บทที่ 662 เจ้าต้องปกป้องตัวเองด้วย
บทที่ 662 เจ้าต้องปกป้องตัวเองด้วย
ครั้นเจี่ยงเถิงเห็นท่าทางของหลินซือแล้วก็ได้ขบขัน ที่แท้อาซือก็มีช่วงเวลาที่หวาดกลัวเช่นกัน
เพียงแต่อาซือคือคนที่อยู่ในใจของเขา การได้รับของขวัญทำมือจากหลินซือ เขาไม่ทันได้ดีใจหรอก เพราะเขาคาดไม่ถึงว่าอาซือจะดีกับเขาเช่นนี้ ดูเหมือนว่าความทุ่มเทก่อนหน้านั้นของตนจะคุ้มค่า
“ก็ยังดี” ครั้นได้ยินคำพูดของเจี่ยงเถิง หลินซืออดยิ้มไม่ได้
แม้ว่าพี่อาเถิงจะดีกับนางมาโดยตลอด แต่หลังจากที่ทั้งสองคนเปิดใจคุยกันอย่างชัดเจนไปก่อนหน้า ดูเหมือนหลายสิ่งหลายอย่างจะเปลี่ยนไป เพียงแต่ไม่มีใครบอกได้ว่าเปลี่ยนไปตรงไหน
“ช่วงนี้อาซือดูแลข้าคงลำบากน่าดู ต่อแต่นี้ไปให้ข้าเป็นฝ่ายดูแลอาซือได้หรือไม่?”
“ได้สิ งั้นพี่อาเถิงต้องซื้อของกินอร่อย ๆ ให้ข้า มิเช่นนั้นข้าไม่ยอมแน่”
“ไม่มีปัญหา อาซืออยากกินสิ่งใด พี่จะซื้อให้เจ้าทุกอย่าง” ครั้นเห็นอาซือเบิกบานใจ เขาก็เบิกบานใจ
จู่ ๆ ก็รู้สึกว่าการได้รับบาดเจ็บครานี้นับว่าคุ้มค่ายิ่ง มิเช่นนั้นก็ยังไม่รู้หรอกว่าอีกนานเพียงใด อาซือถึงจะเปิดใจ
“จริงสิ พี่อาเถิง ข้าได้รับพระราชทานอนุญาตจากองค์จักรพรรดิ ตอนนี้ได้เป็นแม่ค้าขายเกลือแล้ว” หลินซืออยากจะบอกข่าวนี้กับเจี่ยงเถิงแทบขาดใจ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร นางก็อยากบอกพี่อาเถิงทั้งนั้น
อีกทั้งตอนนี้นางเห็นว่าพี่อาเถิงลำบาก บัดนี้ตัวเองช่วยเหลือพี่อาเถิงได้แล้ว จึงยิ่งเบิกบานใจจนไม่อาจปกปิดได้
“อาซือ เจ้าคิดดีแล้วใช่หรือไม่? ค้าเกลือไม่ได้จะทำกันง่าย ๆ พ่อค้าพวกนั้นเห็นแก่เงิน ถ้าเจ้าไปต้อนรับขับสู้กับพวกเขา เกรงว่าเจ้าจะรับมือไม่ไหว”
เดิมทีเจี่ยงเถิงมักทำเรื่องที่สอดคล้องกันมาตลอด จึงรู้ว่าถ้าไปคบค้าสมาคมกับคนพวกนั้นจะลำบากเพียงใด แม้ว่าอาซือจะเฉลียวฉลาด แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เคยคบค้าสมาคมกับคนข้างนอกมาก่อน เขากลัวอาซือจะได้รับอันตราย
“ไม่เป็นไร มีพี่อาเถิงอยู่ทั้งคนไม่ใช่รึ? อีกอย่างข้าคุยกับท่านแม่แล้ว ไม่ได้รีบร้อน ค่อยเป็นค่อยไป เราก้าวเดินไปข้างหน้าทีละก้าว น่าจะบรรลุเป้าหมายได้สำเร็จ”
“ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นข้าจะสนับสนุนเจ้า” ยามเห็นอาซือเอ่ยถึงการค้าเกลือ นัยน์ตาของนางเปล่งประกายจนเขาไม่อาจปฏิเสธได้
ช่างเถอะ ในเมื่ออาซืออยากทำ เขาจะทำกับอาซือด้วย ลำบากหน่อยจะเป็นไรไป ช่วยอาซือสอดส่องดูแล ไม่ได้ยุ่งยากอะไร อีกอย่างอาซือนั้นฉลาดอยู่แล้ว ตัวเองแค่ช่วยชี้แนะเท่านั้น
แต่ไหนแต่ไรมา อาซือของเขาไม่เคยเป็นแค่เด็กสาว แต่เป็นคู่ชีวิตที่พร้อมจะเดินไปข้างหน้ากับเขา ไม่ควรยึดติดกับพื้นที่สี่เหลียมในจวนหลังบ้าน
“ขอบคุณเจ้าค่ะ พี่อาเถิง” หลินซือรู้ว่าพี่อาเถิงจะต้องเห็นด้วย จึงดีใจสุดขีดอยู่ภายใน เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ พี่อาเถิงเข้าใจนางที่สุด
“อาซือ ตอนนี้เจ้าทำไปถึงไหนแล้ว?”
