ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] – บทที่ 609 ใกล้ชิด

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

บทที่ 609 ใกล้ชิด

บทที่ 609 ใกล้ชิด

ไป๋หรูปิงบอกชื่ออาหารที่ตัวเองชื่นชอบสองสามอย่าง แล้วมอบสิทธิ์นั้นให้หลินจื้อ

หลินจื้อและเหยาเอ้อหลางรับหน้าที่สั่งอาหารเหล่านั้น หลังจากขอเหล้าหนึ่งเหยือกแล้ว ลูกจ้างในร้านก็ออกไป

“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดถึงได้ไปมีเรื่องกับพวกอันธพาลเหล่านั้นได้?”

“ข้าไม่ได้หาเรื่องพวกเขา พวกเขาต่างหากที่มาหาเรื่องข้า”

ครั้นเหยาเอ้อหลางได้ยินคำพูดของหลินจื้อก็รีบปฏิเสธอย่างฉับไว เขาไม่ใช่พวกหาเรื่องคนอื่นอะไรเทือกนั้น แม้ว่าเมื่อก่อนจะใช่ แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปแล้ว

“ว่ามาสิ”

“ข้ากับซวีจ้าวแค่เดินเล่นอยู่บนถนนสายนั้น จู่ ๆ พวกอันธพาลเหล่านั้นก็โผล่มาตรงหน้าของเรา กล่าวหาว่าเราเดินชนพวกเขา ให้เราจ่ายเงินชดเชย แต่เจ้าก็รู้จักข้าดี ถ้าอันธพาลเหล่านั้นพูดกับข้าตรง ๆ ข้าอาจจะเมตตาสงเคราะห์เงินพวกเขาก็ได้ แต่คนพวกนั้นมันตั้งใจมาหาเรื่อง ข้าก็เลยไม่พอใจ”

“เดิมทีข้าไม่ได้อยากสนใจพวกเขา แต่คนเหล่านั้นไม่ยอมปล่อยให้เราไป เช่นนั้นก็ช่วยไม่ได้ เราแค่อัดพวกนั้นให้น่วมถึงจะหลุดพ้น”

เหยาเอ้อหลางเล่าเหตุการณ์คร่าว ๆ ซึ่งแตกต่างจากที่หลินจื้อจินตนาการไว้ แต่สำหรับนิสัยของเหยาเอ้อหลาง หลินจื้อต้องจำยอม ถึงอย่างไรนิสัยนี้ก็ไม่ใช่นิสัยที่คนทั่วไปจะรับมือได้

“แล้วเหตุใดถึงอยู่กับซวีจ้าวล่ะ? ข้าจำได้ว่าซวีจ้าวไม่ชอบออกมาข้างนอกไม่ใช่หรือ?”

“ใช่ ไม่ใช่เพราะข้าบังคับเขาออกมาหรอกหรือ?”

ขณะที่เหยาเอ้อหลางพูด สายตาของเขาได้กลอกมองบนแวบหนึ่ง เขารู้ดีว่าซวีจ้าวไม่ชอบออกมาข้างนอก ดังนั้นทุกครั้งที่ซวีจ้าวออกมาเขาจะต้องเปลืองน้ำลายไปตั้งเท่าไร แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็มีความสุข

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”

“ว่าแต่เจ้าเถอะ เหตุใดวันนี้ถึงมีเวลาว่างออกมาเดินเล่นกับคุณหนูไป๋ได้?”

