ก่วงลิ่งกงยังคงหลับตาตบจังหวะ ทำสีหน้าดื่มด่ำกับเสียงฉินไม่เปลี่ยนแปลง แต่แอบถ่ายทอดเสียงถามว่า “ทางตลาดผีล่ะ?”
“ตอนนี้สถานการณ์ยังไม่ชัดเจน แต่คาดว่าหนิวโหย่วเต๋อจะต้องให้คำชี้แจ้งต่อเบื้องบนแน่นอน ถ้าถามทางวังสวรรค์ ก็น่าจะรู้ถึงเหตุผลที่หนิวโหย่วเต๋อลงมือขอรับ” โกวเยว่ตอบ
“ให้หวงฮ่าวหาข้ออ้างถามสักหน่อย บอกไปว่าคนของเขาไปซื้อของในร้านค้าที่ตลาดผี แล้วโดนคนของหนิวโหย่วเต๋อฆ่าตายโดยไร้สาเหตุ ให้หวงฮ่าวขอคำชี้แจงจากประมุขชิง” ก่วงลิ่งกงกล่าว
“ขอรับ!” โกวเยว่เอ่ยรับ
ส่วนก่วงลิ่งกงก็ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ แล้วลุกขึ้นยืน ลมพัดเข้ามาวูบหนึ่ง พัดจนชุดคลุมยาวปลิวสะบัด หันตัวนำโกวเยว่เดินลงจากไปตึกไป
เม่ยเหนียงเห็นสถานการณ์ดังนั้นจึงหยุดดีดฉิน แล้วรีบลุกขึ้นยืน ทว่ายังไม่ทันรอให้นางพูดอะไร ก่วงลิ่งกงก็พูดทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงรายเรียบแล้วว่า “หวังเฟย ไม่ตั้งใจดีดฉิน เหมือนวันนี้เจ้าจะมีเรื่องอะไรในใจนะ!” พูดจบก็ถลันตัวหายไป
โกวเยว่โค้งตัวให้เม่ยเหนียงเล็กน้อย จากนั้นถลันตัวหายไป
เม่ยเหนียงยืนเหม่ออยู่กับที่ แม้แต่โอกาสพูดแก้ตัวก็ไม่มี อีกทั้งคำพูดที่แฝงความหมายของก่วงลิ่งกงก็ทำให้นางตึงเครียดในใจ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกินปูนร้อนท้องหรือเปล่า
ก่วงลิ่งกงที่กลับเข้ามาในจวน ‘บังเอิญ’ เจอก่วงจวินอี้ลูกชายคนรองและก่วงจวินเหยาลูกชายคนที่สามเดินเข้ามาด้วยกันพอดี
ทั้งสองฝ่ายเจอหน้ากัน ย่อมต้องหยุดและยืนเผชิญหน้าพร้อมกัน ก่วงจวินอี้กับก่วงจวินเหยาทำความเคารพพร้อมกัน “ท่านพ่อ!” แล้วก็พยักหน้าให้พ่อบ้านโกวเยว่อีก ส่วนโกวเยว่ก็กุมหมัดคารวะตอบ
ก่วงลิ่งกงมองประเมินทั้งสองศีรษะจดเท้าแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ “พวกเจ้าจะไปไหนกัน?”
ก่วงจวินอี้กุมหมัดคารวะตอบ “ได้ยินว่าที่อุทยานหลวงกลั่นสุราผลไม้เซียนชุดใหม่ ข้ากับน้องสามเลยเตรียมจะขอมาให้ท่านพ่อสักหน่อยขอรับ”
“อ้อ!” ก่วงลิ่งกงพยักหน้ายิ้ม “พวกเจ้านี่มีใจกตัญญู รีบไปรีบกลับเถอะ”
“ขอรับ!” ทั้งสองเอ่ยรับพร้อมกัน
ก่วงลิ่งกงเดินตรงไปข้างหน้าต่อ ตอนที่ลูกชายทั้งสองหลีกทางให้ ก่วงจวินอี้ก็กุมหมัดคารวะอีก “ท่านพ่อ ได้ยินว่าเกาเหยียนหลานชายของอี๋เหนียง[1]ใหญ่หายไปแล้ว ปกติพวกเราก็ไปเที่ยวเล่นด้วยกันบ่อย จะนิ่งดูดายได้ยังไง ข้ากับน้องสามยินดีจะไปตรวจสอบเรื่องนี้”
ก่วงลิ่งกงหยุดฝีเท้า โกวเยว่ที่ตามมาด้วยมองซ้ายมองขวา แล้วก็สังเกตปฏิกิริยาของก่วงลิ่งกง
ก่วงลิ่งกงมองลูกชายทั้งสองด้วยสีหน้าเรียบเฉยๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงปกติว่า “อย่าเอาแต่เที่ยวเล่นทั้งวัน เวลาเที่ยวเล่นน่ะมีอยู่แล้ว ใช้เวลาฝึกตนมากๆ หน่อย” พูดจบก็เดินไปข้างหน้าต่อ
ก่วงจวินเหยาก้าวขึ้นมาข้างหน้าทันที “ท่านพ่อ พวกเราไม่ได้ไปเที่ยวเล่น จะไปตรวจสอบเกาเหยียน…”
“หืม?” ก่วงลิ่งกงหันขวับ พ่นเสียงทางจมูกอย่างแรงเพื่อเอ่ยถาม สายตาคมกริบน่าตกใจ
สองพี่น้องตกใจทันที ราวกับหนูเห็นแมว ก้มหน้ากุมหมัดคารวะอย่างอ่อนปวกเปียก “ขอรับ!”
