พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – บทที่ 1903 วางแผนมานานแล้ว

บทที่ 1903 วางแผนมานานแล้ว

เหมียวอี้ : ไม่ใช่ว่าข้าเล่นลูกไม้อะไร แต่ตอนนี้ข้ากังวลสุดๆ ว่าท่านปู่สวรรค์จะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้งหรือเปล่า เดินมาถึงขั้นนี้แล้ว ตอนนี้ถือว่าท่านปู่สวรรค์บรรลุเป้าหมายแล้ว ท่านปู่สวรรค์สามารถถอนตัวได้ทุกเมื่อ ถ้าท่านปู่สวรรค์สั่งให้เบื้องล่างหยุดมือขึ้นมา พี่น้องของข้าก็จะไม่มีแม้แต่คนช่วยทำธุระให้ด้วยซ้ำ อาศัยคนแค่ไม่เท่าไร ถ้าคิดจะคุมทั้งตลาดสวรรค์ก็อันตรายมาก ถ้าไม่ระวังนิดเดียวก็จะมีคนฉวยโอกาสปลุกระดมคนที่ตลาดสวรรค์ให้โต้ตอบ ทัพใหญ่แดนอเวจีของข้าก็จะตายหมดทันที!

เซี่ยโห้วลิ่ง : เจ้าวางใจเถอะ เรื่องนี้ยังไม่จบ คนของข้ายังให้ความร่วมมือกับเจ้าอยู่

เหมียวอี้ถามกลับ : ท่านปู่สวรรค์ต้องนึกถึงใจเขาใจเรา ถ้าเปลี่ยนให้ข้าพูดแบบนี้บ้าง ท่านจะวางใจหรือเปล่า?

เซี่ยโห้วลิ่ง : ข้าไม่เชื่อหรอกว่าก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้คาดเดาสถานการณ์ไว้เลย จู่ๆ ตอนนี้ก็มาเอ่ยถึงเรื่องนี้…เจ้าอย่าอ้อมค้อมเลยดีกว่า มีอะไรก็พูดมาตรงๆ

เหมียวอี้ : ก่อนหน้านี้ข้าคาดเดาไว้แล้ว แต่ข้าไม่มีทางเลือก เพราะในมือข้าหากำลังพลที่คอยช่วยเหลือไม่ได้จริงๆ ทำได้เพียงฝากความหวังไว้ที่คำสัญญาอันมีค่าดั่งทองของท่านปู่สวรรค์ ตอนนี้ข้ามีความคิดบางอย่างแล้วจริงๆ หวังว่าท่านปู่สวรรค์จะช่วยให้สมปรารถนา

เซี่ยโห้วลิ่ง : มีความคิดอะไร? ข้าแนะนำว่าอย่ามาเล่นลูกไม้

เหมียวอี้ : เรียกว่าเล่นลูกไม้ไม่ได้หรอก เมื่อครู่ข้าเพิ่งเจอกับอวี้หลิงเจ้าสำนักลมปราณ บังเอิญว่าสำนักลมปราณมีลูกมืออยู่ตามตลาดสวรรค์พอดี ข้าเลยลองขอให้สำนักลมปราณช่วยข้าอีกแรง ไม่ปิดบังท่านปู่สวรรค์นะ ข้ามีความสัมพันธ์อันดีกับกับสำนักลมปราณมาโดยตลอด ตอนนี้ปรมาจารย์ที่บุกเบิกสำนักลมปราณก็ทำงานอยู่ใต้บังคับบัญชาของข้า ดังนั้นใช้งานคนของสำนักลมปราณแล้วข้าวางใจมาก ปัญหาเดียวตอนนี้ก็คือ สำนักลมปราณมีความหวาดระแวง ถึงยังไงตระกูลอิ๋งก็เป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นของร้านขายของชำซื่อตรง ถ้าจะให้พวกเขาเข้าข้างฝ่ายอื่น พวกเขาก็ทำไม่ได้หรอก แล้วข้าก็ไม่สะดวกจะบอกพวกเขาด้วยว่าตระกูลอิ๋งกำลังจะล้มสลาย ดังนั้นจึงอยากขอให้ท่านปู่สวรรค์ช่วย