“นาน ๆ ทีจะได้พักผ่อน เลยออกมาเดินเล่นเป็นเพื่อนศิษย์น้อง ปกติข้ายุ่งจะตายไป ไม่มีเวลา พอมีเวลาก็อยากอยู่กับศิษย์น้องให้มากขึ้น”

“นั่นสินะ งานราชการ ไม่ยุ่งสิแปลก” ครั้นนึกถึงเรื่องที่หลินจื้อต้องทำ เหยาเอ้อหลางก็ถึงกับปวดหัวทันใด เป็นเขาน่ะดีแล้ว สบาย ๆ ไม่เครียด

ไป๋หรูปิงฟังทั้งสองคนสนทนากันอยู่ข้างกายอย่างเงียบ ๆ ไม่มีท่าทีหมดความอดทนแต่อย่างใด

นางไม่ค่อยได้เห็นท่าทียามที่หลินจื้อต้องอยู่กับผู้อื่น ดังนั้นในมุมนี้ของศิษย์พี่จึงค่อนข้างน่าประหลาดใจอย่างมาก

“ศิษย์น้อง ประเดี๋ยวกินข้าวเสร็จข้ามีเรื่องต้องไปจัดการนิดหน่อย ข้าจะไปส่งเจ้าที่ร้านหยกอวี้ฝูก่อน เสร็จเรื่องข้าค่อยมาหาเจ้า ดีหรือไม่?”

“อื้อ ข้าว่าจะไปดูร้านพอดี คราวที่แล้วเอ้อเป่ารับคนกลุ่มหนึ่งเข้าร้าน ตอนนี้ข้ายังไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง”

“ดี เช่นนั้นก็ตามนี้” หลินจื้อได้อยู่กับไป๋หรูปิง ย่อมดีใจเป็นธรรมดา

แต่เขามักมีนิสัยแข็งทื่อเป็นสากกะเบือมาตั้งแต่เด็ก ไม่รู้ว่าควรจะพูดเอาใจผู้หญิงอย่างไร รู้แค่ว่าการได้อยู่ข้างกายของไป๋หรูปิง เขาก็ดีใจมากแล้วโดยที่เขาไม่ต้องแสดงออก

เมื่อทุกคนจัดการมื้ออาหารเสร็จก็พากันแยกย้าย

เหยาเอ้อหลางเป็นคนที่วิสัยทัศน์กว้างไกล หลังจากจ่ายเงินก็ลากตัวของซวีจ้าวจากไปทันที

หลินจื้อจึงเดินเตร่อยู่บนถนนกับไป๋หรูปิงเพียงลำพัง กระทั่งมาส่งไป๋หรูปิงที่ร้านหยกอวี้ฝู

เขารู้จักร้านขายหยกของไป๋หรูปิงและเอ้อเป่า ตอนแรกเขาคิดว่าทั้งสองคนแค่เปิดเล่น ๆ ใครจะไปรู้เล่าว่าชื่อเสียงของร้านหยกอวี้ฝูจะค่อย ๆ ดังกระฉ่อนออกไป จนทำให้หลินจื้อตื่นตระหนกตกใจไปด้วย

บางทีอาจจะเพราะอิทธิพลของเหยาซูที่ได้รับมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นสำหรับหลินจื้อแล้ว การที่ผู้หญิงจะเปิดกิจการค้าขายไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร อีกทั้งนี่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ได้ว่าศิษย์น้องก็มีความสามารถเช่นกัน

เขารู้จักนิสัยของเอ้อเป่าดี แม้ว่าเบื้องหน้าจะมีความกระตือรือร้น แต่เบื้องหลังยังกังวลอยู่ไม่น้อย

ต่อให้บอกว่าน้องสาวของเขาไม่ดีอย่างไร แต่ครั้นเทียบกับคนในใจ เขาย่อมมีความลำเอียงเล็กน้อย

“ศิษย์พี่ ช่วงนี้ท่านยุ่งมากเลยใช่หรือไม่?”

