ตอนที่ 15 ข้าเกลียดท่าน !
หลินเว่ยเว่ยหอมแก้มน้องชายคนเล็กด้วยความเอ็นดูแล้วถามว่า “เจ้าหนูน้อยของข้าเป็นเด็กดีมาก เช่นนั้นเจ้าอยากไปเที่ยวในเมืองกับข้าหรือไม่ ? ”
เจ้าหนูน้อยเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม “ข้าไปได้จริงหรือ ? ”
“ยังคิดไปเที่ยวเล่นกันอยู่อีกหรือ ? งานบ้านก็ยังไม่เสร็จ ไหนจะซักเสื้อผ้า ทำกับข้าว รดน้ำพรวนดิน…คนอื่นยุ่งกันจะตายอยู่แล้ว แต่เจ้ายังมีเวลาว่างไปเที่ยวเล่นในเมืองอีก ! ” พี่สาวคนโตเริ่มบ่นอย่างไม่ยอมเสียเปรียบ !
ทันใดนั้นดวงตาที่เคยสว่างสดใสของเจ้าหนูน้อยก็พลันมืดมนและน้ำตาไหลอย่างอดกลั้นมิได้พลางเอ่ยอย่างรู้ความ “พี่รอง ท่านไปเถิด หากท่านนำเนื้อไปแลกเงินมาได้ บ้านของเราก็จะได้อิ่มท้องกัน ! ข้าจะช่วยพี่ใหญ่รดน้ำพรวนดินอยู่ที่บ้านเอง”
หลินเว่ยเว่ยรู้สึกสงสารน้องชายจับใจจึงใช้มือปาดน้ำตาให้น้องแล้วหันไปจ้องพี่สาวตาเขม็ง “หากเจ้ามีความสามารถในการล่าสัตว์และจับกวางเพื่อนำไปขายแลกเงินสิบกว่าตำลึงมาให้ครอบครัว เจ้าก็มีสิทธิ์เที่ยวเล่นที่ใดก็ได้เช่นกัน เจ้าอยากจะพาผู้ใดไปด้วยก็ย่อมได้ ! ตอนนี้ข้าก็หาเงินเลี้ยงดูทุกคนในครอบครัวอยู่ เจ้ามีปัญหาหรือไม่ ? ”
“เจ้า…เจ้าเป็นภาระของครอบครัวมานานหลายปีแต่เพิ่งหาเงินได้ไม่กี่ตำลึงก็คิดว่าตนเก่งถึงเพียงนั้นแล้วหรือ ? หากมิใช่เพราะเจ้ากินจุราวกับหมู คิดว่าครอบครัวของเราจะยากจนถึงเพียงนี้หรือไม่ ? ตอนนี้เจ้าทุ่มเทเพื่อครอบครัวก็ถือเป็นเรื่องถูกต้องและสมควรที่สุดแล้ว ! ” พี่สาวคนโตกล่าวด้วยท่าทีเหมือนต้องการเปิดศึก !
“แล้วเมื่อครู่ผู้ใดที่เพิ่งทานชงโหยวปิงไปถึง 4 แผ่น ? ” หลินเว่ยเว่ยมองอีกฝ่ายด้วยแววตาท้าทาย น้องชายคนโตยังทานไปเพียง 3 แผ่น แต่พี่สาวเป็นแค่สตรีธรรมดาคนหนึ่งกลับทานไปถึง 4 แผ่น ผู้ใดกันแน่ที่กินจุราวกับหมู !
