เหมียวอี้เหลือบตามองเว่ยซูโดยจิตใต้สำนึก สังเกตเห็นแล้วว่าบุคคลผู้มีอำนาจที่แท้จริงของตระกูลเซี่ยโห้วกำลังสังเกตตนอยู่
เพียงแต่สิ่งนี้ไม่ได้สำคัญ ความสนใจของเหมียวอี้ย้ายไปบนตัวเซี่ยโห้วลิ่งที่อยู่ตรงข้ามอีกครั้ง สังเกตปฏิกิริยาของอีกฝ่าย เขาไม่เชื่อหรอกว่าอีกฝ่ายจะไม่อยากรู้ว่าจุดประสงค์ในการมาของเขาคืออะไร ไม่เชื่อว่าจะไม่อยากรู้ว่าเขาจะช่วยเหลืออย่างไร ตอนนี้ก็แค่นั่งอย่างสง่าผ่าเผย อยากจะกุมอำนาจฝ่ายกระทำก็เท่านั้นเอง ไม่อย่างนั้นคงไม่มาพบเขา ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้เขาแอบเข้ามาในสวนต้องห้ามของตระกูลเซี่ยโห้ว สวนซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะเข้ามาได้
ทั้งสองเหมือนจะไม่ค่อยสนใจกลับแกล้มที่อยู่บนโต๊ะ สนใจแต่ดื่มสุรา คนหนึ่งยิ้มอย่างเยือกเย็น อีกคนตั้งสมาธิอย่างใจจดใจจ่อ
รอจนเซี่ยโห้วลิ่งกำลังยกจอกสุราดื่ม เหมียวอี้ก็ชิงยื่นมือถือกาสุรารินให้อีกฝ่าย เซี่ยโห้วลิ่งไม่ได้ปฏิเสธ ยิ้มอย่างสุขุมเยือกเย็นอยู่ตลอด
พอตั้งกาสุราให้ตรง ตรงปากกาก็ไม่มีน้ำหยด ถือเป็นกาสุราที่ดี เหมียวอี้วางกาสุราลงแล้วถามว่า “หรือว่าท่านปู่สวรรค์ไม่รู้จริงๆ ว่าภายนอกวิจารณ์ท่านปู่สวรรค์ว่ายังไง?”
เซี่ยโห้วลิ่งวางมือสองข้างบนตัก แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ภายนอกจะวิจารณ์ข้าดีก้ช่าง จะวิจารณ์ข้าแย่ก็ช่าง ไม่จำเป็นต้องแยแสเกินไปนัก” ความหมายก็คือไม่อยากฟัง
เหมียวอี้กล่าวกลั้วหัวเราะ “ท่านปู่สวรรค์ใจกว้าง ควรค่าที่จะเอาเป็นแบบอย่าง หนิวไม่ได้เข้าใจอะไรง่ายเหมือนท่านปู่สวรรค์ แน่นอน คำวิจารณ์บางอย่างท่านปู่สวรรค์อาจจะไม่เคยฟังเลยตลอดชีวิต ยกตัวอย่างเช่น…” เขาชี้ไปทางเว่ยซู “อย่างน้อยพ่อบ้านเว่ยก็คงไม่บอกท่านปู่สวรรค์แน่”
เซี่ยโห้วลิ่งชำเลืองมองเว่ยซูโดยจิตใต้สำนึก
เจ้าหมอนี่คิดจะทำอะไร? เว่ยซูพึมพำในใจ แต่กลับโค้งตัวเล็กน้อย “ผู้ตรวจการใหญ่กล่าวเกินไปแล้ว”
เหมียวอี้ส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าข้ากล่าวเกินไป แต่คนทั้งใต้หล้าล้วนรู้สึกว่าท่านปู่สวรรค์ไม่เหมาะสมที่จะเป็นหัวหน้าตระกูลเซี่ยโห้ว” ประโยคก่อนหน้ายังดีอยู่ แต่ประโยคหลังแรงจนไม่รู้จะแรงอย่างไรแล้ว เรียกได้ว่าเป็นยาแรง ต้องทำให้คนสะเทือนใจแน่นอน
รอยยิ้มของเซี่ยโห้วลิ่งเจือด้วยความเย็นเยียบขึ้นหลายส่วน จ้องเหมียวอี้พลางยิ้มเบาๆ
