ตอนที่ 29 คางคกหมายจะกินเนื้อห่านฟ้า
“ใช่ว่าข้าจะพาพวกท่านไปมิได้ ! ” หลินเว่ยเว่ยกล่าวเช่นนี้ออกมา พอเห็นว่ามารดาเจ้าอ้วนซานและชาวบ้านที่มาด้วยกันแสดงสีหน้าดีใจ มุมปากของนางก็ยิ้มกริ่มแล้วกล่าวต่อ “แต่ข้าต้องขอพูดคำไม่เป็นมงคลเสียหน่อย ! บนภูเขามีสัตว์ร้ายมากมาย ขนาดวันนี้ข้ากับลุงหวังยังเจอเข้ากับหมีควายตัวใหญ่ ! หากพวกท่านขึ้นไปบนภูเขากับข้า ข้าไม่สามารถสร้างความปลอดภัยให้พวกท่านได้ทุกคน! หากมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น พวกท่านห้ามโยนความผิดมาที่ข้าเด็ดขาด ! ”
“พวกข้าจะทำเช่นนั้นได้อย่างไร ? เจ้าแค่พาพวกเขาขึ้นไปบนภูเขาแล้วเจ้าก็ออกล่าสัตว์เช่นเคยได้เลย ผู้อื่นไม่มีทางเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเจ้าแน่นอน ! ” เดิมทีมารดาของเจ้าอ้วนซานมิได้ใส่ใจคำพูดของอีกฝ่ายมากนักเพราะถ้าเจ้าเด็กโง่ไปเจอหมีควายเข้าจริง แล้วนางจะมีชีวิตรอดกลับมาได้เช่นไร ?
ตามความคิดของมารดาเจ้าอ้วนซานคือคำกล่าวพวกนี้คงเป็นเพียงคำที่บุตรสาวคนรองตระกูลหลินใช้ข่มขู่ คงเป็นเพียงคำกล่าวอ้างที่อยากให้พวกเขารู้สึกหวาดกลัวจนไม่กล้าขึ้นไป บัดนี้ความละโมบในเนื้อชิ้นโตและเงินตำลึงได้เข้าครอบงำจิตใจมารดาเจ้าอ้วนซานไปหมดแล้ว !
ส่วนผู้อื่นก็ไม่ได้สนใจเท่าไรนัก เนื่องจากก่อนหน้านี้บุตรสาวคนรองของตระกูลหลินและพรานหวังก็ขึ้นไปบนภูเขาแค่สองคน แต่ทั้งคู่ยังสามารถกลับลงมาได้อย่างปลอดภัย พวกเขาที่เป็นชายชาตรีรูปร่างกำยำนับสิบคนเช่นนี้น่าจะทำให้สัตว์ป่าหวาดกลัวได้บ้าง ฉะนั้นยังมีสิ่งใดให้ต้องกลัวอีก ?
“ข้าเองก็ไม่อยากทำคุณบูชาโทษ แค่ลมปากอย่างเดียวคงไม่สามารถรับประกันสิ่งใดได้ ฉะนั้นพวกเรามาร่างข้อตกลงกันเถิด ข้อตกลงแรกคือพวกท่านยินยอมพร้อมใจติดตามหลินเว่ยเว่ยซึ่งก็คือข้าขึ้นไปบนภูเขาโดยที่พวกท่านจะรับผิดชอบความเป็นความตายของตนเอง ! จากนั้นพวกเราก็ประทับลายนิ้วมือเพื่อยืนยัน หากพวกท่านยอมรับข้อตกลงนี้ พรุ่งนี้เช้าพวกเราค่อยขึ้นไปบนภูเขาด้วยกัน ! ” หลินเว่ยเว่ยได้สร้างข้อตกลงนี้ขึ้นมาเพื่อไม่ให้พวกเขาได้มีโอกาสพลิกลิ้นทีหลัง
บิดาของพวกนางเป็นคนตั้งชื่อให้บุตรสาวทั้งสองด้วยตนเอง โดยบุตรสาวคนโตมีชื่อว่าหลินเฉียงเอ๋อร์ ส่วนบุตรสาวคนรองมีชื่อว่าหลินเว่ยเอ๋อร์ ซึ่งคำว่า เฉียง และ เว่ย เมื่อนำมารวมกันจะมีความหมายว่าดอกกุหลาบ เนื่องจากบิดาคาดหวังว่าบุตรสาวทั้งสองจะเติบโตอย่างอิสระและเบ่งบานอย่างงดงามเช่นเดียวกับดอกกุหลาบ ส่วนชื่อของนางเพราะว่ามีตัว เอ๋อร์ ที่พอรวมกันแล้วเหมือนคำว่า ฉ่าหนี่เอ๋อร์ ที่แปลว่าคนโง่เขลา ทำให้ชาวบ้านชอบเรียกนางว่า เจ้าเด็กโง่ นางจึงตัดคำว่า เอ๋อร์ ทิ้งแล้วตั้งชื่อตนขึ้นมาใหม่เป็นหลินเว่ยเว่ย ชาวบ้านจะได้ไม่ต้องเรียกนางว่าเด็กโง่อีกต่อไป !
