บทที่ 648 มีแอบอู้บ้างหรือไม่
บทที่ 648 มีแอบอู้บ้างหรือไม่
หลังจากที่รายงานเรื่องเกลือจบลง เหยาเอ้อหลางก็วางใจลงไปชั่วขณะหนึ่ง
เป็นเพราะเรื่องเกลือ ทำให้เส้นประสาทที่หดเกร็งจนเกิดความตึงเครียดมาตลอดได้ผ่อนคลายลงเล็กน้อย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไปรายงานที่เมืองจิงจ้าวทุกวัน แต่มักจะไปหาซวีจ้าวอยู่เป็นประจำ ดูเหมือนจะเคยชินกับการมีซวีจ้าวอยู่ในชีวิตของเขาไปแล้ว
“ซวีจ้าว ช่วงนี้เจ้าตื่นมาฝึกฝนแต่เช้าทุกวันเลยใช่หรือไม่?” ซวีจ้าวชินกับการฝึกฝนวิทยายุทธ์ เหยาเอ้อหลางรู้ดี
แต่เขาไม่อยากตื่นตามเท่านั้น บางครั้งมันก็ไม่ง่ายที่จะตื่นเช้า ถ้าไม่ฝึกต่อก็จะปวดเมื่อยไปทั้งตัว สุดท้ายก็หยุดไปอยู่ดี
แต่จากความเข้าใจของเหยาเอ้อหลาง ซวีจ้าวตื่นมาฝึกฝนวิทยายุทธ์ทุกวันแม้ในวันที่ฟ้าร้องฟ้าผ่าก็ไม่เคยหยุด ไม่ว่าจะพายุฝนโหมกระหน่ำเพียงใดก็ยังรุดหน้าฝึกฝนอย่างกล้าหาญ
จนบางครั้งเหยาเอ้อหลางยอมตื่นเช้าสักหน่อย เพราะคิดว่าซวีจ้าวคงจะแอบอู้บ้าง ครั้นแอบย่องมาถึงห้องของซวีจ้าว แต่กลับพบว่าซวีจ้าวตื่นมาเริ่มฝึกฝนวิทยายุทธ์ตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว กิจกรรมในทุกวันล้วนเหมือนเดิม ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก
เดิมทีคิดจะพาซวีจ้าวไปแนะนำให้สหายเหล่านั้นของเขาได้รู้จัก แต่นิสัยของซวีจ้าว คงทำให้ทุกคนกร่อยทันทีหลังจากพูดไปได้ไม่กี่ประโยค สุดท้ายก็จบลงเสียดื้อ ๆ
แม้ว่าซวีจ้าวจะไม่พูดสิ่งใด แต่เหยาเอ้อหลางกลับรู้สึกได้ว่าซวีจ้าวนั้นไม่ชอบอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น
“อื้อ”
“แล้วเจ้ามีช่วงเวลาที่ขี้เกียจบ้างหรือไม่? ยกตัวอย่างเช่นตอนเจ้าป่วยไม่ก็มีเรื่องต้องไปทำ วันนั้นเจ้าคงไม่ได้ฝึกฝนใช่ไหม?”
“ชดเชย” แม้ว่าจะสนิทกับเหยาเอ้อหลางแล้ว แต่หากไม่ใช่เรื่องจริงจัง คำพูดของซวีจ้าวนับว่าน้อยมากจริง ๆ
มีหลายครั้งที่เหยาเอ้อหลางรู้สึกว่าตัวเองกำลังพูดอยู่คนเดียว แต่คนตรงข้ามคือซวีจ้าว ต่อให้เขาพูดคนเดียวก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยกว่าพูดทั้งวัน
“สองสามวันนี้เราไปเที่ยวเล่นในชานเมืองกันเถอะ”
“ไม่ไป”
“เจ้าเอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ในจวนหลินทุกวันไปเพื่อสิ่งใด คนในจวนหลินก็มากมายก่ายกอง ขาดเจ้าไปคนเดียวคงไม่ตายหรอก เจ้าว่าไหม?”