พี่สาวคนโตอายจนหน้าแดงก่ำและในขณะที่ตั้งท่าเตรียมปะทะฝีปากกับน้องสาวนั้น หลินเว่ยเว่ยก็ยกมือขึ้นตัดบทเสียก่อน “หากเจ้าไม่อยากทำงานบ้านก็พักงานเอาไว้ก่อนและรอให้ข้าไปขายเนื้อในเมืองกลับมา ประเดี๋ยวข้าทำเอง อย่าพูดเหมือนว่ามีแต่เจ้าคนเดียวที่ทุ่มเทเพื่อครอบครัว ! เจ้าเองก็โตถึงเพียงนี้แล้วยังไม่รู้ความเท่าเจ้าหนูน้อยเลย ! ”
จากนั้นนางก็ไม่สนใจท่าทีกระฟัดกระเฟียดของพี่สาวอีกต่อไป นางนั่งบนเก้าอี้แล้วมองไปทางมารดาด้วยความกังวล “ท่านแม่ หากท่านสงสารลูกและไม่อยากให้พวกข้าเป็นกังวลก็ไม่ต้องทำอันใดทั้งสิ้น ท่านจงรักษาสุขภาพให้ดี ! หากมีงานก็รอให้ข้าและน้องเล็กกลับจากในเมืองเสียก่อน ! ”
หลังกล่าวจบนางก็ถือตะกร้าไม้ไผ่ขึ้นมาแล้วอุ้มเจ้าหนูน้อยพลางหันไปขยิบตาให้หลินจื่อเหยียนที่ได้แต่มองโดยไม่เอ่ยสิ่งใดออกมา จากนั้นนางก็รีบสาวเท้าเดินทางเข้าเขตเริ่นอัน
เจ้าหนูน้อยที่ถูกอุ้มไว้ในอ้อมกอดของพี่รองรู้สึกเขินอายจึงกล่าวว่า “พี่รอง ท่านวางข้าลงก็ได้ ข้ามิใช่เด็กน้อยแล้ว ข้าสามารถเดินเองได้ ! ”
หลินเว่ยเว่ยจับขาเล็ก ๆ ของเจ้าหนูน้อยแล้วกล่าวว่า “ดูสิ ขาของเจ้าทั้งสั้นและเล็ก กว่าเราจะเดินไปถึงในเมือง พระอาทิตย์คงอยู่กลางศีรษะพอดี ! เช่นนั้นเจ้าจงเป็นเด็กดี เพราะน้ำหนักของเจ้าสำหรับพี่รองไม่ต่างอันใดจากการอุ้มกบตัวเล็กตัวหนึ่ง ! ”
น้องเล็กจึงเบ่งกล้ามของตนทันที “ ข้าไม่เหมือนกบเสียหน่อย ! ”
“ผู้ใดบอกว่าเจ้าไม่เหมือน ? กบมันตาโต พุงป่องแถมยังปากจู๋อีก ตอนนี้เจ้าเหมือนมันมากเลย ! ” หลินเว่ยเว่ยบีบแก้มของเด็กน้อย จากนั้นก็กล่าวเย้าแหย่ “แต่ถึงอย่างนั้นกบก็ยังขยันเพราะมันช่วยชาวนาจับพวกแมลงร้ายกิน ! ”
“ข้าก็สามารถช่วยครอบครัวจับแมลงในแปลงนาได้เช่นกัน ! ” น้องเล็กทำสีหน้าน่าเอ็นดู
หลินเว่ยเว่ยเห็นท่าทีของน้องชายคนเล็กก็หัวเราะชอบใจแล้วกล่าวว่า “เจ้าหนูน้อยของเราเหมือนกบจริงด้วย ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดเจ้าจึงขยันยิ่งนัก ! ” เมื่อเห็นว่าพี่รองยิ้มอย่างมีความสุข เจ้าหนูน้อยก็หัวเราะอย่างมีความสุขเช่นกัน !