คนกลุ่มนั้นแอบไปปรึกษาหารือเป็นการส่วนตัวอยู่ครู่หนึ่ง กระนั้นก็ยังมีคนขี้ขลาดตาขาวอยากถอย แต่พวกเขาต้องตกใจเมื่อมารดาของเจ้าอ้วนซานตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ สุดท้ายพวกเขาก็ต้องยอมกัดฟันทำข้อตกลงกับหลินเว่ยเว่ย
“พวกท่านรอข้าอยู่ตรงนี้สักประเดี๋ยว ! ” หลินเว่ยเว่ยไปยกชามขนาดใหญ่มาจากในครัว จากนั้นนางก็หันไปขยิบตาให้น้องชายคนเล็ก ส่วนตนก็เดินออกไปบ้านข้าง ๆ
พี่สาวคนโตแอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่เงียบ ๆ นับตั้งแต่ที่เจ้าเด็กคนนี้ไม่โง่แล้วก็เอาแต่รีบแจ้นนำของดีไปมอบให้บ้านใกล้เรือนเคียง เมื่อวานก็น้ำแกงไก่ มาวันนี้ก็เป็นเนื้อไก่ป่า หรือว่านางจะถูกใจบุตรชายของน้าเฝิง ?
เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็หัวเราะเยาะอยู่ในใจ ไม่รู้จักประมาณตนเอาเสียเลย บุตรชายของน้าเฝิงรูปงามเพียงใดก็น่าจะรู้ดี ทุกครั้งที่กลับมาจากในเมืองก็มักมีสตรีในหมู่บ้านแวะเวียนไปชายตามองเขาตลอดเวลา แม้แต่บุตรสาวคนเล็กของตระกูลเซินในหมู่บ้านถัดไปยังแอบหลงรักเจียงโม่หาน ถึงขั้นที่หาคนมาคุยกับน้าเฝิงแล้วด้วย
ทว่าเจ้าเป็นเพียงสตรีผู้โง่เขลา แถมยังอ้วนราวกับหมี ใบหน้าของเจ้าใหญ่กว่าใบหน้าของเขาเป็นสองเท่าและเอวก็ใหญ่เหมือนถังน้ำ คิดว่าเขาจะชอบเจ้าหรือ ? โดยนิสัยของเจียงโม่หานแล้ว ไม่ไล่ตะเพิดเจ้าออกมาก็ถือว่าไว้หน้ามากพอ ! เจ้าเป็นเพียงคางคกที่หมายจะกินเนื้อห่านฟ้า !
หลินเฉียงเอ๋อร์รู้สึกหึงหวงอยู่ภายในใจ นางเคยพบเจียงโม่หานที่หน้าหมู่บ้านอยู่หลายครา ตอนนั้นนางเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายเขาก่อน แต่เขาไม่ชายตามองนางสักครั้ง
หลินเฉียงเอ๋อร์คิดว่าหน้าตาของตนก็พอไปวัดไปวาได้ ไม่ว่าเป็นคิ้วทรงก้านหลิว ดวงตาที่คมสวยและริมฝีปากเล็กน่ารัก ขนาดนางมีหน้าตาที่งดงามเพียงนี้เจียงโม่หานยังไม่สนใจเลย นับประสาอันใดกับคนที่ทั้งอ้วนและโง่เขลาเช่นน้องสาว ?
“พี่ใหญ่ ท่านคอยจับตาดูตรงประตูห้องโถงหลักแล้วกัน ส่วนข้าจะไปยืนเฝ้าประตูครัวเอาไว้เอง ! ” เจ้าหนูน้อยยังจำภาพที่มารดาของเจ้าอ้วนซานพาผู้อื่นบุกมาก่อความวุ่นวายที่บ้านได้อย่างชัดเจน ด้วยความไม่ไว้ใจ เขาจึงอาสานั่งเฝ้าอยู่ตรงประตูห้องครัว เพราะในครัวนอกจากมีธัญพืชและเส้นหมี่ชั้นดีแล้วยังมีกระต่ายป่าอีกหนึ่งตัวที่พี่รองเพิ่งเอากลับมา จะให้คนพวกนั้นถือวิสาสะเอาไปเป็นของตนมิได้เด็ดขาด !