ตอนนี้ก่วงลิ่งกงถึงได้เดินก้าวยาวออกไป
นายกับบ่าวเดินตามกันไปถึงเรือนหลักด้านหลัง สาวใช้ในเรือนนี้เห็นแล้วรีบเข้ามาทำความเคารพ”ท่านอ๋อง!”
ก่วงลิ่งกงหยุดเดินแล้วถามว่า “คุณหนูล่ะ?”
“คุณหนูอยู่ในห้องนอนตัวเองค่ะ” สาวใช้ตอบ
“ยังถูกหวังเฟยกักบริเวณอยู่อีกเหรอ?” ก่วงลิ่งกงถาม
สาวใช้ส่ายหน้า “หวังเฟยหายโกรธแล้ว แต่คุณหนูไม่ยอมออกมาเองค่ะ”
ก่วงลิ่งกงเดินตรงเข้าไปที่ห้องนอนของก่วงเม่ยเอ๋อร์ พอมาถึงประตู เขากับโกวเยว่ก็หยุดยืนอยู่นอกประตู ห้องนอนของผู้หญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน ต่อให้บิดาอย่างเขาก็ไม่สะดวกจะบุ่มบ่ามเข้าไปถ้าไม่ได้รับอนุญาต เขาจึงเคาะประตูที่ปิดสนิท “เม่ยเอ๋อร์ เม่ยเอ๋อร์!”
มีเสียงดังแกร๊ก ประตูเปิดออกเบาๆ ก่วงเม่ยเอ๋อร์โผล่หน้ามา แต่กลับทำสีหน้ากังวล รีบเดินออกจากประตู แล้วย่อเข่าทำความเคารพอย่างน่าเอ็นดู “ท่านพ่อ!”
เมื่อเห็นลูกสาวที่ยามปกติสดใสไร้เดียงสามีท่าทางอย่างนี้ โดยเฉพาะดวงตาที่ฉายแววกังวลหวาดกลัวชัดเจน สุดท้ายก่วงลิ่งกงก็ไม่ได้เอ่ยถามสิ่งที่เตรียมมา แต่เผยรอยยิ้มที่อ่อนโยน “เป็นอะไรไป? ได้ยินว่าโดนแม่เจ้ากักบริเวณเหรอ?”
ก่วงเม่ยเอ๋อร์รีบส่ายหน้า “เป็นลูกเองที่ไม่เชื่อฟัง ทำให้ท่านแม่โกรธแล้ว”
ก่วงลิ่งกงยกมือตีศีรษะนางเบาๆ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เด็กโง่เอ๋ย ไม่เป็นอะไรแล้ว ทุกอย่างผ่านไปแล้ว จะไปเที่ยวเล่นที่ไหนก็บอกพ่อบ้านก่อน ให้พ่อบ้านเตรียมการให้” ท่าทีที่มีต่อลูกสาวต่างกับลูกชายอีกสองคนโดยสิ้นเชิง
“ค่ะ!” ก่วงเม่ยเอ๋อร์พยักหน้าอย่างน่าเอ็นดู
“พ่อยังมีงานต้องจัดการอีก อยู่เป็นเพื่อนเจ้าไม่ได้แล้ว” ก่วงลิ่งกงพูดทิ้งท้ายแล้วหันตัวเดินออกไป
“ท่านพ่อกลับดีๆ นะคะ” ก่วงเม่ยเอ๋อร์ตะโกนตามหลังด้วยน้ำเสียงอ่อนปวกเปียก รอจนท่านพ่อหายไปแล้ว นางก็รีบเข้ามาหลบในห้อง ปิดประตู เอาหลังพิงประตูพร้อมเอามือกุมอก รู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงจนแทบกระเด็นออกมา คำเตือนของท่านแม่ทำให้นางตกใจแล้วจริงๆ
ก่วงลิ่งกงที่กลับเข้ามาให้ห้องหนังสือได้แต่นั่งเงียบๆ ไม่พูดอะไร
โกวเยว่ที่อยู่ข้างๆ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ท่านอ๋อง เมื่อครู่ทำไมไม่ถามคุณหนูสักหน่อยล่ะขอรับ?”