“ไม่ใช่”
“….ซวีจ้าว เจ้าพูดดี ๆ หน่อยได้ไหม ยิ่งเจ้าเป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้ข้าอยากซัดหน้าเจ้าสักฉาด”
“เจ้าทำไม่ได้หรอก” ตอนที่ซวีจ้าวโพล่งประโยคนี้ เขาได้ชำเลืองมองเหยาเอ้อหลาง ด้วยนัยน์ตาที่ดูหมิ่นอย่างชัดเจน
หลังจากได้อยู่กับเหยาเอ้อหลางมาช่วงเวลาหนึ่ง ซวีจ้าวก็ได้เข้าใจนิสัยใจคอของเหยาเอ้อหลางได้อย่างลึกซึ้ง เขาเป็นคนที่ได้คืบจะเอาศอก ดังนั้นวาจาของเขาจึงยิ่งไร้ความปรานีมากขึ้น
“ได้ ข้าไปล่ะ ไม่เล่นกับเจ้าแล้ว” ครั้นถูกซวีจ้าวยั่วโมโหได้สำเร็จ เหยาเอ้อหลางก็เดินพรวดพราดออกไปข้างนอกอย่างขุ่นมัว ครั้นไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าไล่ตามหลัง ก็รู้ว่าซวีจ้าวไม่ได้ไล่ตามเขามา ตัวเองจึงได้ลดความเร็วในการเดินลง จากนั้นก็หมุนตัวไปอีกด้าน
“ข้ามีความเป็นผู้ใหญ่มากพอ ไม่ถือโทษเอาความเจ้าหรอก”
ซวีจ้าวมองเหยาเอ้อหลางที่กำลังเดินลงบันไดไป โดยไม่ได้แสดงความคิดเห็นแต่อย่างใด
“ซวีจ้าว เมื่อไรเราจะไปดูร้านเหล็กกันเสียที?”
“ดูอะไรนะ?”
“ช่วงนี้ข้าอยากทำกริชสักเล่มไว้ป้องกันตัว เจ้ามีความชำนาญในเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่หรือ? ช่วยให้คำปรึกษาข้าหน่อยสิ”
ที่เหยาเอ้อหลางพูดนั้นเป็นความจริง หลังจากผ่านเรื่องราวก่อนหน้านั้นมาหลายครั้ง เขาเพิ่งพบว่าแม้ว่าตัวเองจะมีวิทยายุทธ์ แต่ภายใต้การกระทำที่มีการเตรียมตัวมาอย่างดีของผู้อื่น เขาไร้ความสามารถในการต่อต้านไปโดยสิ้นเชิง
ถ้ามีกริชขนาดเล็กสักเล่มพกติดตัว อาจจะปลิดชีวิตศัตรูในตอนที่ศัตรูไม่ทันตั้งตัวก็ได้
“ได้สิ” ซวีจ้าวไม่ได้ปฏิเสธข้อเสนอนี้ของเหยาเอ้อหลาง ถึงอย่างไรสำหรับเขาแล้ว วิทยายุทธ์ของเหยาเอ้อหลางไม่นับว่าสูงมากนัก หากเจอกับผู้มีฝีมือสูง เหยาเอ้อหลางคงถูกจับไปโดยง่ายแล้ว
“เจ้ารับปากแล้ว เจ้ารับปากแล้วจริง ๆ ใช่ไหม?”
“อื้อ”
“ไหน ๆ ทุกอย่างก็เป็นใจแล้ว สู้ไปเสียวันนี้เลยดีหรือไม่?”
“ก็ได้” กล่าวจบ ซวีจ้าวก็เก็บอุปกรณ์ จากนั้นก็ถือข้าวของของตัวเองกลับห้อง เปลี่ยนเสื้อผ้าธรรมดาทั้งตัวแล้วออกมา
ทั้งสองคนเดินมาถึงร้านตีเหล็กอย่างรวดเร็ว เดิมทีภายในร้านตีเหล็กล้วนเต็มไปด้วยชายฉกรรจ์ที่เปลือยกล้ามแขนทำงานอย่างขะมักเขม้น เวลานี้ครั้นเห็นซวีจ้าวและเหยาเอ้อหลางผู้มีผิวพรรณผุดผ่องราวกับได้รับการบำรุงอย่างดี ก็รู้ทันทีว่าเป็นลูกค้า
ชายผู้แต่งกายเรียบร้อยกว่าเล็กน้อยผู้หนึ่งเดินออกมาต้อนรับ
“ไม่ทราบว่าท่านทั้งสองอยากได้สิ่งใดขอรับ?”
“พวกเจ้าตีเหล็กอะไรได้บ้าง?”