“อื้อ ช่วงนี้ฮ่องเต้ทรงร่างพระราชโองการใหม่ ๆ ให้สำนักบัณฑิตฮั่นหลินไปปฏิบัติ ดังนั้นเขาจึงไม่มีเวลาได้พักเท่าไร”

“แบบนี้นี่เอง…”

“แต่ศิษย์น้องโปรดวางใจ รอให้ข้าจัดการเรื่องเหล่านี้จนเรียบร้อย ข้าจะถวายคำร้องขอหยุดพักยาวสักช่วงหนึ่ง ถึงตอนนั้นข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวเล่น เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

“จริงหรือ?” ไป๋หรูปิงไม่ใช่คนที่ชอบจู่จี้ขี้บ่นอะไรเทือกนั้น ตรงกันข้ามกลับเข้าใจเหตุผลที่ว่าจงพอใจในสิ่งที่มี

แต่จะมีผู้หญิงสักกี่คนในใต้หล้านี้ที่จะต้านทานความคิดนี้ได้ แม้ว่าตอนนั้นจะเป็นเพียงแค่คำพูดประโยคเดียว แต่ไป๋หรูปิงก็เข้าใจนิสัยของหลินจื้อ เขาพูดสิ่งใดย่อมทำสิ่งนั้น

“อื้อ เรื่องที่ข้าให้สัญญากับเจ้า ข้าไม่มีวันเสียใจ” หลังจากกล่าวจบ ทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดสิ่งใดกันอีก แค่จูงมือของอีกฝ่ายไว้แน่นราวกับกลัวว่าอีกฝ่ายจะหลุดหายไป

เดิมทีร้านหยกอวี้ฝูไม่ถือว่าไกลนัก ทั้งสองคนเดินไปคุยไป ไม่นานก็มาถึงร้านหยกอวี้ฝู

“ศิษย์น้อง เจ้าเข้าไปก่อนเถอะ ไว้ข้าเสร็จเรื่องแล้วจะมาหาเจ้า”

“อื้อ ศิษย์พี่ไม่ต้องรีบ ค่อย ๆ ไปก็ได้”

“ข้ารู้” ครั้นเห็นไป๋หรูปิงเดินเข้าร้านหยกอวี้ฝู หลินซือจึงค่อยกลับออกมา

เมื่อไป๋หรูปิงเห็นหลินจื้อค่อย ๆ เดินไกลออกไป นางจึงเดินเข้าไปหลังร้าน

ช่วงนี้เอ้อเป่าไม่อยู่ แม้ว่าในร้านหยกอวี้ฝูจะมีคนช่วยอยู่ไม่น้อย แต่ก็มีหลายอย่างที่นางต้องมาจัดการด้วยตัวเอง

อีกทั้งนางก็ไม่เคยลืมว่าก่อนที่เอ้อเป่าจะออกเดินทาง นางได้ฝากฝังกับนาง ให้นางดูแลเอาใจใส่กับคนใหม่กลุ่มนี้

“อาจารย์อวี้อวี้ ยุ่งอยู่หรือไม่?” ทันทีที่ไป๋หรูปิงเดินเข้ามา ก็เจอกับกลุ่มคนที่เดินสวนกันไปมาอยู่ในลานกว้าง เห็นได้ชัดว่ากำลังขะมักเขม้นในการทำงาน เลยรู้สึกว่าตัวเองอาจจะเข้ามารบกวนพวกเขา

“อื้อ ช่วงนี้ข้ามีความคิดใหม่ผุดขึ้นมา จึงอยากลองทำดู”

“เช่นนั้นก็ดี” ไป๋หรูปิงเคยได้ยินเอ้อเป่าเอ่ยถึงว่า อาจารย์อวี้อวี้ผู้นี้มีความสามารถโดดเด่นมาก ตัวเองก็เคยเห็นหยกที่แกะสลักโดยฝีมือของชายผู้นี้มามากมาย แต่สิ่งที่เรียกว่าความประณีตอันน่าอัศจรรย์นั้น ทำให้ไป๋หรูปิงต้องประหลาดใจอย่างมาก

ดังนั้นไป๋หรูปิงจึงมีความเลื่อมใสศรัทธาต่ออวี้อวี้คนนี้ ต่อหน้าอวี้อวี้ นางไม่ใช่ผู้ดูแลร้าน แต่เป็นเพียงคนถ่อมตนที่อยากได้คำชี้แนะเท่านั้น

“อื้อ วันนี้คุณหนูไป๋มาถึงที่นี่มีเรื่องอะไรหรือ?”