หลินเว่ยเว่ยเดินตรงไปยังบ้านข้าง ๆ ขณะเดียวกันก็กำลังคิดว่าจะใช้ข้ออ้างใดในการนำน้ำแกงไก่ป่ามามอบให้บัณฑิตผู้นี้ ?
“น้าเฝิง ข้ามาหาท่านอีกแล้ว ! ” หลินเว่ยเว่ยที่เพิ่งเดินเข้าบ้านก็ส่งเสียงเรียกหานางเฝิงแล้ว
เจียงโม่หานที่กำลังฝึกคัดตัวอักษรอยู่ริมหน้าต่างได้เงยหน้าขึ้น ดวงตาสุกสกาวคล้ายมีดวงดาวเป็นประกายระยิบระยับอยู่ภายในได้ทอดมองนางด้วยความเรียบเฉย เหมือนกำลังบอกว่าเจ้าเองก็รู้จักคำว่า ‘อีกแล้ว เช่นกันหรือ ?
“โม่หาน เจ้ากำลังเขียนตัวอักษรอยู่ใช่หรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยยกชามเข้ามาในบ้าน จากนั้นก็วางไว้อีกด้านหนึ่งของบัณฑิตหนุ่ม
เจียงโม่หานคิดในใจ ‘ข้าสนิทกับเจ้าถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? โม่หาน เป็นชื่อที่เจ้าควรเรียกอย่างสนิทสนมเช่นนี้หรือ ? ไม่นึกบ้างหรือว่าตนเป็นคนนอก ? ’
“เจ้าเขียนตัวอักษรสวยมาก ! ” หลินเว่ยเว่ยชมออกมาด้วยใจจริง ตัวอักษรที่เขาเขียนดูชำนาญเป็นอย่างยิ่ง ด้วยน้ำหนักเส้นที่พอดีและการตวัดอันเฉียบคม ทำให้ตัวอักษรเหล่านี้ดูแข็งแกร่งมาก แม้แต่นางที่ไร้ความรู้เรื่องการเขียนอักษรยังมองออกถึงความไม่ธรรมดา !
เจียงโม่หานชำเลืองมองพลางคิดในใจว่า ‘เจ้าอ่านออกหรือไร ? ’
“แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้ากำลังเขียนอันใดอยู่ แต่ข้าคิดว่ามันสวยมาก ! ” หลินเว่ยเว่ยหัวเราะอย่างขัดเขิน เจียงโม่หานที่ได้ยินเช่นนั้นก็เกิดความรู้สึกสงสัยทันที นางรู้ได้อย่างไรว่าข้ากำลังคิดอันใดอยู่ ? หรือนางเพียงกล่าวออกมาเช่นนั้นเอง ?
“มีธุระอันใด ? ” ยามบาดเจ็บสาหัสก็ได้นางช่วยไว้ ไหนจะน้ำแกงไก่ที่นางนำมามอบให้ดื่ม นี่ยังไม่รวมเนื้อกวางที่นางแบ่งมาให้เมื่อคราวก่อน หากนางต้องการความช่วยเหลือ เขาที่เป็นสุภาพบุรุษจะปฏิเสธได้เช่นไร
“ช่วยข้าเขียนหนังสือสัญญาสักฉบับได้หรือไม่ จากนั้นก็ช่วยเป็นพยานให้ข้าด้วย ! ” หลินเว่ยเว่ยอธิบายเนื้อความของข้อตกลงให้เขาฟัง เพราะเขาเรียนหนังสือมานานหลายปีจนใกล้ได้สอบเป็นซิ่วไฉแล้ว ย่อมรู้หนังสือเป็นธรรมดา “ไม่ต้องเป็นทางการมากหรอก ใช้ภาษาธรรมดาที่ชาวบ้านพอเข้าใจก็ได้”
เจียงโม่หานเขียนเนื้อหาตามที่นางต้องการอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้เขายังลงชื่อเป็นพยานตรงท้ายสัญญาให้นางด้วย หลินเว่ยเว่ยอ่านออกบ้างไม่ออกบ้าง แต่ก็พอเข้าใจภาพรวมของหนังสือสัญญาฉบับนี้ได้ นางจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขาเขียนข้อตกลงให้นางด้วยข้อความที่เข้มงวด รัดกุมและเข้าใจง่าย มิเลวเลย !