“ผู้ตรวจการใหญ่ ตระกูลเซี่ยโห้วให้เกียรติท่านในฐานะแขก โปรดระวังคำพูดด้วย!” เว่ยซูกล่าวเสียงต่ำ
เหมียวอี้ราวกับนั่งตกปลาอย่างสงบนิ่งอยู่ท่ามกลางคลื่นยักษ์ ไม่สะทกสะท้าน หัวเราะอย่างสบายๆ แล้วบอกว่า “หรือว่าข้าพูดอะไรผิดไป? ก็แค่พูดความจริงเท่านั้นเอง คนในใต้หล้าเปรียบเทียบท่านปู่สวรรค์คนเก่ากับท่านปู่สวรรค์คนใหม่อย่างเลี่ยงไม่ได้ ผลของการเปรียบเทียบเป็นยังไง ท่านเองก็รู้อยู่แก่ใจแล้ว คำวิจารณ์พวกนี้มีน้อยเสียที่ไหนล่ะ? เพียงแต่ท่านไม่กล้าพูดให้ท่านปู่สวรรค์ฟังก็เท่านั้นเอง แล้วในความเป็นจริงล่ะ เกรงว่าคงไม่ได้มีแค่คนในใต้หล้าที่วิจารณ์แบบนี้ แม้แต่ภายในตระกูลเซี่ยโห้วเองก็มีให้ได้ยินบ้างเหมือนกัน ต่างก็รู้สึกว่าท่านปู่สวรรค์กับท่านปู่สวรรค์คนเก่าห่างกันไกลมาก พ่อบ้านเว่ยจะปฏิเสธความจริงเรื่องนี้ได้หรือเปล่า?”
เว่ยซูเผยสีหน้าถากถางเล็กน้อย แต่กลับเถียงไม่ออก ถ้าเขาบอกว่าไม่มีเรื่องแบบนี้อยู่ เกรงว่าแม้แต่เซี่ยโห้วลิ่งเองก็คงไม่เชื่อเหมือนกัน
เซี่ยโห้วลิ่งยังมีท่าทางไม่สะทกสะท้าน แต่กลับอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ “ผู้ตรวจการใหญ่วิจารณ์อย่างนี้ต่อหน้าข้า ไม่ทราบว่าจงใจจะเหยียดหยามหรือกำลังยั่วยุให้ฮึกเหิมล่ะ? ท่านพ่อปราดเปรื่องเจ้าแผนการ ที่ข้าเทียบกับท่านพ่อไม่ได้ก็เป็นเรื่องปกติมาก จุดนี้ข้าเองยังต้องยอมรับ ทั้งยังยอมรับแบบปากกับใจตรงกันด้วย จำเป็นต้องให้ผู้ตรวจการใหญ่เตือนด้วยหรือ?”
เหมียวอี้ถอนหายใจ “จะกล้าเหยียดหยามได้อย่างไรกัน! ท่านปู่สวรรค์กตัญญู หนิวเองก็นับถือ จะเห็นได้ว่าท่านปู่สวรรค์คนเก่ามีสายตาแหลมคมในการแยกแยะคน เพียงแต่คนในใต้หล้าเลอะเลือน พอใบไม้หนึ่งใบบังตา ก็มองไม่เห็นภูเขาไท่ซานซะแล้ว คนในใต้หล้าเห็นแค่ว่าราชินีสวรรค์ที่มาจากตระกูลเซี่ยโห้วถูกคนรังแกจนได้รับความอัปยศ ขนาดลูกชายที่เป็นโอรสสวรรค์ถูกลดตำแหน่งก็ยังช่วยอะไรไม่ได้ ต่างก็บอกว่าถ้าท่านปู่สวรรค์คนเก่ายังอยู่ ราชินีสวรรค์คงไม่ถูกหยามเกียรติขนาดนี้ แม้แต่ในตระกูลเซี่ยโห้วเอง คนที่วิจารณ์แบบนี้ก็เหมือนจะมีไม่น้อย บอกว่าคนที่เป็นฐานให้ตระกูลเซี่ยโห้วมีแต่ผู้มีฝีมือ ลองเลือกมาสักคนก็สามารถแบกรับหน้าที่ได้เพียงลำพังอยู่แล้ว ทำไมกลับให้คนที่ไม่เคยผ่านการขัดเกลา ตาสูงฝีมือต่ำมาเป็นหัวหน้าตระกูล ทำให้ทั้งตระกูลเซี่ยโห้วต่างก็เงยหน้าไม่ขึ้น เป็นความอัปยศใหญ่หลวงตั้งแต่ก่อตั้งตระกูลเซี่ยโห้วขึ้นมาจริงๆ…”