ก่วงลิ่งกงถอนหายใจ “มีอะไรน่าถามอีก ช้าเร็วอ๋องผู้นี้ก็ต้องทำผิดต่อนาง ถ้าปล่อยให้นางใช้ชีวิตสุขสำราญได้อีกสักหน่อยก็ทำไปเถอะ ไม่จำเป็นต้องทำให้นางตัวสั่นหวาดกลัวไม่มีความสุข ผู้หญิงคนนั้นก็น่ารังเกียจนัก ทำไมต้องดึงลูกสาวตัวเองเข้ามายุ่งจนนางตกใจขนาดนั้น เด็กสาวคนหนึ่งจะไปรู้เรื่องอะไร? ในบ้านไม่มีใครทำให้เบาใจเลย!”
โกวเยว่ลองครุ่นคิดตามก็เข้าใจแล้ว เมื่อครู่นี้ถ้าคุณหนูใช้อุบายอันชาญฉลาด แสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่านอ๋องจะต้องถามแน่นอน แต่ท่าทางหวาดกลัวของคุณหนูกลับกระตุ้นความรู้สึกรักทะนุถนอมของท่านอ๋องเข้าแล้ว จึงพูดปลอบใจทันทีว่า “ท่านอ๋อง หัวใจคนเราล้วนมีเลือดมีเนื้อ มีความรู้สึกมีความปรารถนา เลี่ยงไม่ได้ที่จะเห็นแก่ความรู้สึกส่วนตัว”
ก่วงลิ่งกงพยักหน้าเงียบๆ
พอผ่านไปครู่หนึ่ง โกวเยว่ก็ถามว่า “ท่านอ๋อง เรื่องนี้ยังต้องสืบสาวอีกมั้ยขอรับ?”
ก่วงลิ่งกงตอบว่า “เรื่องในบ้านล้วนอยู่ในขอบเขตที่ควบคุมได้ ตอนนี้ตระกูลเซี่ยโห้วมีเจตนาอะไรและคิดจะทำอะไร นี่ต่างหากที่สำคัญที่สุด ตอนนี้อย่าเพิ่งให้ในบ้านเกิดความวุ่นวายอะไร น่าเสียดายที่ฉิงเอ๋อร์มาด่วนจากไป ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่ต้องกังวลเรื่องจุกจิกในบ้านแล้ว” พูดจบก็ถอนหายใจ
โกวเยว่พยักหน้า ฉิงเอ๋อร์คือฮูหยินคนเก่าของท่านอ๋อง เพียบพร้อมทั้งความงามและสติปัญญา เป็นรักแรกพบของท่านอ๋องเมื่อหลายปีก่อน แต่ยังไม่ทันได้ร่วมเสพสุขเกียรติยศเงินทองกับท่านอ๋องก็ด่วนจากไปแล้ว กลายเป็นเรื่องน่าเสียดายที่สุดในชีวิตของท่านอ๋อง เขาเห็นแล้วว่าท่านอ๋องมีสีหน้าคะนึงหา จึงไม่กล้าส่งเสียงรบกวน
ในใจเขารู้อย่างชัดเจน ว่าถ้าในบ้านมีผู้หญิงเพิ่มขึ้น ก็จะเกิดปัญหาตามมาได้ง่าย เรื่องราวระหว่างผู้หญิงเดิมทีก็มีเยอะอยู่แล้ว ถ้าทำตัวละเอียดรอบคอบหน่อยก็กลายเป็นจู้จี้ขี้บ่น แค่เรื่องเล็กน้อยก็สามารถทำให้กลายเป็นศัตรูกันได้ ที่บอกว่าผู้หญิงสามคนอยู่ร่วมกันแล้ววุ่นวายนั้นเรื่องจริง มิหนำซ้ำยังเป็นผู้หญิงกลุ่มใหญ่ มีหรือที่จะอยู่อย่างสงบได้ ด้วยฐานะของเขาทำให้ไม่สะดวกจะเข้าไปยุ่ง ถ้าท่านอ๋องเข้าไปยุ่งก็จะปวดหัวเช่นกัน สาเหตุแรกเป็นเพราะขีดจำกัดของกำลังความคิด ถ้าข้างนอกมีเรื่องเยอะแล้ว เขาจะเอากะจิตกะใจจากไหนมาคิดเรื่องมโนสาเร่ สาเหตุรองเป็นเพราะสังหารคนในครอบครัวไม่ได้ บ้านที่ไร้ผู้หญิงดูแลจัดการครอบครัวนั้นค่อนข้างยุ่งยาก แม้หวังเฟยเม่ยเหนียงที่เป็นฮูหยินเอกจะมีไหวพริบอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งโดยชอบธรรม คุมพวกผู้หญิงในบ้านไม่อยู่เลย ใช้อุบายใส่กันไปเรื่อยๆ ผลที่ตามมาก็มีแต่จะสู้กันไปสู้กันมา
“เสื้อผ้าสองชุดที่ตัดเย็บแล้ว ส่งไปให้หวังเฟยกับทางสวนจิ้งเซวียน…” ก่วงลิ่งกงพลันหรี่ตาพร้อมเอ่ยสั่ง
เม่ยเหนียงที่กลับมาถึงเรือนตัวเองได้ยินว่าท่านอ๋องมาพบลูกสาว นางจึงสอบถามก่วงเม่ยเอ๋อร์ นางกดดันก่วงเม่ยเอ๋อร์จนแทบร้องไห้ หลังจากอธิบายซ้ำว่าท่านพ่อไม่ได้ถามอะไร เม่ยเหนียงถึงได้โล่งใจ
พอกลับมานั่งพักในโถงหลักได้ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็มีบ่าวรับใช้ส่งเสื้อผ้ามาให้ชุดหนึ่ง บอกว่าท่านอ๋องส่งมาให้
ขณะที่ลูบไล่ชุดที่งดงามหรูหรา เม่ยเหนียงก็รู้สึกดีใจมาก นางไม่ค่อยได้เห็นท่านอ๋องใช้วิธีการนี้แสดงความรักสักเท่าไร ย่อมอดไม่ได้ที่จะลองใส่ดูสักหน่อย
บ่าวรับใช้สะบัดแขนเสื้อออกมาให้นางสวม แต่ใครจะคิด ว่าพอสอดแขนเข้าไปแล้ว แขนกลับลอดผ่านปากกระบอกแขนเสื้อได้ยาก นางอดไม่ได้ที่จะตรวจสอบว่าเป็นเพราะอะไร ตอนนี้ถึงได้พบว่าในกระบอกแขนเสื้อที่ใหญ่โคร่งมีการเย็บแขนเสื้อข้างในไว้อีกชั้น แต่ปากกระบอกแขนเสื้อข้างในหุบเล็กเกินไป ฝ่ามือนางไม่มีทางลอดผ่านได้เลย
“ชุดนี้ท่านอ๋องส่งมาจริงเหรอ?” เม่ยเหนียงแปลกใจ
“น่าจะไม่ผิดพลาดเจ้าค่ะ พ่อบ้านสั่งให้คนส่งมาให้เองเลย” สาวใช้ตอบ
ของขวัญที่ท่านอ๋องส่งมาให้ บ่าวรับใช้จะสะเพร่าขนาดนั้นได้อย่างไร? เม่ยเหนียงแปลกใจแล้ว พอตรวจดูให้ละเอียดถึงได้พบว่าผ้าของแขนเสื้อด้านไม่เหมือนกับชุดนี้ รอยเย็บยังใหม่อยู่ ทั้งยังเย็บตามอารมณ์มากด้วย เห็นได้ชัดว่าตั้งใจเย็บเพิ่มไปทีหลัง นางจึงรีบพลิกดูแขนเสื้ออีกข้างหนึ่ง พบว่าเป็นอย่างนี้เช่นเดียวกัน
เม่ยเหนียงงุนงงไปพักหนึ่ง แล้วจู่ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป พลิกปากกระบอกแขนเสื้อด้านในเล็กๆ นั่นออกมา ตระหนักได้ถึงความหมายลึกซึ้งที่แฝงอยู่ในนั้นแล้ว นี่อีกฝ่ายกำลังไม่พอใจที่กำปั้น(พ้องเสียงกับคำว่าอำนาจ) ของนางใหญ่เกินไป หรือไม่พอใจที่นางยื่นมือออกมายาวเกินไป[2]?