เซี่ยโห้วลิ่งงุนงงเล็กน้อย ไม่ค่อยเข้าใจว่าหมายความว่าอะไร จึงถามอย่างสงสัยว่า : เจ้าหมายถึง จะให้ข้าช่วยโน้มน้าวให้สำนักลมปราณหายระแวงเหรอ?

เหมียวอี้ : สิ่งนี้อาศัยแค่การโน้มน้าวแล้วไม่ได้ผลเลย ไม่อย่างนั้นแล้ว อาศัยความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับสำนักลมปราณ ข้าโน้มน้าวเองได้ผลกว่าท่านปู่สวรรค์อีก ตอนนี้วิธีการที่จะให้สำนักลมปราณช่วยข้าได้อย่างชอบธรรม ก็คือให้สำนักลมปราณถอนตัวจากร้านขายของชำซื่อตรงชั่วคราว แต่ข้าก็ไม่อาจทิ้งร้านขายของชำโดยไม่สนใจใยดีได้ แต่ถ้าจะให้ผู้ถือหุ้นคนอื่นมาจบการทำธุรกรรมกับร้านขายของชำ ไม่ว่าจะเป็นตระกูลโค่ว ตระกูลก่วงหรือตระกูลฮ่าวก็ไม่มีใครตอบตกลงหรอก คิดไปคิดมาก็มีแค่มาขอให้ท่านปู่สวรรค์ช่วยแล้ว ตระกูลเซี่ยโห้วมีคนอยู่ตามตลาดสวรรค์พอดี ทั้งยังเป็นคนที่ทำการค้าขายจนชำนาญแล้ว ถ้าจะจบธุรกรรมก็สะดวกมาก รอให้แนวโน้มสถานการณ์ผ่านไปแล้ว ตระกูลอิ๋งล่มสลายแล้ว สำนักลมปราณค่อยกลับมาอีกก็ยังไม่สาย

เซี่ยโห้วลิ่ง : เป็นไปไม่ได้

เหมียวอี้ : ดูท่าแล้วคงเป็นอย่างที่ข้าคาดไว้ ท่านปู่สวรรค์เตรียมจะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้งจริงๆ! ตอนนี้ข้าไม่มีทางถอยแล้ว ในเมื่อท่านปู่สวรรค์ไร้คุณธรรมก่อน ก็อย่าโทษว่าข้าไร้ศีลธรรมก็แล้วกัน!

เซี่ยโห้วลิ่งเดือดดาลในใจ ในเวลาแบบนี้ เจ้าเวรนี่ยังมีแววจะอู้งาน ท่านนั้นของวังสวรรค์ยังไม่เริ่มลงมืเลย!

เซี่ยโห้วลิ่งจำเป็นต้องพูดปลอบใจ : ไม่ใช่ว่าข้าไม่ช่วยเจ้า แต่ร้านขายของชำหนีไม่พ้นสำนักลมปราณหรอก ถ้าพวกเขาไปแล้วไม่กลับมา ตอนหลังข้าจะชี้แจงกับผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ ของร้านขายของชำยังไงล่ะ?