“บังอาจ!” เว่ยซูทนฟังต่อไปไม่ได้แล้ว จึงตะคอกเสียงดัง
เหมียวอี้รีบชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง แล้วก็รีบสังเกตปฏิกิริยาของเซี่ยโห้วลิ่ง สังเกตเห็นว่าเซี่ยโห้วลิ่งเหมือนจะกำลังยิ้มอยากเยือกเย็น ที่จริงแล้วลูกกระเดือกขยับเล็กน้อย รู้ว่าตัวเองคงจะสะกิดโดนจุดที่เจ็บปวดของอีกฝ่ายแล้ว
ในใต้หล้ามีคนพูดอย่างนี้หรือไม่เขาก็ไม่รู้ คนในตระกูลเซี่ยโห้วมีพูดอย่างนี้หรือไม่เขาก็ไม่รู้ ไม่เคยสืบเรื่องในด้านนี้มาก่อนเลย แต่เขาเองต่างหากที่มองเซี่ยโห้วลิ่งแบบนี้ คาดว่าความคิดของคนในใต้หล้าก็คงไม่ดีกว่ากันสักเท่าไร
ที่จริงสองมือของเซี่ยโห้วลิ่งที่อยู่ใต้โต๊ะกำหมัดแน่นแล้ว กำจนเส้นเลือดดำปูดขึ้นมา ข้อนิ้วขาวซีด เขาจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าตระกูลเซี่ยโห้วมีคนมากมายไม่ยอมจำนนต่อหัวหน้าตระกูลอย่างเขา แต่เรื่องบางเรื่องก็ไม่ได้เปิดเผยชัดเจน ตอนนี้โดนคนนอกเปิดโปงซึ่งๆ หน้าแล้ว ความคับแค้นกลัดกลุ้มที่สะสมมาทำให้เขาอับอายจนโมโห แทบจะระเบิดอารมณ์ชกเหมียวอี้ให้ฟันร่วงพื้น จะได้ไม่ต้องปากดีอีก
“ไม่เป็นไร ได้ฟังความเห็นอันเหนือชั้นของผู้ตรวจการใหญ่ก็น่าสนใจดีเหมือนกัน” เซี่ยโห้วลิ่งยิ้มพลางยกมือห้ามเว่ยซูที่กำลังทำสีหน้าเย็นเยียบ ถ้าโดนคนว่าแค่สองสามคำก็อับอายจนโมโหแล้ว แบบนั้นจะไม่เท่ากับรับสารภาพเอง เปิดโปงตัวเองหรอกหรือ ที่สำคัญคือเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเล่นงานเหมียวอี้ให้ตายที่นี่ คนที่รู้ว่าเหมียวอี้มาที่นี่ไม่ได้มีแค่เหมียวอี้เท่านั้น จะแกล้งทำใจกว้างหรือไม่ ก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้ชัดอยู่แก่ใจ
“ไอ้หยา! มิน่าล่ะข้าถึงล่วงเกินคนอื่นได้ง่ายๆ คนทั้งใต้หล้านี้โดนข้าล่วงเกินมาหมดแล้ว ข้าปากหมานี่เอง!” เหมียวอี้ทำท่าเหมือนสำนึกได้ในฉับพลัน เหมือนเพิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองพูดอะไรผิดไป จู่ๆ ก็ทำสีหน้าหวาดกลัว รีบลุกขึ้นยืน กุมหมัดคารวะโค้งตัวต่อเซี่ยโห้วลิ่ง “เป็นหนิวเองที่บุ่มบ่ามพลั้งปาก หวังว่าท่านปู่สวรรค์จะใจกว้างไม่ถือสา”
เซี่ยโห้วลิ่งยื่นมือเชิญให้นั่ง ยังคงยิ้มเหมือนเดิม “เพื่อที่จะบรรลุจุดประสงค์ ผู้ตรวจการใหญ่ช่างทุ่มเทความคิดและฝีปากเต็มที่จริงๆ ไม่ทราบว่าเกี่ยวอะไรกับที่บอกว่าจะช่วยเหลือข้าอีกแรง? หรือว่าผู้ตรวจการใหญ่ต้องการจะช่วยข้าอุดปากคนในใต้หล้าพวกนั้น?”
