บทที่ 687 ไม่กล้าเอ่ยปากเช่นนี้?
บทที่ 687 ไม่กล้าเอ่ยปากเช่นนี้?
ทั้งสี่คนมาถึงที่หมายก่อนกำหนดหนึ่งวัน ครั้นได้ยินว่าชาวบ้านพูดกันว่าคืนนี้จะมีงานวัดใหญ่โต
ปี้ชุนจึงรบเร้าอยากไปเดินเที่ยวทันที เจี่ยงเถิงจึงมอบหมายหน้าที่นี้ให้แก่เหยาเอ้อหลางไป
“น้องเหยา คุณหนูแห่งองครักษ์พิทักษ์เมืองอยากออกไปเที่ยวเล่น ถ้าเจ้าไม่ไปก็คงไม่ได้”
“เหตุใดต้องเป็นข้า?”
เหยาเอ้อหลางเดินตามอยู่ด้านหลังของเจี่ยงเถิงและคนอื่น ไม่ยอมพาคุณหนูใหญ่ผู้นี้ออกไปเดินเล่นท่าเดียว
ฝีปากของนาง เหยาเอ้อหลางมักจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบทุกครั้ง
“แล้วเหตุใดจะเป็นเจ้าไม่ได้ คุณหนูกำหนดว่าต้องเป็นเจ้า เจ้าต้องขอบคุณนะ”
จากที่นัดกันไว้ก่อนหน้านี้ ณ งานวัด เหยาเอ้อหลางรออยู่หน้าประตูตามที่นัดกันไว้
เขารออย่างเงียบ ๆ อยู่ที่นี่ และดูเหมือนจะรอมานานมาก แต่ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขากลับไม่ได้แสดงสีหน้าหมดความอดทนเลยแม้แต่น้อย
ในที่สุดเวลานี้ก็มีร่างเงาร่างหนึ่งปรากฏกายขึ้นหน้าประตู นางผู้นั้นค่อย ๆ เดินเข้ามาหาเขาอย่างแช่มช้าภายใต้การประคองของสาวใช้
“คุณชายเหยา ต้องขอประทานอภัยที่ทำให้คุณชายต้องรอนาน”
สาวใช้เห็นท่าทีของเหยาเอ้อหลาง ดูเหมือนว่าเขาจะรออยู่ที่นี่มานานมากแล้ว จึงรีบกล่าวขอโทษแทนคุณหนูของตนทันที
แต่เหยาเอ้อหลางไม่ได้สนใจมากนัก เขาโบกมือแล้วเปิดม่านบนม้า
“ไม่เป็นไร ข้าแค่มาถึงก่อนเท่านั้น นี่ก็สายมากแล้ว เรานั่งรถม้ามาถึงงานวัดแห่งนั้นงานน่าจะเริ่มพอดี ไม่ต้องรอนาน”
จากนั้นพวกเขาก็พากันขึ้นรถม้าเดินทางไปข้างหน้า
“ที่นี่ช่างคึกคักยิ่งนัก วันนี้เราต้องเที่ยวให้สนุกเต็มที่”
ปี้ชุนเปิดม่านหน้าต่าง แล้วมองออกไปข้างนอกกระทั่งเห็นผู้คนเดินกันพลุกพล่าน ทั่วทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยโคมไฟหลากสีสัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่รถม้าของพวกเขาเคลื่อนตัวขึ้นสะพาน ครั้นมองจากสะพานลงไปข้างล่าง แม่น้ำข้างล่างเต็มไปด้วยโคมไฟลอยน้ำที่ทำขึ้นจากดอกบัวเพื่ออธิษฐานขอความเจริญรุ่งเรืองดอกแล้วดอกเล่า
ปี้ชุนรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที เหยาเอ้อหลางที่อยู่ข้างกายจึงเอ่ยด้วยความตื่นเต้น
“เจ้าเห็นโคมไฟดอกบัวลอยน้ำในแม่น้ำเหล่านั้นไหม เดี๋ยวเราไปซื้อมาสักสองดวง เราจะได้อธิษฐานเผื่อคนในจวนด้วย”
เหยาเอ้อหลางเห็นความตื่นเต้นและความคาดหวังที่สะท้อนออกมาทางแววตาของปี้ชุน
คำปฏิเสธติดอยู่ตรงปลายปาก เขาเปิดม่าน ให้คนบังคับรถม้าหยุดรถม้าหลังสะพานครู่หนึ่ง
หลังจากที่ทั้งสองคนลงจากรถม้า ก็เห็นโคมไฟดอกบัวที่ขายอยู่ตามแผงข้างสะพานนี้พอดี
เหยาเอ้อหลางซื้อโคมไฟลอยน้ำสองดวง จากนั้นทั้งสองคนก็เดินมายังขั้นบันไดริมแม่น้ำเตรียมตัวจะลงไป เหยาเอ้อหลางกลับยื่นมือออกไปดึงปี้ชุนที่เตรียมจะเดินนำหน้าไว้
“ระวังด้วย บันไดขั้นนี้เต็มไปด้วยน้ำ เกิดลื่นขึ้นมาคงได้ไถลตกน้ำไปแน่ ถึงตอนนั้นไม่มีใครช่วยเจ้าได้นะ!”