“ตอนนี้ข้าได้รับพระราชทานอนุญาตจากองค์จักรพรรดิ คนพวกนั้นเห็นข้าเป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่ง จึงให้คนนำของขวัญมาให้ข้ามากมาย หวังจะมีสิทธิ์ได้ซื้อขายเกลือที่มีอยู่ในครอบครองของข้า แต่ข้าไม่เข้าใจพวกเขา จึงให้คนรับของขวัญพวกเขามาลงทะเบียนไว้ และบอกว่าถ้าข้าคิดได้แล้วจะส่งเทียบเชิญไปให้พวกเขา”
“เจ้าทำได้ดีมาก ในเมื่อพวกเขาอยากมา สู้ให้พวกเขาทุกคนมาที่นี่แล้วเราค่อยเลือกทีหลังดีกว่า ได้รับพระราชทานอนุญาตจากองค์จักรพรรดิแล้ว มีหลายเรื่องที่เจ้าไม่ต้องลงมือเอง มีคนช่วยเจ้าจัดการอย่างดี อาซือ เจ้าเก่งยิ่งนัก”
เจี่ยงเถิงคาดไม่ถึงว่าหลินซือจะคิดได้รอบคอบเช่นนี้ แม้ไม่ได้ล่วงเกินใคร แต่ก็เข้าใจความคิดของพวกเขาโดยแท้จริง ยอดเยี่ยมยิ่งนัก
“พี่อาเถิง ท่านไม่ต้องรีบร้อน รอให้ร่างกายของท่านดีขึ้นข้าจะค่อย ๆ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ให้ท่านฟัง”
“ได้ เชื่อฟังอาซือทุกอย่าง” เพราะรู้ว่าอาซือเป็นห่วงตน เจี่ยงเถิงจึงไม่ได้บีบบังคับ
เขามักจะสร้างเงื่อนไขที่เข้มงวดกับตัวเองมาตั้งแต่เด็ก น้อยมากที่จะได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ตอนนี้ในเมื่อองค์จักรพรรดิทรงลั่นวาจา เขาก็ต้องใช้ช่วงเวลานี้บ่มเพาะความรู้สึกกับอาซือให้มากที่สุด
อย่างน้อย ก็ให้องค์รัชทายาทไม่เบี่ยงความสนใจมาที่อาซืออีก คิดได้เช่นนี้ เจี่ยงเถิงก็อดนึกถึงลู่เหยาไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะนาง ตัวเองคงไม่มีทางไปช่วยอาซือล่าช้าแน่นอน
จู่ ๆ นัยน์ตาก็ฉายแววดุนดันมากขึ้น เรื่องที่เขาต้องทำในช่วงนี้ นับว่าไม่น้อยเลย
“ไอหยา ดูท่าเราจะเข้ามาไม่ถูกจังหวะเสียแล้ว” เสียงของเจี่ยงฉีดังขึ้นจากข้างนอก ซึ่งแฝงไปด้วยความขี้เล่นเล็กน้อย
คิดว่าเพราะเรื่องที่เจี่ยงเถิงฟื้น เหมือนกับยกภูเขาออกจากอก บัดนี้ตัวเองจึงได้ยิ้มออก
แม้ว่านางจะไม่พูด แต่ยามเห็นลูกชายของตนหลับไม่ได้สติ หัวอกคนเป็นแม่อย่างนางไฉนเลยจะรับได้ ดังนั้นตอนที่หลินซือให้สาวใช้มาหานาง นางวางเรื่องทุกอย่างในมือลง แล้วตรงมายังจวนหลินทันที