ในที่สุดก็ก้าวเข้าสู่เส้นทางนี้แล้ว เหมียวอี้โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย แล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ท่านปู่สวรรค์ปราดเปรื่อง ข้ามีเจตนานี้!”
เว่ยซูจ้องเหมียวอี้ด้วยสายตาระแวดระวังทันที
เซี่ยโห้วลิ่งอึ้งเล็กน้อย “ฮ่าๆ” แล้วจู่ๆ ก็เงยหน้าหัวเราะลั่นพักหนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าบอกว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ช่างใส่ใจจริงๆ ขนาดตัวเองยังจะเอาไม่รอด ยังมาถึงเป็นห่วงข้า น่าสนใจๆ”
“ท่านปู่สวรรค์สงสัยในความจริงใจของข้าเหรอ?” เหมียวอี้ถามด้วยสีหน้าจริงจัง
เซี่ยโห้วลิ่งพูดหยอกว่า “ท่านคิดว่ายังไงล่ะ?” เขาถือตะเกียบชี้กับแกล้มที่อยู่บนโต๊ะ “ถ้าคุยต่ออาหารคงเย็นหมดแล้ว จะดูเหมือนตระกูลเซี่ยโห้วต้อนรับไม่ดี เชิญรับประทาน!”
เหมียวอี้ถอนหายใจ “อาหารเย็นก็ดีกว่าจิตใจของตระกูลเซี่ยโห้วที่เย็นชาตั้งเยอะนะ! บอกตามตรง ถ้าไม่มีผลประโยชน์ ข้าก็ไม่ทำเรื่องนี้เหมือนกัน ถ้าไม่มีประโยชน์ต่อท่านปู่สวรรค์ ข้าก็ไม่มาเยี่ยมคารวะท่านปู่สวรรค์หรอก ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เป็นเรื่องที่ได้ผลประโยชน์ร่วมกัน เหตุใดท่านปู่สวรรค์ไม่ยินดีที่จะทำล่ะ?”
เซี่ยโห้วลิ่งที่คีบอาหารเข้าปากแล้วกำลังเคี้ยวช้าๆ เหมือนดื่มด่ำกับรสชาติ ก่อนจะกล่าวอย่างไม่รีบร้อนว่า “ข้าว่าผู้ตรวจการใหญ่คงไม่ได้อยากจะช่วยข้าหรอก แต่อยากจะให้ข้าช่วยผู้ตรวจการใหญ่มากกว่า เอาล่ะ ผู้ตรวจการใหญ่เลิกอ้อมค้อมได้แล้ว ว่ามาเถอะ อยากจะให้ข้าช่วยอะไร ถ้าช่วยได้ข้าก็จะช่วยเต็มที่ แต่ถ้าช่วยไม่ได้ก็ขออภัย” เขารู้ถึงจุดประสงค์ที่อีกฝ่ายมาแท้ๆ แต่กลับไม่ยอมทิ้งอำนาจฝ่ายกระทำ ยังคงวางมาดอยู่อย่างนั้น
เหมียวอี้ทำสีหน้าจริงจัง กล่าวสิ่งที่ทำให้คนตกตะลึง “ไม่พุดโกหกต่อหน้าคนจริง ข้าอยากจะถอนรากถอนโคนตระกูลอิ๋ง!”
“…” เว่ยซูที่อยู่ข้างๆ พูดไม่ออก
ตะเกียบที่เซี่ยโห้วลิ่งยื่นออกไปค้างนิ่ง มองเหมียวอี้อยู่พักใหญ่ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ล้อเล่น ก็คีบตะเกียบลงที่อาหารอย่างช้าๆ คีบใส่ปากแล้วกัดเคี้ยว กำลังย่อยข้อความในคำพูดของเหมียวอี้ด้วยแววตาเป็นประกาย หลังจากผ่านไปพักใหญ่ถึงได้แสยะยิ้ม “นี่ผู้ตรวจการใหญ่กำลังล้อเล่น หรือกำลังพูดจาเพ้อฝัน? ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตระกูลเซี่ยโห้วจะช่วยเจ้าทำเรื่องนี้ไม่ได้ ต่อให้ยินดีช่วยเจ้าทำ แต่เจ้าคิดว่าอำนาจทางทหารในมืออ่องสวรรค์อิ๋ง กำลังพลทัพตะวันตกที่อยู่ในมือเขามีไว้ประดับเฉยๆ เหรอ?”