หลินเว่ยเว่ยก้าวเท้าเดินให้เร็วขึ้นและทุกครั้งที่เดินไปมักทำให้เกิดลมพัดขึ้น นางเดินไปพร้อมหยอกล้อน้องเล็ก ทำให้ตลอดทางไม่มีความน่าเบื่อเลย แต่ทันใดนั้นนางก็รู้สึกราวกับว่ากำลังลืมบางสิ่งบางอย่างไป
นางหันไปแล้วพบว่าน้องชายคนโตหลินจื่อเหยียนกำลังลากสัมภาระเพื่อกลับสำนักศึกษาและเดินรั้งท้ายอยู่ไกล ๆ ยามนี้เด็กหนุ่มกำลังใช้มือนวดหน้าขาเพราะความเหนื่อยล้า ส่วนอีกมือก็พยายามฮึดสู้เพื่อลากสัมภาระของตนให้เดินหน้าต่อ หน้าผากของเขามีเหงื่อเม็ดโตผุดออกมามิหยุด ด้านหลังเสื้อคลุมตัวยาวเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ เส้นผมของเด็กหนุ่มเปียกจนติดแนบไปกับใบหน้า ตอนนี้เขาไม่มีมาดของบัณฑิตผู้มีปัญญาสูงส่งแต่อย่างใด
หลินเว่ยเว่ยจึงรีบเดินย้อนไปหาอย่างรวดเร็วแล้วรับเอาสัมภาระของเด็กหนุ่มมาพลางเอ่ยถ้อยคำที่คล้ายตำหนิอีกฝ่าย “เจ้าเป็นบัณฑิตที่มิได้เรื่องเสียจริง ! พวกเราเพิ่งเดินมาไกลแค่ไหนกันเชียว เจ้าก็มีสภาพเหงื่อซกเสียแล้ว ต้าฮว๋า เจ้าคงเรียนหนักเกินไปจนมิได้ออกกำลังกายใช่หรือไม่ ! ”
หลินจื่อเหยียนเอ่ยอย่างยอมแพ้ระคนโมโห “พี่รอง ท่านก็ดูถนนหนทางนี่ก่อนสิ ผู้ใดจะมีพละกำลังยิ่งกว่าวัวเทียมเกวียนเช่นท่าน จะรีบเดินไปเพื่อเหตุใด ! ”
“เฮอะเฮอะ ! ต้าฮว๋า อย่าหาข้ออ้างให้ร่างกายที่อ่อนแอของตนเลย รูปร่างเยี่ยงเจ้าในภายภาคหน้าหากสอบได้ขุนนางก็คงเป็นขุนนางที่ผอมแห้งกว่าผู้ใด ข้าขอเตือนด้วยใจจริงเลยว่าวันหน้าถ้ามีเวลาว่างหลังเรียนหนังสือ ในแต่ละวันเจ้าต้องออกกำลังกายให้ถึงครึ่งชั่วยาม มันจะมีประโยชน์ต่อเจ้าไม่น้อย ! ” หลินเว่ยเว่ยให้คำแนะนำ
ใบหน้าขาวเนียนของหลินจื่อเหยียนเริ่มมีสีแดงขึ้นมา จากนั้นน้ำเสียงของเขาก็แฝงไปด้วยความประชดประชัน “รู้สึกว่าท่านรู้มากเสียเหลือเกิน เมื่อก่อนท่านคงมิได้แกล้งบ้าแกล้งโง่เขลาใช่หรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยไม่ได้โกรธน้องชายแต่อย่างใด นางลูบศีรษะของบัณฑิตหนุ่มแล้วกล่าวว่า “ในที่สุดเจ้าก็มีมาดของเด็กหนุ่มอายุสิบสองสิบสามปีเสียที เวลาอยู่ต่อหน้าคนในครอบครัว เจ้าไม่จำเป็นต้องแสร้งทำตัวแข็งแกร่งหรอก เช่นนั้นมันจะไม่เหนื่อยแย่เลยหรือ ! ”
“ท่านเสียสติหรือไร ! เหตุใดต้องมาหาเรื่องให้ข้าด่าท่าน ? ท่านไม่อยากให้ข้าเป็นคนน่าเชื่อถือใช่หรือไม่ ? ได้ ! เช่นนั้นข้าขอบอกท่านด้วยใจจริงเลยว่า ข้า ! เกลียด ! ท่าน ! ในอดีตเกลียดท่านเช่นไรตอนนี้ก็เกลียดเช่นนั้น แถมยังเกลียดมากกว่าเดิมด้วย ! ” หลินจื่อเหยียนเหมือนสุนัขตัวน้อยที่โดนเหยียบหาง แม้ดูดุดันแต่ก็น่ารักและโง่เขลาในเวลาเดียวกัน !