โชคดีที่ในจวนมีรถม้าเตรียมไว้เสมอ ส่วนเหยาซูก็ตรงมารอนางอยู่หน้าจวนหลินเช่นกัน ใบหน้ายิ้มแย้มอย่างเบิกบานใจ เมื่อได้รับข่าวนี้
“ใครว่าไม่ใช่ละ? ดูท่าเราสองตระกูล จะมีข่าวดีเร็ว ๆ นี้” ความสัมพันธ์ระหว่างเจี่ยงเถิงและหลินซือ เหยาซูรู้แก่ใจดี
นางและเจี่ยงฉีรออยู่ข้างนอกครู่หนึ่ง ครั้นไม่ได้ยินเสียงอะไรจากข้างในแล้ว จึงได้เข้ามา ใครเลยจะรู้ว่าเจี่ยงฉีจะโพล่งประโยคนี้ออกมา กระทั่งเห็นใบหน้าของลูกสาวแดงเป็นลูกตำลึง ดูท่าคงจะหน้าบางเอามาก ๆ
“ข้าเห็นแล้ว” เจี่ยงฉียิ้ม แม้ว่าจะรู้แล้ว แต่ก็อยากมาเห็นว่าลูกชายของตนไม่เป็นไรจริง ๆ
“ท่านแม่ ท่านอาซู” เมื่อเทียบกับความเงียบของหลินซือ ดูเหมือนเจี่ยงเถิงจะใจกว้างอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นเหยาซูหรือเจี่ยงฉี ล้วนรู้ความคิดในใจของเจี่ยงเถิงทั้งสิ้น
ครั้นเห็นเด็กสองคนนี้ผ่านความลำบากมาด้วยกันมากมาย ตอนนี้อาซือเปิดใจแล้ว ในใจของพวกนางดีใจจนไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมได้
แม้จะบอกว่าผู้คนส่วนมากต่างอยากให้บุตรสาวของตัวเองตีสนิทกับผู้มีเงินผู้มีอำนาจ ออกเรือนกับท่านอ๋องอะไรเทือกนั้น แต่ในใจของพวกนางไม่ได้คิดเช่นนั้น คิดแค่อยากให้ลูกของตัวเองเบิกบานใจ และมีความสุขก็เพียงพอ
เดิมทีทั้งสองตระกูลมักจะไปมาหาสู่กันอยู่แล้ว และเป็นผู้ที่รู้ไส้รู้พุงกันและกัน เทียบกับคนตระกูลอื่น ยอมวางใจกันและกันได้โดยธรรมชาติ
ประเด็นสำคัญคือ เด็กทั้งสองตระกูลก็คิดเช่นนี้ ดังนั้นเหยาซูและเจี่ยงฉีจึงไม่ได้ขัดขวางเด็กสองคนนี้
กระทั่งเสนอความคิดเห็นให้เด็กทั้งสองคนเสมอ ดูท่าความลำบากในครานี้จะเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่า ฟ้าหลังฝนย่อมดีเสมอ
“เอาละ ฟื้นแล้วก็ดี แม่ของเจ้าเป็นห่วงเจ้าแทบแย่” เหยาซูมองเจี่ยงเถิง แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน
เจี่ยงเถิงเป็นเด็กที่นางเห็นการเจริญเติบโตมาตลอด ถือว่าเป็นลูกชายของนางไปอีกคน กระทั่งนางรู้สึกว่าเจี่ยงเถิงนั้นปฏิบัติกับนางดีกว่าลูกในไส้ทั้งสองคนนั้นของตัวเองเสียอีก
“ข้าผิดเองที่ทำให้ท่านแม่และท่านอาซูเป็นห่วง”
“พูดอะไรแบบนั้น เจ้าทำถูกแล้ว แต่ตอนที่ปกป้องอาซือ เจ้าก็ต้องปกป้องตัวเองด้วย”