ตอนที่ 8 โง่กว่าคนโง่เสียอีก
ยามนี้กลิ่นหอมของโจ๊กได้ลอยออกมาจากห้องครัว แต่เมื่อเช้าธัญพืชในโถหมดไปแล้วมิใช่หรือ ? หรือว่าจะเป็นธัญพืชที่บุตรชายผู้มากความสามารถนำกลับมาด้วย ?
“ลูกรองของแม่กลับมาแล้วหรือ ? ” เสียงของนางหวงดังมาจากในบ้าน
หลินเว่ยเว่ยวางเนื้อและธัญพืชที่ซื้อมาไว้บนโต๊ะหินกลางลานบ้าน จากนั้นก็ถือห่อยาเดินเข้าไปในห้องของนางหวง
นางหวงกำลังเอนกายพิงหัวเตียงไม้แข็ง ๆ โดยมีบุตรชายคนเล็กนั่งอยู่บนตั่งข้างเตียงพลางท่องคัมภีร์สามอักษร1 ที่พี่สามเพิ่งสอนให้เมื่อครู่อย่างตั้งอกตั้งใจ
นางหวงมองไปยังบุตรสาวคนรองด้วยแววตาแห่งความรักและอาทรพลางถามเสียงเบาว่า “ลูกแม่หิวแล้วใช่หรือไม่ อีกประเดี๋ยวโจ๊กก็ต้มเสร็จแล้ว พอถึงตอนนั้นแม่จะให้เจ้าทานชามใหญ่ที่สุดเลย ! ”
ทว่าหลินเว่ยเว่ยเอาซาลาเปาไส้เนื้อลูกใหญ่ที่ซื้อติดมาด้วยยัดใส่มือนางหวง “ท่านแม่…ท่านทานสิเจ้าคะ ! ” จากนั้นก็ยื่นเค้กข้าวที่ตอนนี้มองรูปร่างเดิมแทบไม่ออกเพราะถูกทับจนแบนให้แก่น้องชายคนเล็กซึ่งกำลังใช้ดวงตาใสแจ๋วจ้องมองนาง
ในแววตาของนางหวงเต็มไปด้วยความสงสัย “เจ้าไปเอาซาลาเปาและเค้กข้าวมาจากที่ใด ? เราไม่สามารถเอาของผู้อื่นมาได้ตามอำเภอใจ รีบนำไปคืนเขาเถิด…”
“ท่านแม่ ! ” ในตอนนี้เองบุตรสาวคนโตก็ตะโกนเรียกมารดาเสียงดังลั่นราวกับเพิ่งโดนเหยียบหางมาอย่างไรอย่างนั้น “ท่านแม่ ท่านดูสิว่าเจ้าเด็กโง่ไปเอาธัญพืชมากมายเพียงนี้มาจากที่ใด…แถมยังมีเนื้อก้อนใหญ่ด้วยเจ้าค่ะ ! ”
นางหวงเริ่มนั่งไม่ติดเตียงจึงพยายามลงจากเตียงให้ได้ ทว่าด้วยความไร้เรี่ยวแรงจึงทำให้แข้งขาอ่อนจนล้มพับไปกับพื้นทันที หลินเว่ยเว่ยเห็นดังนั้นก็เข้ามาประคองแขนของมารดาแล้วพาเดินไปที่ลานบ้าน
สิ่งที่นางหวงได้เห็นเมื่อไปถึงลานบ้านก็คือข้าว เส้นหมี่ขาว แป้งข้าวโพดที่ถูกบดจนละเอียด ลูกเดือยรวมถึงเนื้อขาหมูที่มีมันค่อนข้างน้อยแต่เนื้อเยอะ…ของเหล่านี้ต้องใช้เงินกี่ตำลึงกว่าจะซื้อมาได้ !