เจียงโม่หานปรายตามองนางด้วยความเฉยชา ‘เหตุใดถึงพยักหน้า ? ทำราวกับว่าเจ้าอ่านมันออก ! ’
หลินเว่ยเว่ยยกแท่งหมึกของเขาไปด้วย “ข้าขอยืมแท่งหมึกของเจ้าหน่อย ประเดี๋ยวจะนำมาคืน ! ”
เจียงโม่หานคิดในใจ ‘ข้าอนุญาตให้เจ้าใช้แล้วหรือ ? เฮอะ เจ้านี่มันหน้าหนาเสียจริง ! ’
หลังได้แท่งหมึกมาแล้ว นางก็รีบกลับมาที่บ้านแล้วอธิบายเนื้อหาของข้อตกลงให้ทุกคนฟังอีกครั้ง “หากพวกท่านยอมรับข้อตกลงนี้ได้ก็มาประทับลายนิ้วมือในหนังสือสัญญาฉบับนี้ ! ข้าได้ขอให้บัณฑิตหนุ่มบุตรชายของน้าเฝิงช่วยเป็นพยานให้แล้ว ข้าจะขอเน้นย้ำเรื่องข้อตกลงกับพวกท่านอีกรอบ หากขึ้นไปบนภูเขาแล้วพบเจอสัตว์ป่าดุร้ายและมีใครเป็นอันใดขึ้นมา ข้าจะไม่รับผิดชอบทุกกรณี หากในภายหลังมีใครต้องการก่อความวุ่นวายหรือหาเรื่องข้าอีก ถึงตอนนั้นก็ให้ไปคุยกันที่ศาลาว่าการ ! นี่คือข้อตกลงของข้า ตัวพยานบุคคลข้าก็มีแล้วคือบัณฑิตหนุ่มข้างบ้านนี่เอง ! พวกท่านพิจารณาให้ดีอีกรอบแล้วกัน ! ! ”
เสียงของนางนั้นเจียงโม่หานที่อยู่บ้านถัดไปจะไม่ได้ยินเชียวหรือ เมื่อได้ยินเช่นนั้นเขาถึงขั้นกล่าวสิ่งใดไม่ออกไปชั่วขณะ
หลังส่งทุกคนกลับไปแล้ว หลินเว่ยเว่ยจึงเก็บหนังสือสัญญาที่ชาวบ้านลงนามเอาไว้และเข้าไปคุยกับนางหวงในห้อง พอเอ่ยให้นางหวงคลายความกังวลแล้วก็กลับไปพักผ่อนที่ห้องของตน
เมื่อกลับถึงห้อง นางได้แอบเข้าไปในมิติน้ำพุวิญญาณแล้วนำเมล็ดข้าวสาลีรวมถึงเมล็ดข้าวโพดที่เหลือจากแปลงนามาปลูกไว้ในพื้นที่ขนาดใหญ่ภายในมิตินี้ จากนั้นก็รดน้ำให้มัน และด้วยความเหนื่อยล้า นางจึงนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียงจนหลับไป
วันต่อมา นางหวงลงจากเตียงมาเตรียมอาหารและแป้งทอดตั้งแต่เช้ามืด พอเห็นว่าบุตรสาวคนรองทานอิ่มแล้วจึงให้นำติดตัวขึ้นไปทานบนเขาด้วยอีกสองชิ้น เพราะการขึ้นไปล่าสัตว์ต้องใช้พละกำลังมาก มันจะทำให้หิวได้ง่าย ! นอกจากนี้ด้วยความเป็นห่วง นางหวงจึงไม่ลืมกำชับว่าไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าความปลอดภัยของตนแล้ว
หลินเว่ยเว่ยรับปากมารดาเป็นมั่นเป็นเหมาะ จากนั้นไปรวมกลุ่มกับคนอีกสิบกว่าคนแล้วเดินขึ้นไปบนภูเขาอย่างฮึกเหิม เช้าตรู่วันนี้พรานหวังไปส่งเนื้อสัตว์ป่าที่ล่ามาได้เมื่อวานให้แก่โรงเตี๊ยมในเมืองจึงไม่ได้ขึ้นเขาด้วย
ตอนต่อไป