“แล้วถ้าทัพตะวันตกเกิดความขัดแย้งภายในล่ะ?” เหมียวอี้ถามทันที
เซี่ยโห้วลิ่งส่ายหน้า “ทัพใต้ ทัพเหนือ ทัพตะวันตกคงไม่อยู่เฉยๆ”
“ถ้าฝ่าบาทเข้ามาแทรกแซงอีกล่ะ?” เหมียวอี้ถามเสริม
เซี่ยโห้วลิ่งกับเว่ยซูเผยสีหน้าตกใจ สังเกตสีหน้าเหมียวอี้อย่างละเอียด กำลังแยกแยะว่าพูดจริงหรือโกหก
เหมียวอี้ถามอีกว่า “ถ้าตระกูลเซี่ยโห้วยินดีจะร่วมมือกับหนิว หนิวก็มีวิธีการทำให้ทัพตะวันออกขัดแย้งภายในอยู่แล้ว ถ้ามีฝ่าบาทลงมืออีก อิ๋งจิ่วกวงจะต้องตายแน่นอน หนิวสามารถตักรากถอนโคนได้ตอนนี้เลย!”
“ฝ่าบาทชี้แนะให้เจ้าทำอย่างนี้เหรอ?” เซี่ยโห้วลิ่งถามเสียงต่ำ
“ไม่ใช่!” เหมียวอี้ส่ายหน้า เอานิ้วจุ่มลงในจอกสุรา แล้ววาดบนผิวโต๊ะ “สี่ทัพจัดระเบียบ ทำให้ภายในมีคนคับแค้นใจตั้งนานแล้ว เพียงแต่ถูกข่มไว้เลยไม่ปะทุออกมาก็เท่านั้นเอง ศึกสระน้ำมังกรดำทำให้อิ๋งจิ่วกวงสูญเสียบารมีความน่าเชื่อถือไปเยอะมาก ภายในทัพตะวันออกก็ยิ่งเริ่มมีคนบ่น ตอนนี้ถ้าใส่ยาแรงลงไปอีก ก็จะเป็นโอกาสดีที่สวรรค์ประทานให้! ท่านปู่สวรรค์ก็น่าจะรู้ ว่าการที่สี่อ๋องสวรรค์มีกำลังทหารแน่นหนาแต่ไม่เข้าประชุมขุนนางนั้น ได้ทำให้ฝ่าบาทเกิดความคิดที่จะตัดกำลังทหารของพวกเขาแล้ว เพียงแต่สี่อ่องสวรรค์ไหวตัวทัน เลยล้างเลือดไปยกหนึ่งเพื่อควบคุมไว้ ถ้าส่งโอกาสมาให้ตรงหน้า ท่านปู่สวรรค์ลองเดาดูสิว่าฝ่าบาทจะลงมืออีกครั้งหรือเปล่า? ถึงตอนนั้นท่านกับข้าไม่จำเป็นต้องทำอะไรหรอก ฝ่าบาทจะฉวยโอกาสเคลื่อนไหวแน่นอน! ท่านปู่สวรรค์ ท่านจะพลาดโอกาสนี้ไม่ได้ พลาดแล้วพลาดเลยนะ ถ้ารอให้อิ๋งจิ่วกวงลดผลกระทบจากศึกสระน้ำมังกรดำได้แล้ว รอให้เขาคุมสถานการณ์จนมั่นคงใหม่อีกครั้ง ถ้าคิดจะลงมืออีก ก็เกรงว่าจะไม่ได้มีโอกาสดีอย่างนี้แล้ว!”
“ก็อย่างที่ข้าบอก ทัพใต้ ทัพตะวันตก ทัพเหนือไม่นิ่งดูดายแน่ถ้าเห็นอิ๋งจิ่วกวงล้มลง ถ้าเก้าอี้ขาดขาแล้ว พวกเขาก็เข้าใจถึงผลที่ตามมาดีกว่าใครทั้งนั้น” เซี่ยโห้วลิ่งกล่าว
เหมียวอี้จึงบอกว่า “โอกาสในการตัดสินชัยชนะบนสนามรบอยู่ตรงไหนล่ะ? จู่โจมไง! นี่ก็คือสาเหตุที่หนิวมาแอบพบกับท่านปู่สวรรค์ ถ้ามีตระกูลเซี่ยโห้วดึงดูดความสนใจของสามทัพนั้น ทำให้สามทัพไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามแล้วมองข้ามอิ๋งจิ่วกวงไป ถึงจะมีโอกาสให้ฝ่าบาทจู่โจมกะทันหัน!”