“ลูกรัก เจ้าบอกแม่มาเถิดว่าไปเอาของพวกนี้มาจากที่ใด ? ” ต่อให้เป็นตอนที่สามีของนางยังอยู่ก็มิกล้าพอถึงขั้นซื้อวัตถุดิบดี ๆ จำนวนมากมายเพียงนี้
หลินเว่ยเว่ยประคองมารดาให้นั่งบนเก้าอี้แล้วตอบว่า “ข้าซื้อมาเองเจ้าค่ะ”
“ซื้อมาอย่างนั้นหรือ ? แล้วเจ้าไปเอาเงินมาจากที่ใด ? คนโง่เยี่ยงเจ้าคงไม่คิดว่าเวลาซื้อของต้องใช้เงินซื้อ เจ้าไปขโมยของพวกนี้มาใช่หรือไม่ ? ท่านแม่ อีกประเดี๋ยวต้องมีคนมาขอให้พวกเราชดใช้เงินอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ พอถึงตอนนั้นท่านก็ให้พวกเขาจับนางไปชำระหนี้เถิดเจ้าค่ะ ! ” บุตรสาวคนโตกำเบ็ดตกปลาในมือจนแน่นพร้อมกัดฟันพูดด้วยความโมโห
บุตรชายคนเล็กของนางหวงกำลังถือเค้กข้าวแสนหอมหวานเอาไว้ในมือทั้งสองข้าง เห็นได้ชัดว่าเจ้าหนูน้อยอดใจมิไหวจนน้ำลายไหลออกมา แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังมิได้เปิดห่อเพื่อลิ้มลองรสชาติของมัน และพอเจ้าหนูน้อยได้ยินคำที่พี่ใหญ่กล่าวออกมา ทันใดนั้นดวงตาใสแป๋วก็เต็มไปด้วยความกังวล พี่รองมิได้โง่อีกทั้งยังซื้อเค้กข้าวมาฝากข้าด้วย มิว่าอย่างไรข้าก็จะไม่ยอมให้พี่รองถูกจับตัวไปเด็ดขาด !
หลินเว่ยเว่ยใช้สายตาที่คล้ายกำลังมองคนโง่หันไปมองพี่สาวของตน เจ้าคิดว่าคนในร้านขายธัญพืชและร้านขายเนื้อเป็นท่อนไม้หรือไร ! หากข้าขโมยขึ้นมาจริง ๆ เจ้าคิดว่าข้าจะออกมาจากเขตเริ่นอันได้หรือ ?
สายตาของนางไปกระตุ้นต่อมโทสะของพี่สาว ทันในนั้นพี่สาวก็กระทืบเท้าด้วยความโกรธแล้วชี้หน้าเตรียมด่า ทว่าหลินเว่ยเว่ยสูดจมูกแล้วชี้ไปทางห้องครัว “โจ๊กได้ที่แล้ว ! ”
ดูเหมือนว่าการกระทำของบุตรสาวคนโตโดนกดปุ่มหยุดไปชั่วขณะ เพราะนางแทบอดใจมิไหวที่จะสั่งสอน ‘เจ้าเด็กโง่’ คนนี้ ทว่าก็ต้องอดใจไว้แล้วเดินเข้าไปในห้องครัวเพื่อยกโจ๊กหม้อโตออกจากเตา
ส่วนเจ้าหนูน้อยก็นำห่อเค้กข้าวยัดใส่มือของพี่สาวคนรองอีกครั้ง “พี่รอง ขนมชิ้นนี้ต้องแพงอย่างแน่นอน ท่านรีบนำมันไปคืนเถิด ในเมื่อเราเอาของเขามาก็ต้องนำกลับไปคืนเจ้าของ ! ”
หลินเว่ยเว่ยถือโอกาสตอนที่เจ้าหนูน้อยมิทันได้สังเกตรีบบิดเค้กข้าวเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วยัดใส่ปากเจ้าหนูน้อยอย่างรวดเร็ว “ดูสิ ตอนนี้เจ้ากินมันไปแล้ว ข้าเอาไปคืนมิได้แล้วล่ะ ! ข้าตั้งใจซื้อมาให้เจ้าโดยเฉพาะเลย ! ”
ในที่สุดหลินจื่อเหยียนก็มองหน้าพี่รองที่โง่เขลาของตน เวลานี้นางสวมเสื้อผ้าบุรุษตัวหลวมแสนซอมซ่อ นางยังมีรูปร่างบึกบึนและมีใบหน้ากลมโตเช่นเดิม ทว่าดวงตาคู่ที่เคยไร้ชีวิตชีวาและความเฉลียวฉลาดได้กลับมามีประกายอีกครั้ง
วันนี้เขาเพิ่งกลับถึงบ้านก็ได้ยินท่านแม่บอกว่าพี่รองตกจากภูเขา จากนั้นสมองของนางก็กลับมาเป็นเหมือนคนปกติ นางมิได้โง่เขลาแล้วใช่หรือไม่ ? เขาเองก็ไม่อยากเชื่อเรื่องนี้หรอก ทว่าคำที่พูดออกมาเพียงสั้น ๆ และการกระทำที่แสนเรียบง่ายของนางเมื่อครู่กลับสามารถหยุดคำด่าของพี่ใหญ่ได้สำเร็จ นี่คือเรื่องบังเอิญหรือว่าจงใจให้เป็นเช่นนี้ ?