เหมียวอี้ : ถ้าพวกเขาไม่กลับร้านขายของชำแล้วยังจะไปไหนได้อีก? ในร้านขายของชำยังมีหุ้นของพวกเขาอีกครึ่งหนึ่งนะ นั่นไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ ตอนนี้สำนักลมปราณมีลูกศิษย์มากขนาดนั้น ถ้าไม่มีช่องทางรายได้จากร้านขายของชำมาสนับสนุน พวกเขาจะเอาอะไรมาเลี้ยงชีพล่ะ? ข้าคงให้ทั้งสำนักลมปราณย้ายเข้ามาอยู่จวนหัวหน้าภาคแดนรัตติกาลไม่ได้หรอกมั้ง ต่อให้ข้าจะตอบตกลง ก็ยังไม่ต้องพูดถึงว่าสำนักลมปราณจะตอบตกลงหรือเปล่า แค่ด่านในที่ประชุมขุนนางก็ไม่ผ่านแล้ว ขอแค่ท่านปู่สวรรค์ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง สำนักลมปราณก็ไม่มีเหตุผลที่จะกลับไป

เซี่ยโห้วลิ่งเริ่มแอบด่าแม่แล้ว เหมียวอี้อ้างสิ่งนี้มาตรวจสอบเขาว่าจะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้งหรือไม่ ตอนนี้สถานการณ์ภาพรวมยังไม่นิ่ง เขาจำเป็นต้องทำให้เหมียวอี้สงบลงก่อน ต่อให้ไม่อยากรับปากก็คงยาก ที่สำคัญคือขู่หนิวโหย่วเต๋อไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเจ้าบ้านี่ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้อีกก็เดิมพันทรัพย์สินในบ้านทั้งหมดไว้แล้ว ไม่ต่างอะไรกับสุนัขบ้าที่โดนบีบให้จนตรอกจนเป็นสุนัขกระโดดกำแพง…

บนตึกศาลา เหมียวอี้ที่นั่งสง่าอยู่บนเก้าอี้เก็บระฆังดารา แล้วพูดกับศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามที่กำลังมองตนอยู่ด้วยรอยยิ้มว่า “เรียบร้อยแล้ว พวกท่านแจ้งให้คนในร้านขายของชำเตรียมตัวได้เลย ตระกูลเซี่ยโห้วจะส่งคนไปรับงานต่อจากร้านขายของชำเดี๋ยวนี้ จะต้องรีบจบการทำธุรกรรมให้ชัดเจน”

จัดการได้เร็วขนาดนี้เชียวเหรอ? ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามมองหน้ากันเลิกลั่กอีกครั้ง พบว่ารวดเร็วดุจเทพเกินไปหน่อย เรื่องใหญ่ขนาดนี้ บทจะจัดการได้ก็จัดการได้เลยเหรอ?

ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามแลกเปลี่ยนความเห็นกันครู่หนึ่ง สุดท้ายเจ้าสำนักอวี้หลิงก็พยักหน้าบอกว่า “ดี ทำตามที่ผู้ตรวจการใหญ่วางแผนไว้แล้วกัน”

เหมียวอี้เตือนว่า “ตอนนี้ทุกอย่างต้องรีบเร่ง ตระกูลเซี่ยโห้วยังไม่รู้บัญชีของร้านขายของชำชัดเจน สิ่งใดที่ตักตวงหรือเอาไปได้ สำนักลมปราณก็ขนไปให้หมด ขอเพียงมีหนังสือจบธุรกรรมชัดเจนแล้ว ถ้าจบเรื่องแล้วมีอะไรเสียหาย ตระกูลเซี่ยโห้วก็ทำได้เพียงฝืนใจยอมรับ”

“…” ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามพูดไม่ออกอย่างถึงที่สุด พบว่าท่านนี้ไม่เหมือนเดิมแล้วจริงๆ ไม่ใช่แค่สู้กับตระกูลอิ๋ง ทั้งยังสู้กับตระกูลก่วงอย่างเปิดเผย แม้แต่ตระกูลเซี่ยโห้วก็กล้าต่อต้าน ท่านนี้ใจกล้าเกินไปแล้ว

หลังจากเจ้าสำนักอวี้หลิงอึ้งไปครู่หนึ่ง ก็โบกมือซ้ำๆ “ไม่ได้ๆ คนทำการค้าถ้าขาดความน่าเชื่อถือไปแม้แต่นิดเดียว วันหลังจะมีที่ยืนได้ยังไง?”

อวี้ซวีกับอวี้เลี่ยนพยักหน้าเงียบๆ สื่อว่าเห็นด้วย

“…” เหมียวอี้ไม่รู้จะพูดอะไรกับสองท่านนี้ดี เจ้าคิดว่าพอเจ้าจบการทำธุรกรรมชัดเจนแล้วคนอื่นจะไม่ว่าเจ้าเหรอ? เดี๋ยวพอจบเรื่องแล้วตระกูลเซี่ยโห้วพบว่าโดนปั่น ต่อให้ฝืนใจยอมรับไปแล้ว แต่ก็จะต้องปล่อยข่าวแน่ว่าสำนักลมปราณแอบฮุบของในร้านขายของชำ เอาเป็นว่าเลิกคิดไปได้เลยว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไรดีๆ สิ่งที่กล่าวหากันลอยๆ เจ้าเองก็หาหลักฐานมาแก้ตัวไม่ได้ แล้วเจ้าก็ทำอะไรตระกูลเซี่ยโห้วไม่ได้ด้วย คิดว่าอีกฝ่ายไม่กล้าสาดโคลนเหรอ? ตระกูลเซี่ยโห้วรวยจนน้ำมันจะไหลออกจากตัวอยู่แล้ว มีโอกาสให้ตักตวงแต่กลับไม่เอา จะทิ้งไปอย่างนี้น่ะเหรอ?

แต่เขาก็เข้าใจคุณธรรมประจำสำนักของสำนักลมปราณเป็นอย่างดี รู้ว่าพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์ ขี้คร้านจะเปลืองคำพูดเช่นกัน จึงตามใจพวกเขาแล้ว

ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนหลังก็คือ ร้านค้าของตระกูลเซี่ยโห้วตามตลาดสวรรค์รีบส่งคนไปจบการทำธุรกรรมของร้านขายของชำซื่อตรง บวกกับคนของสำนักลมปราณที่กระจายอยู่ตามตลาดสวรรค์ก่อนหน้านี้ แต่ละแห่งจึงมีคนหลายสิบคนไปช่วยงานคนของเหมียวอี้…

“ฝ่าบาท ทางตลาดสวรรค์ลงมือแล้ว!”

ในตำหนักดาราจักร ซ่างกวนชิงเก็บระฆังดาราแล้วรีบรายงานต่อประมุขชิงที่นั่งเอนกายงีบอยู่บนเก้าอี้

ประมุขชิงพลันลืมตา นั่งตัวตรงแล้วถามว่า “ยืนยันอีกครั้งว่าพวกโพ่จวินเข้าประจำที่แล้วหรือยัง?”

ซ่างกวนชิงรีบหยิบระฆังดาราออกมาติดต่อ หลังจากนั้นครู่หนึ่งก็รีบรายงานว่า “กำลังพลเข้าประจำที่แล้วขอรับ รอเพียงฝ่าบาทออกคำสั่ง!”

ประมุขชิงใช้สองมือยันโต๊ะยืนขึ้น แล้วแสยะยิ้มบอกว่า “ให้หน่วยตรวจการซ้ายให้ความร่วมมือกับทัพใหญ่ให้ดี บอกพวกเขา ติดต่อเถิงเฟยกับเฉิงไท่เจ๋อ ลงมือ!”