“เช่นนั้นข้าไม่ขอปิดบังท่านทั้งสอง ที่นี่คือร้านตีเหล็กที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมือง ขอแค่ท่านสามารถร่างภาพที่ท่านต้องการได้ เราก็สามารถตีเหล็กออกมาได้อย่างที่ท่านต้องการ แน่นอนว่า ถ้าของสิ่งนี้มีความซับซ้อน ราคาของเหล็กก็จะยิ่งสูงขึ้น”
คนผู้นั้นได้อธิบายถึงกฎเกณฑ์ของร้านตีเหล็กไว้อย่างชัดเจน ทำให้สีหน้าของซวีจ้าวดีขึ้นเล็กน้อย
ก่อนหน้านั้นเขาเคยตีเหล็กอยู่ในร้านตีเหล็กมาก่อน แต่ไม่เคยพูดสิ่งใด กระทั้งตีเหล็กออกมา พวกเขาจึงได้เสนอราคาสูงเสียดฟ้า แต่นิสัยของซวีจ้าวไม่ยอมให้ใครเอาเปรียบ สุดท้ายก็ถล่มร้านตีเหล็กจนเละ เถ้าแก่ร้านเกิดความกลัวจึงยกของชิ้นนั้นให้เขาไป เรื่องทุกอย่างจึงได้จบลง
“ข้าอยากได้กริชสักเล่ม”
“ไม่ทราบว่าอยากได้กริชเช่นไรขอรับ? ท่านพอใจร่างภาพกริชที่อยากได้ออกมาได้ไหม แล้วเราค่อยคุยเรื่องราคากัน เช่นนี้ดีหรือไม่?”
“ก็ดี” กล่าวจบ ชายผู้นั้นก็หยิบดินสอถ่านและกระดาษออกมา เหยาเอ้อหลางรับมาและเริ่มวาด
ซวีจ้าวมองอย่างเงียบ ๆ อยู่ข้างกายโดยไม่กล่าวสิ่งใด หลังจากรู้ว่าเหยาเอ้อหลางวาดเสร็จ ซวีจ้าวก็รับกระดาษจากในมือของเหยาเอ้อหลางมา จากนั้นก็ลงดินสอถ่านซ้ำไปอีกหลายครั้ง จนภาพกริชเล่มหนึ่งได้ปรากฏออกมาอย่างชัดเจน
ชายตีเหล็กผู้นั้นเห็นภาพก็รู้ทันทีว่าซวีจ้าวเป็นคนที่รู้รายละเอียด แม้ว่าจะขีดเส้นตัดขอบย้ำหลายครา จนทำให้โครงภาพของกริชชัดเจนขึ้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่คนธรรมดาจะทำได้
เหยาเอ้อหลางเห็นการกระทำของซวีจ้าว แม้จะพบว่าซวีจ้าวแค่ขีดเส้นตัดขอบหลายครา แต่กริชทั้งด้ามไม่ว่าจะเป็นจิตวิญญาณหรือระดับความแหลมคมก็ล้วนแล้วแต่มากกว่าก่อนหน้านั้น ต้องพูดว่าการที่ตัวเองพาซวีจ้าวมาด้วยนั้นถูกต้องแล้ว
“แบบนี้ พวกเจ้าทำได้หรือไม่?” ซวีจ้าวยกภาพวาดนั้นให้ชายผู้นั้นดู
“ได้ ๆ เพียงแต่กริชเล่มนี้ถ้าจะให้ตีออกมา คงใช้เหล็กของทางร้านไม่ได้ เพราะต้องใช้เหล็กดำ ท่านดูก็คงพอเข้าใจได้ น่าจะรู้ว่าราคาของเหล็กดำค่อนข้างสูงกว่าเหล็กทั่วไป มันไม่เหมือนกัน”
“แน่นอน เหล็กดำที่พวกเจ้าใช้ราคาเท่าไรหรือ?”
“สามร้อยตำลึงเงิน”
“แพงไป”
“ท่านทั้งสอง เพียงแค่ราคาของเหล็กดำก็สูงอยู่แล้ว ทั้งยังเป็นเหล็กที่หาได้ยาก ร้านตีเหล็กหลายร้านไม่มีเหล็กดำเลย เหล็กดำร้านของเราราคานี้ก็สมเหตุสมผลแล้วขอรับ”
ซวีจ้าวไม่รู้ว่าจะโต้แย้งเรื่องราคาได้อย่างไร แต่เขาก็พอจะรู้ราคามาตรฐานของเหล็กดำ ราคาเหล็กดำของร้านนี้แม้จะไม่นับว่าสูงเกินไป แต่ก็พอถูไถได้ จึงอดมองไปยังเหยาเอ้อหลางไม่ได้
เมื่อสอดประสานสายตากับซวีจ้าว เหยาเอ้อหลางก็เข้าใจความคิดของซวีจ้าว จึงเดินมารุดหน้าขึ้นมาจากด้านหลังของซวีจ้าว เขารับภาพวาดจากในมือของซวีจ้าว แล้วตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกหนึ่งรอบ ดูเหมือนจะให้ความสนใจกับภาพนี้เป็นอย่างมาก
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ช่างพวกนี้จะหลอกกินเงินอีกแล้วสินะ ไม่รู้ฤิทธิ์สองคนนี้ซะแล้ว
ไหหม่า(海馬)