“ข้ารู้แล้ว!”
ปี้ชุนรีบดึงเท้ากลับทันที ก่อนจะก้มมองมือของตัวเอง ความอบอุ่นจากฝ่ามือใหญ่ของเหยาเอ้อหลางกำลังเกาะกุมฝ่ามือของตนไว้ พาให้เจ้าตัวหน้าแดงอย่างอดไม่ได้
เหยาเอ้อหลางได้สติกลับมาเช่นกัน ตอนนี้ตัวเองจูงมือของปี้ชุนอย่างกล้าหาญ จึงรีบดึงกลับทันที ใบหน้าของทั้งสองคนแดงระเรื่อ
หลังจากที่ปี้ชุนได้สติกลับมา นางก็คลี่ยิ้มออกมา
“ขอบคุณที่เจ้าเตือนข้า ตอนนี้เรารีบไปลอยโคมไฟดอกบัวนี้กันเถอะ แบบนี้ก็ดี บรรพบุรุษจะได้เห็นถึงความปรารถนาในใจของเรา”
หลังจากที่เหยาเอ้อหลางปล่อยตัวปี้ชุนแล้ว ในใจของนางก็โล่งใจทันที จากนั้นก็ทิ้งเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไว้ข้างหลัง
ทั้งสองคนจูงมือกันและกัน เดินลงบันไดไปพร้อมกัน คุกเข่าริมแม่น้ำ แล้วค่อย ๆ อธิษฐานของแต่ละคนเงียบ ๆ ในใจ
“เจ้าอธิษฐานว่าอย่างไร?”
ปี้ชุนลืมตาขึ้นมาเห็นว่าเหยาเอ้อหลางที่อยู่ข้างกายยังหลับตาสนิท
จึงครุ่นคิดว่าเขากำลังอธิษฐานสิ่งใดกันแน่ นานเพียงนี้ก็ยังอธิษฐานไม่เสร็จ?
ครั้นเหยาเอ้อหลางได้ยินคำพูดของปี้ชุนก็พลันลืมตาแล้วมองนางแวบหนึ่ง “นี่คือความลับ ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา ไว้ข้าจะบอกเจ้าทีหลัง”
“ชิ ไม่บอกก็ไม่บอก คุณหนูอย่างข้าไม่สนใจหรอก”
ปี้ชุนเห็นเขาตั้งใจชวนทะเลาะ จึงแสร้งทำเป็นเมินหน้าไปทางอื่น จากนั้นก็เห็นร่างที่ยืนอยู่เดินขึ้นฝั่งไป
ครั้นเห็นปี้ชุนหมุนตัวแล้วเดินจากไป เหยาเอ้อหลางก็พลันอึ่งงันไปชั่วขณะ จากนั้นก็รีบเดินตามไป มุมปากกระตุกโค้งเป็นรัศมีได้รูป แสดงท่าทีตื่นเต้นอย่างชัดเจน
แต่ความไม่สบอารมณ์ของปี้ชุนผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ลากตัวเหยาเอ้อหลางเดินเล่นทั่วงานวัด เพราะมีเรื่องราวที่น่าสนใจมากมาย
“เจ้าดูหน้ากากหมูชิ้นนี้สิ น่ารักยิ่งนัก!”