สวนจิ้งเซวียนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่ง เกาจื่อเซวียนที่ลองสวมชุดแล้วก็ถือชุดนั้นขึ้นมาดูอย่างเหม่อลอยเช่นกัน สุดท้ายก็โยนชุดในมือทิ้งราวกับโดนงูกัด สีหน้าดูแย่มาก ในดวงตาฉายแววหวาดกลัว
บางครั้งการเตือนโดยไร้เสียงก็น่ากลัวกว่าการเตือนแบบมีเสียง เพราะเจ้าไม่รู้ชัดว่าอีกฝ่ายกำลังเตือนเจ้าเรื่องอะไร เจ้าจะสามารถนึกเชื่อมโยงไปถึงเรื่องลับมากมายที่ตัวเองเคยทำไว้ ไม่รู้ว่าท่านอ๋องรู้มากขนาดไหนกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะเตือนด้วยวิธีการนี้!
เรื่องราวต่อจากนั้นก็ค่อนข้างบันเทิง บ่าวรับใช้ของทั้งสองคนที่ได้รับเสื้อผ้ามาย่อมอดไม่ได้ที่จะช่วยเจ้านายตัวเองโอ้อวด รู้สึกว่าตัวเองก็มีหน้ามีตาไปด้วย พออนุภรรยาคนอื่นๆ เห็นท่านอ๋องเอาใจใส่มอบเสื้อผ้าให้สองท่านนี้ ก็ดับความคิดที่จ้องจะฉวยโอกาสของใครหลายคนได้ เพราะท่านอ๋องกำลังแสดงท่าที ช่วงนี้จึงไม่มีใครบุ่มบ่ามไปทำอะไรผู้หญิงสองคนนั้น แต่สองคนที่รับเสื้อผ้าไว้กลับขมขื่นเกินบรรยาย ในใจรู้สึกหวาดกลัว ต้องหดหางทำตัวสงบเสงี่ยม ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามอีกแล้ว ด้วยเหตุนี้ในจวนท่านอ๋องจึงปรองดองกลมเกลียวกันหลายปี แน่นอนว่าล้วนเป็นเรื่องที่เอาไว้จัดการทีหลัง
บนเกาะที่โดดเดี่ยวแห่งหนึ่งกลางมหาสมุทรสีมรกต ปี้เยว่ฮูหยินเหาะลงมาจากฟ้า เหยียบลงในบ้านเดี่ยวหลังหนึ่ง แล้วมองไปรอบข้างที่สงบเงียบอย่างระมัดระวัง เหมือนจะเงียบเหงาไร้คน
มีเสียงดังมาจากศาลากลางน้ำ ปี้เยว่ฮูหยินเดินอ้อมสิ่งปลูกสร้างที่บดบังสายตาแล้วมองไป เห็นเพียงเหมียวอี้นั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะที่มีสุราอาหาร กำลังยื่นมือเชิญนางอย่างร่าเริง
ปี้เยว่กลอกตามองบน แล้วถลันตัวเข้าไปในศาลากลางน้ำ พอเดินไปถึงโต๊ะก็รูดกระโปรงยาวนั่งลงตรงข้ามเหมียวอี้ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “มีเรื่องอะไรต้องให้ข้ามาด้วยตัวเอง?”
เหมียวอี้ยกกาสุรารินให้นาง “ผ่านมาทางนี้พอดี พวกเราไม่ได้เจอกันหลายปีแล้ว เลยถือโอกาสมาพบกันสักหน่อย”
ปี้เยว่พ่นเสียงทางจมูก “ไปหาข้าโดยตรงก็สิ้นเรื่องแล้ว จำเป็นต้องทำลับๆ ล่อๆ แบบนี้ด้วยเหรอ?”
“ที่นั่นคนเยอะตาเยอะ ไม่สะดวกเท่าไร” เหมียวอี้
“ข้าว่าในใจเจ้ามีอะไรซ่อนอยู่มากกว่า” ปี้เยว่กล่าว
“ข้าว่านะปี้เยว่ ถ้าเทียบกันแล้ว ตอนนี้ข้าตำแหน่งเหนือกว่าเจ้านะ มีอย่างที่ไหนมาพูดจากับข้าแบบนี้?” เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ
ปี้เยว่หัวเราะเยาะทันที “อย่าเอาฐานะผู้ตรวจการใหญ่มาขู่ข้าเลย เป็นแค่ตำแหน่งลอยไร้อำนาจที่แท้จริง มาควบคุมข้าไม่ได้หรอก”
…………………………
[1] อี๋เหนียง 姨娘 คำเรียกขานอนุภรรยา
[2] ยื่นมือยาวเกินไป 手伸太长 อุปมาว่าเรียกร้องมากเกินไป ร้องขอมากเกินไป