เซี่ยโห้วลิ่งพ่นเสียงทางจมูก “ผู้ตรวจการใหญ่ช่างคิดคำนวณได้ดีจริงๆ ถ้าข้าทำให้สามคนนั้นโมโหแล้ว แต่เจ้ากลับสะบัดมือไม่สนใจ ตระกูลเซี่ยโห้วจะไม่ต้องรับผลเสียนี้ไว้ฝ่ายเดียวหรอกหรือ?”
เหมียวอี้จับตะเกียบคีบอาหารเข้าปาก กรอกสุราดื่มอึกหนึ่ง แล้วถือจอกสุรารินให้ทั้งสองฝ่ายอีกครั้ง “ท่านปู่สวรรค์กล่าวผิดแล้ว ผู้โจมตีหลักของเรื่องนี้ไม่ใช่ตระกูลเซี่ยโห้ว แต่เป็นหนิว!”
เซี่ยโห้วลิ่งหรี่ตา “เจ้า?” น้ำเสียงนี้เหมือนสงสัยในศักยภาพของเขา
เหมียวอี้พยักหน้า “ไม่ผิดหรอก! ผู้โจมตีหลักก็คือข้า ส่วนตระกูลเซี่ยโห้วก็เดินผ่านฉากพอเป็นพิธี ถ้าพบว่าเรื่อง ไม่เป็นผลเสียอะไรต่อตระกูลเซี่ยโห้วเลยสักนิด! ถ้าพูดให้ชัดก็คือ ข้าเองก็รู้ถึงความลำบากของท่านปู่สวรรค์ อาศัยความสามารถในการควบคุมตระกูลของท่านปู่สวรรค์ตอนนี้ ยังไม่สามารถระดมกำลังทั้งหมดของตระกูลเซี่ยโห้วให้เป็นผู้โจมตีหลักได้ หนิวก็เลยไม่บังคับ”
“ฮ่าๆ!” เซี่ยโห้วลิ่งกลั้นขำไม่ไหว “ไม่ต้องใช้วิธีการยั่วยุให้ฮึกเหิมแล้ว พูดมาตั้งนาน ตระกูลเซี่ยโห้วจำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายทำเรื่องนี้มั้ย?”
เหมียวอี้กดตะเกียบลงแล้วมองตรงๆ “ราชินีสวรรค์ถูกหยามเกียรติ ถูกตระกูลอิ๋งรังแก ไม่ใช่เพราะท่านปู่สวรรค์จัดการตระกูลอิ๋งไม่ได้ แต่เพราะวางแผนให้รอบคอบก่อนแล้วค่อยเคลื่อนไหวทีหลัง แค่ไม่เคลื่อนไหวเท่านั้นเอง ถ้าได้เคลื่อนไหวขึ้นมา ก็ทำให้ตระกูลอิ๋งปลิวสลายหายไปราวกับขี้เถ้าได้เลย! พอทำลายคำนินทาเหลวไหลได้ ทำตำแหน่งหัวหน้าตระกูลของท่านปู่สวรรค์ให้มั่นคงได้ ในใต้หล้านี้ยังจะมีใครกล้าดูถูกหัวหน้าตระกูลคนใหม่ของตระกูลเซี่ยโห้วอีก ตระกูลเซี่ยโห้วยังจะกล้าพูดอีกมั้ยว่าหัวหน้าตระกูลอ่อนแอ ต่อไปทุกคนจะต้องเคารพยำเกรงแน่นอน ยามเห็นหัวหน้าตระกูลออกคำสั่ง พวกเขาก็จะพากันก้มหน้าด้วยความหวาดกลัว! ลองคิดดูสิ เรื่องที่แม้แต่ท่านปู่สวรรค์คนเก่ายังทำไม่ได้ แต่ท่านปู่สวรรค์กลับทำได้อย่างสบายมือ ฟ้าผ่าเปรี้ยงปร้างท่ามกลางละอองฝนโปรยปราย โจมตีทีเดียวถึงแก่ชีวิต จะต้องสะเทือนทั้งใต้หล้าแน่นอน นี่คือโอกาสดีที่จะหล่อหลอมจิตใจของทุกคนในตระกูลเซี่ยโห้ว ท่านปู่สวรรค์ตัดใจไม่ไขว่คว้าได้ยังไง?”
………………