หากมิใช่เรื่องบังเอิญก็หมายความว่าพี่รองจอมโง่เขลามิใช่แค่หายโง่เท่านั้น ในทางตรงกันข้ามคือฉลาดขึ้นอีกด้วย !
หลินจื่อเหยียนเพ่งมองหลินเว่ยเว่ยอย่างพินิจพิจารณา…
นางหวงที่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ก็เผยสีหน้ากังวลออกมา “ลูกรอง เจ้าบอกแม่มาเถิดว่าไปเอาเงินซื้อเนื้อและธัญพืชมาจากที่ใด ? แม้ว่าบ้านของเรายากจนแต่ก็มิควรทำเรื่องผิดศีลธรรม ! ”
“ข้าได้เงินมาจากการขายหมูป่าเจ้าค่ะ” หลินเว่ยเว่ยเอาเงินอีก 8 ตำลึงกับ 5 อีแปะออกมาจากกระเป๋าอกเสื้อตัวเก่าแล้วยัดใส่มือของมารดา ดูสิว่าตอนนี้ครอบครัวของพวกเรามีเงินแล้วก็ไม่ต้องกังวลกับสิ่งใดใช่หรือไม่ ?
“หมูป่า ? ” พี่สาวได้ยินดังนั้นก็หันขวับมามองทันที “ที่แท้เจ้าก็เป็นคนเอาหมูป่าตัวเมื่อวานไปซ่อนนี่เอง ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดพวกลุงต้าซวนไปหามันไม่เจอ ! ”
หลินเว่ยเว่ยได้ยินเช่นนั้นก็อดประชดคืนมิได้ “ก็ใช่น่ะสิ ! หากไม่เอาไปซ่อนแล้ว คนโง่เช่นเจ้าก็คงพาคนขึ้นไปแบ่งเนื้อหมูป่าจนหมด”
ตอนที่หมูป่ากำลังวิ่งไล่ พี่สาวคนนี้ก็เป็นคนเดียวที่วิ่งหนีจนแทบมิสนใจความเป็นความตายของผู้ใด แต่พอหมูป่าถูกฆ่าตายก็รีบวิ่งแจ้นไปตะโกนให้ชาวบ้านมารวมตัวกันบนภูเขาเพราะกลัวว่าจะไม่ได้แบ่งเนื้อหมูป่าให้ชาวบ้านคนอื่น ! โชคดีที่นางมีมิติน้ำพุวิญญาณคอยช่วยให้สามารถซ่อนหมูป่าไว้ได้ นางเองก็มิอยากเสียเปรียบให้ผู้ใดทั้งนั้น !
พี่สาวก็คาดมิถึงว่าจะมาถูกด่าเป็นคนโง่โดยคนโง่ในสายตาของตนจึงทำให้โมโหจนแทบขว้างปาข้าวของทิ้งเสียให้ได้ “พวกลุงต้าซวนขึ้นไปบนภูเขาเพื่อช่วยตามหาเจ้า เช่นนั้นการแบ่งเนื้อหมูป่าให้พวกเขาก็เป็นเรื่องสมควรมิใช่หรือ ? ”
“ข้ามิใช่แม่พระเช่นเจ้า ตอนนี้บ้านกำลังอดอยากจนแทบไม่มีข้าวกรอกหม้อแล้ว ยังต้องมาแบ่งเนื้อหมูป่าให้ผู้อื่นอีก เจ้าอยากเห็นครอบครัวอดตายหรือไร ? ”
แม้พี่สาวจะไม่เข้าใจว่า ‘แม่พระ’ มีความหมายอย่างไร แต่ก็พอมองออกว่าคำที่น้องสาวเอ่ยออกมาต้องมิใช่คำที่ดีแน่นอน ดังนั้นนางจึงกำมือแน่นในขณะที่กล่าวว่า“ หลังจากท่านพ่อตายไป ครอบครัวของเราก็ขาดเสาหลัก พวกเรายังต้องพึ่งพาเพื่อนบ้านอีก…”