“คืออย่างนี้ ก่อนที่เอ้อเป่าจะออกเดินทาง นางบอกว่าได้หาคนกลุ่มใหม่มาเรียนแกะสลัก ที่ข้ามาวันนี้ก็เพื่อมาดูว่าพวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง ถึงอย่างไรมีคนงานแบบนี้น่าจะช่วยแบ่งเบาภาระอาจารย์ได้บ้าง”

“อ๋อ เขาหมายถึงกู้อันผิงและคนอื่นใช่หรือไม่?”

“ใช่”

“ก็ไม่เลว แม้ว่าก่อนหน้านั้นพวกเขาจะเป็นช่างไม้ แต่ก็ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ข้าคิดว่าพวกเขามีศักยภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกู้อันผิง รายนั้นถือว่าไม่เลวเลย”

อวี้อวี้พอใจกับกู้อันผิงมาก ตอนแรกที่เขาได้เจอกับกู้อันผิงที่หลินซือพามา ยังคิดอยู่เลยว่าเขาจะทำอะไรได้ แต่ผลลัพธ์กลับคาดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถเป็นลูกมือช่วยเขาได้

“จริงหรือ? เช่นนั้นก็ดี”

ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกัน กู้อันผิงก็เดินออกมาจากในบ้าน ก่อนจะวิ่งมาพร้อมกับหยกที่ถืออยู่ในมือ เขาประคับประคองเหมือนกับเป็นหยกที่เพิ่งตีได้

“อาจารย์อวี้อวี้ ท่านดูหยกชิ้นนี้สิว่าเป็นอย่างไรบ้าง?” กู้อันผิงเดินถือหยกมาหอวี้อวี้ด้วยแววตาที่เปล่งประกายราวกับว่าเรื่องนี้ทำให้เขาพึงพอใจอย่างมาก

“ใช้ได้ ตามเนื้องานแล้วน่าจะทำจี้หยกที่งดงามได้ถึงสองชิ้น”

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]

Status: Ongoing
เหยาซูเสียชีวิตเนื่องจากเครื่องบินตก ตื่นขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตนเองได้มาอยู่ในร่างตัวละครหนึ่งในนิยายที่ตัวเองกำลังอ่าน!หญิงสาวเสียชีวิตจากอุบัติเหตุเครื่องบินตกและมาเกิดใหม่ในนิยายยุคโบราณที่ตนเองกำลังอ่าน หลังฟื้นขึ้นมาจึงพบว่าตนเองอยู่ในร่างของ เหยาซู มารดาของวายร้ายทั้งสามในเรื่อง กลายเป็นแม่ม่ายลูกติดโฉมสะคราญที่ผู้คนต่างชี้หน้าบอกว่าเป็นตัวซวยทำให้สามีต้องตาย เมื่อได้ทราบว่าชีวิตของลูก ๆ ต้องเผชิญกับการดูถูก นางจึงทนไม่ไหวเก็บข้าวของหอบลูกกลับบ้านเก่า เริ่มต้นชีวิตใหม่กับลูกและครอบครัวทางแม่ของตน ด้วยคิดว่าหากสั่งสอนลูกดี ๆ พวกเขาคงไม่กลายเป็นตัวร้าย จนกระทั่งวันหนึ่งสามีของนางได้กลับมา พวกเขาจึงได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขอีกครั้ง แต่แล้วนางก็นึกขึ้นมาได้ว่าตามนิยายต้นฉบับสามีของตนจะตกหลุมรักสตรีอื่น จึงคิดหาวิธีที่จะหย่าขาดกับเขาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท