้องเตรียมการเรื่องของตัวเองเป็นแน่ ถึงตอนนั้นเกรงว่าคงจะต้องสู้กันสักตั้ง
ซวีจ้าว ตอนนี้กำลังทำอะไรอยู่?
เหยาเอ้อหลางมองเหยือกสุราในอ้อมกอด จู่ ๆ ก็นึกถึงท่าทางเมามายของซวีจ้าวจนอดยิ้มไม่ได้
………………………………………………………………………………………………………………………..