“ผู้ใดบอกว่าครอบครัวของเราไม่มีเสาหลัก เจ้าเอาน้องชายคนโตไปไว้ที่ใด ? ” หลินเว่ยเว่ยตบบ่าหลินจื่อเหยียน ทว่าแรงตบนี้สำหรับน้องชายคนโตถือว่าหนักอยู่มิน้อย ทำเอาเจ้าตัวถึงขั้นกัดฟันอดทน จากนั้นนางก็หันไปอุ้มน้องชายคนเล็กที่อยากกินเค้กข้าวใจจะขาดขึ้นมา “แล้วยังมีสุภาพบุรุษตัวน้อยเยี่ยงน้องสี่อยู่อีกทั้งคน ! ”
เมื่อเจ้าหนูน้อยถูกเห็นความสำคัญจึงพยักหน้ารับอย่างให้ความร่วมมือ “หากข้าโตแล้วจะหาเงินมาเยอะ ๆ เพื่อเลี้ยงท่านแม่และพวกพี่สาว…”
หลินเว่ยเว่ยยกตัวเจ้าหนูน้อยขึ้นสูงสองสามครั้ง รอยยิ้มไร้เดียงสาและแววตาสดใสของเขาสามารถทำให้อารมณ์ที่ขุ่นมัวและความตึงเครียดของหลินเว่ยเว่ยผู้ทะลุมิติมาได้ผ่อนคลายในทันทีทันใด
หลินจื่อเหยียนนวดบ่าของตน ดูท่าคราวนี้ต้องฟกช้ำอย่างแน่นอน เขากัดฟันกรอดในขณะที่แอบถลึงตาใส่หลินเว่ยเว่ย นางจงใจกลั่นแกล้งข้าเป็นแน่ !
พี่สาวคนโตทนไม่ได้ที่เห็นน้องชายคนเล็กสนิทสนมกับเจ้าเด็กโง่เช่นนี้ ภายในใจแอบก่นด่าเจ้าหนูน้อยด้วยความโมโหแล้วยังมิวายส่งสายตาดุไปยังเจ้าหนูน้อยอีกด้วย เด็กน้อยคนนี้ถูกซื้อด้วยเค้กข้าวเพียงชิ้นเดียว แต่ด้วยความที่นางเป็นคนไม่ยอมคนจึงตะโกนแย้งขึ้นว่า “น้องสามต้องเรียนหนังสือเพื่อสั่งสมความรู้ความสามารถ เจ้าจะให้เขากลับบ้านมาทำไร่ไถนาหรือไร ? เช่นนี้ที่ร่ำเรียนมาตลอดหลายปีก็ถือว่าเสียเปล่า”
หลินเว่ยเว่ยยังพูดต่อไปอย่างไม่ยี่หระ “แล้วข้าบอกว่าจะให้เขาหยุดเรียนหรือ ? ที่บ้านก็ยังมีเจ้ากับข้ามิใช่หรือไร ? ข้าสามารถขึ้นเขาไปล่าสัตว์เพื่อหาเงินมาส่งน้องชายได้ร่ำเรียนและซื้อแท่นหมึกกับพู่กันได้ ยิ่งไปกว่านั้นข้ายังซื้อเค้กข้าวมาให้น้องชายคนเล็กของพวกเราอีกด้วย”
พี่สาวได้ยินเช่นนั้นก็มองด้วยสายตามิอยากเชื่อ “เจ้าน่ะหรือ ? ผู้ใดจะไปรู้ว่าภายภาคหน้าสมองของเจ้าจะไม่กลับมาโง่เขลาอีก…”
“พอได้แล้ว ! ” นางหวงปรามบุตรสาวคนโตแล้วโค้งคำนับฟ้าดินไม่หยุด “ขอบคุณฟ้าดิน ขอให้ลูกของข้าปลอดภัย ขอให้จิตวิญญาณที่ไม่ดีพลันหายไป จิตวิญญาณที่ดีคงอยู่ตลอดกาล ขอสวรรค์คุ้มครองลูกคนรองของข้าด้วยเถิด ! ”
1 คัมภีร์สามอักษร หรือ ซันจื้อจิง เป็นแบบเรียนอมตะของจีน เนื้อหาประกอบด้วยหลักคำสอนความประพฤติดีงาม ภาษาวรรณกรรมและประวัติศาสตร์
ตอนต่อไป