“ขอรับ!” ซ่างกวนชิงเอ่ยรับคำสั่ง แล้วเขย่าระฆังดาราอีกครั้ง

ประมุขชิงเดินอ้อมออกจากโต๊ะยาว แล้วเดินไปเดินมาอย่างรีบเร่งอยู่ในตำหนักดาราจักร

“อะไรนะ?” โค่วหลิงซวีที่นั่งอยู่ในศาลากลางป่าตะโกนถามอย่างตกใจ

ถังเฮ่อเหนียนยืนยันอีกครั้ง “หนิวโหย่วเต๋ออาศัยชื่อราชินีสวรรค์ อาศัยฐานะทูตลาดตระเวนตลาดสวรรค์ปิดล้อมตลาดสวรรค์แต่ละแห่งเอาไว้ ยึดทรัพย์ในร้านค้าของตระกูลอิ๋งที่อยู่ตามตลาดสวรรค์ ร้านค้าของตระกูลอื่นก็ถูกหนิวโหย่วเต๋อรวมคนมาล้อมไว้เช่นกัน สั่งให้คนในร้านเข้าได้แต่ห้ามออก รวมทั้งคนในร้านค้าของพวกเราด้วย ใครขัดคำสั่งจะถูกลงโทษขอรับ!”

โค่วเจิงส่ายหน้าด้วยความตกใจ “เจ้าเวรนี่บ้าไปแล้วจริงๆ!”

“ไม่ดีแล้ว!” โค่วหลิงซวีที่กำลังครุ่นคิดพลันยืนขึ้น แล้วกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปมาก “ตลาดสวรรค์คือช่องทางรายได้ที่ใหญ่ที่สุดของแต่ละตระกูล อิ๋งจิ่วกวงจะทนรับความเสียหายนี้ได้ยังไง พอรู้ข่าวแล้วจะต้องส่งทหารไปแน่นอน เดิมทีทัพตะวันออกก็จิตใจว้าวุ่นอยู่แล้ว ถ้ารู้ข่าวความเคลื่อนไหวที่ตลาดสวรรค์อีก จะให้กำลังพลเบื้องล่างคิดยังไง? มีข่าวลือมาก่อน กำลังพลเบื้องล่างจะคิดว่าท่านนั้นของวังสวรรค์ลงมือกับอิ๋งจิ่วกวงแล้ว เดิมทีขวัญกำลังใจทหารก็ไม่มั่นคง ถ้าเผชิญความกดดันเรื่องทำศึกกับกองทัพองครักษ์อีก จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของทัพตะวันออกจะเหลืออยู่สักเท่าไร? สิ่งที่ยุ่งยากที่สุดตอนนี้ก็คือ ถ้าประมุขชิงรู้เรื่องนี้ แล้วจะอดใจไม่ลงมือไหวเหรอ? เซี่ยโห้วลิ่งช่างเจ้าเล่ห์เพทุบาย เลื่อนแผนการมาจนถึงตอนนี้ เพราะต้องการจะยืมดาบฆ่าคน!”

จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าว

ฮ่าวเต๋อฟางกำลังนั่งอยู่ในศาลา พอได้ยินข่าวก็ลุกพรวดเช่นกัน ถามเสียงต่ำว่า “บัญชาการกำลังพลในตลาดสวรรค์ไม่ได้เหรอ?”

ซูอวิ้นส่ายหน้า “ติดต่อกำลังพลที่อยู่ระดับล่างสุดของตลาดสวรรค์ไม่ได้เลย คาดว่าคงเข้าสู่สภาวพสงครามแล้ว ถูกควบคุมการใช้ระฆังดารา ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ หนิวโหย่วเต๋อใช้ชื่อราชินีสวรรค์มาขู่ให้พวกพ่อค้ากลุ่มใหญ่ควบคุมคนของเราไม่ให้เคลื่อนไหว!”

เดิมทีสี่ทัพจะให้กำลังพลที่ตลาดสวรรค์ไปควบคุมร้านค้าของตระกูลเซี่ยโห้วไว้ แต่ใครจะคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์ตรงกันข้าม กลับเป็นร้านค้าของตระกูลอิ๋งที่ถูกยึดทรัพย์ไปหมด ร้านค้าของแต่ละตระกูลถูกควบคุมไว้ เรื่องแบบนี้ถ้าใครได้เป็นฝ่ายรุก คนนั้นก็จะมีสิทธิ์ในการพูด ตอนนี้เหมียวอี้ควบคุมสถานการณ์ได้ก่อนและประกาศคำสั่งของราชินีสวรรค์แล้ว หลักการเดียวกัน ถ้าสี่ทัพได้อำนาจฝ่ายรุกที่ตลาดสวรรค์ไปเมื่อไร คำสั่งของราชินีสวรรค์ก็จะเข้ามาที่ตลาดสวรรค์ไม่ได้เลย ไม่มีทางกระจายที่ตลาดสวรรค์ด้วย!