เจ้าหนูน้อยที่เห็นดังนั้นก็เริ่มเบะปาก “พี่สาม พี่รอง พวกท่านอย่าทะเลาะกันเลย”
หลินเว่ยเว่ยหันไปยิ้มให้น้องชายคนเล็ก จากนั้นก็หันไปบอกหลินจื่อเหยียนว่า “ข้ารู้แล้วน่า ! ข้าไม่ใช่เงินตำลึงเสียหน่อยที่จะทำให้ทุกคนหันมาชอบได้ ! ข้าก็แค่อยากเป็นตัวของตัวเองที่สามารถทำสิ่งใดโดยไม่ต้องรู้สึกละอายใจ เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ! ”
หลังกล่าวจบ นางก็ใช้มือเพียงข้างเดียวอุ้มน้องเล็กขึ้นมา จากนั้นก็ใช้มืออีกข้างถือสัมภาระให้หลินจื่อเหยียนแล้วเดินนำเพื่อมุ่งหน้าสู่เขตเมือง ด้านความเร็วของนางช้าลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
เดิมทีหลินจื่อเหยียนเตรียมต่อปากต่อคำกับพี่รอง แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่านอกจากนางจะไม่ถือโทษโกรธเคืองกันแล้วขณะเดียวกันก็ยังช่วยถือสัมภาระโดยไม่บ่นสักคำ สีหน้าของเขาในตอนนี้จึงเหมือนคางคกที่โกรธจนตาโปนแต่ไม่สามารถพ่นพิษออกมาได้ !
เมื่อมีภาระเยี่ยงสัมภาระของหลินจื่อเหยียนเพิ่มขึ้นมา หลินเว่ยเว่ยจึงใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วยามในการมาถึงเขตเริ่นอัน พอมาถึงนางก็เดินตรงไปที่หอจุ้ยเซียนทันที แต่สัมภาระของหลินจื่อเหยียนยังอยู่ในมือนางซึ่งเขาอยากเรียกพี่สาวให้หยุด ทว่าก็อายเกินกว่าจะเอ่ยปากก่อน ดังนั้นเขาจึงยอมเดินตามนางไปด้วย !
ณ หอจุ้ยเซียนยังมีคนต้อนรับคนเดิม หลังจากที่เขาเห็นหลินเว่ยเว่ยแล้วท่าทีก็เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ “น้องหลิน เจ้าเอาของดีมาส่งให้โรงเตี๊ยมของพวกข้าใช่หรือไม่ ? เนื้อหมูป่าที่เจ้าเอามาส่งขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ถึงขั้นที่หลงจู๊หานเอาแต่บ่นไม่ขาดปากว่าเมื่อไรเจ้าจะมาอีก ! ”
หลินเว่ยเว่ยส่งสัมภาระคืนให้น้องสาม จากนั้นก็วางน้องเล็กลงแล้วยื่นตะกร้าไปด้านหน้าพร้อมกล่าวว่า “วันนี้ข้าเอาเนื้อกวางมาขายครึ่งหนึ่ง ไม่ทราบว่าหลงจู๊หานอยู่หรือไม่ ? ”
“อยู่ อยู่สิ ! น้องหลินรอสักประเดี๋ยว ข้าจะไปเรียกหลงจู๊มาให้ ! ” จากนั้นคนต้อนรับก็รีบวิ่งไปชั้นสองเพื่อเชิญหลงจู๊หาน
หลงจู๊หานเดินมาต้อนรับด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “น้องหลิน คาดมิถึงเลยว่าเจ้าจะเอาของมาส่งให้พวกข้าเร็วเพียงนี้ เจ้าช่างรู้ใจกันเสียจริง ! ”
เพราะเสียงเล่าลือว่าที่นี่มีเนื้อหมูป่าขายจึงทำให้กิจการของหอจุ้ยเซียนดีขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว หลังจากที่เจ้าของโรงเตี๊ยมทราบเรื่องก็แสดงท่าทีพึงพอใจออกมา จากนั้นก็ให้หลงจู๊หานผูกสัมพันธ์กับพรานหนุ่มผู้นี้ซึ่งสามารถแบกหมูป่าหนักห้าร้อยกว่าชั่งเอาไว้ ต่อให้อีกฝ่ายขอขึ้นราคาก็ไม่เป็นไร ขอเพียงให้สามารถนำสัตว์ป่ามาขายที่นี่ได้เป็นประจำก็พอ !
ตอนต่อไป