ปี้ชุนเห็นหน้ากากที่วางอยู่บนแผงขาย จึงหยิบขึ้นมาเทียบกับใบหน้าของเหยาเอ้อหลาง แล้วคลุมไปพอดี
ครั้นแรกที่เหยาเอ้อหลางเห็นปี้ชุนส่งยิ้มให้ตนเช่นนี้โดยไม่ทันตั้งตัว อีกทั้งยังเผยให้เห็นฟันขาวสะอาดเรียงแถวสวย รู้สึกว่านางคือหญิงที่งดงามที่สุดเท่าที่ตนเคยเจอมา
จึงได้แต่อึ้งงันอยู่ที่เดิมชั่วขณะ นัยน์ตาที่มองจับจ้องไปยังปี้ชุนอย่างตรงไปตรงมา แฝงไปด้วยความรู้สึกประหลาดบางอย่าง
ปี้ชุนกลับไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ของเหยาเอ้อหลาง แต่กลับคลี่ยิ้มอย่างต่อเนื่อง
“เจ้าดูหน้ากากหมูชิ้นนี้สิรับกับหน้าของเจ้าพอดี!”
ครั้นเหยาเอ้อหลางได้ยินคำชมของปี้ชุนก็หลุดหัวเราะ ก่อนจะใส่หน้ากากหมูชิ้นนั้นเข้ากับหน้าของเขาเรียบร้อย
หลังจากเผชิญหน้ากับปี้ชุนแล้ว จึงเดินรุดหน้าเข้าไปใกล้ ทิ้งระยะห่างเพียงสองคน ยื่นหน้าของตัวเองเข้าไปตรงหน้าของนาง
“เจ้าหาว่าข้าเป็นหมู เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
นี่เป็นครั้งแรกที่ปี้ชุนอยู่ใกล้ชิดกับชายหนุ่มมากขนาดนี้ นางยืนนิ่งอยู่ที่เดิม แต่ร่างทั้งร่างไม่ได้รู้สึกขนาดนั้น
ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นทันที
เหยาเอ้อหลางหยิบหน้ากากอีกชิ้นมาถือในมือ จากนั้นก็ใส่บนใบหน้าของนาง ซึ่งหน้ากากเช่นนั้นคือหน้ากากจิ้งจอก
“เจ้าน่ารักเหมือนกับจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวนี้เลย”
เมื่อถูกด่าว่าเจ้าเล่ห์ ปี้ชุนไม่สบอารมณ์ จึงถอดหน้ากากบนหน้าของตัวเองออก เบะปาก แล้วมองเหยาเอ้อหลางอย่างไม่พอใจพลางเลิกคิ้วสูง
“เจ้าพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูกนะ เจ้าเล่ห์กับไร้เดียงสาจะอยู่ด้วยกันได้อย่าไงร? อีกอย่าง ข้าน่ารักอย่างไรก็น่ารักอย่างนั้น แต่ไม่ได้เจ้าเล่ห์ เข้าใจหรือไม่!”
ครั้นเห็นปี้ชุนน่ารักเช่นนี้ เหยาเอ้อหลางก็ทนไม่ไหว ยื่นนิ้วมืออันเรียวยาวออกไป แตะปลายจมูกของนางอย่างแผ่วเบา
กระทั่งได้สติว่าตัวเองจะทำอะไร เขารีบดึงมือกลับ แล้วเอ่ยอย่างรู้สึกผิด
“ความเจ้าเล่ห์ในปากไม่ใช่ความหมายเชิงลบ แต่คือการชมเชยเพราะความเจ้าเล่ห์นี้ ดังนั้น…”
เมื่อเอ่ยถึงประโยคท่อนหลัง จู่ ๆ เหยาเอ้อหลางก็หยุดชะงักเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างออกจึงไม่ได้พูดต่อ
แต่กลับสร้างความอยากรู้อยากเห็นของปี้ชุนได้เป็นอย่างดี จึงรีบเอ่ยถาม “ดังนั้นอะไร?”
“ไม่มีเวลา สายมากแล้ว เรากลับกันเถอะ”
ครั้นเห็นเหยาเอ้อหลางกล่าวเช่นนี้ ปี้ชุนรู้สึกผิดหวังไปชั่วขณะ จึงไม่สบอารมณ์อยู่ในใจ
ปี้ชุนไม่ได้โง่ เมื่อครู่นางมองออกว่าเหยาเอ้อหลางรู้สึกเสน่ห์หาในตัวนาง เห็นได้ชัดว่าบางคำพูดติดอยู่ที่ปาก เขาก็ยังฝืนใจกลืนลงไป
เมื่อครู่เขาอยากจะพูดออกไปจริง ๆ แต่ตอนนี้กลับคิดอยู่ที่ปาก
ทำไม? หรือว่าชอบนาง จึงไม่กล้าเอ่ยปากเช่นนี้?
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
นอกจากผู้เป็นพ่อแล้ว เหยาเอ้อหยางยังมีคนที่เถียงไม่ชนะด้วยเหรอคะเนี่ย
ไหหม่า (海馬)
——————————————–