“เฮ้อ!” ฮ่าวเต๋อฟางกำหมัดทุบเสา แล้วกล่าวอย่างปวดใจว่า “วางแผนมานานแล้ว! เซี่ยโห้วลิ่งวางแผนมานานแล้ว! พวกเขาเตรียมตัวมาอย่างดี รอให้พวกเราวางกำลังเมื่อเรื่องจวนตัว มันก็สายไปแล้ว สายไปเสียแล้ว!”

“ตอนนี้ต้องติดต่อกับคนระดับบนของตลาดสวรรค์แต่ละแห้ง ส่งคนไปที่ตลาดสวรรค์เดี๋ยวนี้ ดูว่ายังจะแย่งอำนาจในการควบคุมกลับมาได้หรือเปล่า” ซูอวิ้นกล่าว

ฮ่าวเต๋อฟางบอกว่า “ตอนนี้ให้คนระดับบนของตลาดสวรรค์ออกหน้าก็ไม่มีประโยชน์ พวกเขากดดันกำลังพลที่ตลาดสวรรค์ไม่ได้เลย แต่คำสั่งของเซี่ยโห้วเฉิงอวี่กลับกดดันพวกเขาได้ มิหนำซ้ำตอนนี้ตลาดสวรรค์ก็อยู่ในการควบคุมของพวกเขาแล้ว จะให้โจมตีเมืองเชียวเหรอ? ไม่ได้การแล้ว! ต้องเตรียมตัวโจมตีเมือง ถ้าประมุขชิงมีเจตนาไม่ซื่อจริงๆ งั้นพวกเราก็ไม่มีอะไรต้องพะวง ถึงตอนนั้นสั่งให้ทัพใหญ่โจมตีเมืองทันที!”

เขาพลันหันตัวมา ชี้ซูอวิ้นพร้อมออกคำสั่ง “ไม่ใช่แค่คนระดับบนของตลาดสวรรค์ที่ต้องรีบไป ระดมทัพใหญ่ที่อยู่แถวนั้นด้วย หลังจากกำลังพลไปถึงแล้วก็ให้ล้อมเมืองทันที นอกจากนี้ ให้คนในวังหลังเคลื่อนไหวได้เลย รวมตัวกันฟ้องตำหนักนารีสวรรค์ ขอร้องให้ประมุขชิงลงโทษเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ กดดันประมุขชิง ต้องทดสอบท่าทีประมุขชิงด้วย ถ่ายทอดเจตนารมณ์ของของไปให้ตระกูลอื่นๆ ทันที ต้องรีบปฏิบัติการ!”

จวนอ๋องสวรรค์ก่วง

ก่วงลิ่งกงที่อยู่ในห้องหนังสือเดินไปเดินมาไม่หยุด ปากก็พูดไม่หยุดเช่นกัน “ดูท่าแล้ว คงจะต้องแจ้งให้ตระกูลที่เหลือรู้ ปิดประตูดวงดาวทางเข้าออกทั้งหมดในใต้หล้า ให้กำลังพลที่จะไปช่วยเสริมอานุภาพให้อิ๋งจิ่วกวงเร่งเดินทัพ! แล้วก็ฝั่งอิ๋งจิ่วกวงด้วย ให้กำลังพลของเขารีบไปรวมตัวกันเดี๋ยวนี้ เข้าสู่สภาวะเตรียมรับศึกทั่วทุกด้าน!”

……………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา!

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’

เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น

เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง

ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง!

หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน

แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด

ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท