ตอนที่ 108 ลูกผู้ชายยืดได้ก็หดได้
เดิมทีซอสเนื้อหนึ่งโถสามารถกินได้สิบวันหรือครึ่งเดือน แต่ตอนนี้โดนสหายที่ทำตัวราวกับฝูงหมาป่าหิวโหยรุมกินจนท้ายที่สุดผ่านไปไม่ถึงสามวันก็หลงเหลืออยู่ที่ก้นโถแล้ว
สหายไม่กี่คนของหลินจื่อเหยียนหวังอยากเจอพี่รองมากกว่าตัวเขาเสียด้วยซ้ำ แต่ละคนเอ่ยปากเรียก ‘พี่รองของพวกเรา’ ไม่มีผู้ใดคิดว่าตนเป็นคนนอกแม้แต่คนเดียว ช่างไม่ดูตัวเองบ้างเลยว่าแต่ละคนอายุมากกว่าพี่รองเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้จักอายบ้างเลย !
หลังจากที่น้องสามได้พี่รองเป็นคนบำรุงแล้ว แม้ไม่ได้ดูอวบอ้วนแต่ก็ดูมีสัดมีส่วนขึ้นมา บัดนี้ตัวเขาสูงเกือบ 1.7 หมี่ ซึ่งใกล้จะเทียบเคียงกับหลินเว่ยเว่ยได้แล้ว !
เจ้าหนูน้อยยกมือของหลินจื่อเหยียนที่หยิกแก้มตนออกแล้วทำแก้มป่อง “พี่รองเอ่ยแล้วว่าเด็กน้อยตัวอ้วนหน่อยไม่เป็นไร เพราะยิ่งป่วยน้อยยิ่งดี ! พี่รองใช้มือแค่ข้างเดียวก็อุ้มข้าได้แล้ว พี่สามอ่อนแอเกินไป ! ”
“เฮ้ ! เก่งแล้วหรือ ? กล้าต่อปากต่อคำแล้วใช่หรือไม่ ? ” หลินจื่อเหยียนลูบศีรษะของน้องชาย ทำให้เส้นผมของเจ้าหนูน้อยยุ่งเหยิงไปหมด
เจ้าหนูน้อยจึงรีบเดินหนี จากนั้นก็ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของพี่รองพร้อมยื่นหน้าออกมาแลบลิ้นให้พี่สาม “พี่รองกล่าวว่าหากญาติทำพฤติกรรมหรือพูดผิดไป เราต้องบอกให้เขารู้ เพราะไม่อย่างนั้นจะทำผิดซ้ำจนลุกลามกลายเป็นความผิดที่ไม่อาจแก้ได้ ! ”
“สิ่งใดก็พี่รองเอ่ยไปเสียหมด เจ้าเด็กนี่กล้านำขนไก่มาทำลูกศร1แล้วใช่หรือไม่ ! ” หลังจากนั้นหลินจื่อเหยียนก็รับฟืนในมือพี่รองมาถือไว้แล้วนำเข้าไปในบ้านด้วยความยากลำบาก
เจ้าหนูน้อยกลับฉีกยิ้มหน้าบานแล้วย้อนถามว่า “พี่สาม ท่านไม่คิดว่าพี่รองพูดถูกหรอกหรือ ? ”
หลินจื่อเหยียนเหลือบมองน้องชาย “เก่งนักนะ คิดวางกับดักข้าใช่หรือไม่ ? สิ่งที่พี่รองพูดก็ต้องถูกอยู่แล้ว เจ้ากล้าสงสัยในตัวพี่รองได้อย่างไร ? พี่รองรักเจ้าถึงเพียงนี้ เลี้ยงเจ้าให้โตมาตัวอวบอ้วนอย่างเปล่าประโยชน์ ! ”
“ข้าไม่ได้อ้วนเสียหน่อย ! พี่รองบอกแล้วว่าซาลาเปาขาว ๆ นิ่ม ๆ เยี่ยงข้าน่ารักจะตาย ! ท่านเป็นเหมือนพี่โม่หานที่ผอมเกินไป ! กินแต่ไม่โต เสียของหมด ! ” เจ้าหนูน้อยกระโดดพร้อมเถียงไม่หยุด
“หืม ? นี่ก็เป็นคำพูดของพี่รองอีกหรือ ? ” เจียงโม่หานกวาดสายตามองหลินเว่ยเว่ย จากนั้นก็หันมามองเจ้าหนูน้อยแล้วถามเบา ๆ
เจ้าหนูน้อยมองหลินเว่ยเว่ยราวกับตนได้ทำบางอย่างผิดไป เขาจึงรีบตอบกลับเสียงอ่อน “ไม่ใช่ ! ข้าเป็นคนพูดเอง…”
“เช่นนั้น…พี่รองของเจ้าพูดอย่างไรจึงทำให้เจ้าเข้าใจผิดเช่นนี้ ? ” เจียงโม่หานย้อนถามอีกครา
เจ้าหนูน้อยที่เอาตัวรอดเก่งจึงตอบว่า “พี่รองไม่ได้กล่าวอันใดเลย พี่รองชมว่าพี่โม่หานรูปงามแถมยังรู้หนังสือและจิตใจดี…”
“สรุปคือไม่ได้กล่าวอันใดแต่ยังชมข้าด้วยหรือ ? เด็กน้อยไม่ควรโกหก” เจียงโม่หานย่อตัวลงแล้วจ้องมองเจ้าหนูน้อย
เจ้าหนูน้อยลูบจมูกตนเอง เขาไม่อยากเป็น ‘พินอคคิโอ’ ในนิทานของพี่รองจึงหันไปมองขอความช่วยเหลือจากหลินเว่ยเว่ย
ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็นำฟืนที่อยู่อีกมือโยนให้เจียงโม่หานแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “บัณฑิตน้อย เจ้าก็อายุมากถึงเพียงนี้แล้ว เอาชนะเด็กอายุหกขวบได้มันน่าภาคภูมิใจมากเลยหรือ ? เอ้อร์หวาไม่ต้องกลัว เจ้ากินเสียของแล้วจะทำไม ? ข้ามีเนื้อ ผักและข้าวคอยบำรุงเยอะขนาดนั้น ถ้าทำให้เจ้าดูโตขึ้นไม่ได้แม้แต่น้อย หากไม่เรียกเสียของแล้วจะเรียกว่าอย่างไร ? ถ้ายังรังแกน้องข้าอีก ต่อไปเจ้าก็กินหมั่นโถวกับผักดองทั้งสามมื้อแล้วกัน ! ”
ในที่สุดเจียงโม่หานก็เข้าใจแล้วว่าสิ่งใดเรียก ‘กินของผู้อื่นแล้วปากอ่อน2’ หากเปลี่ยนเป็นเจียงโม่หานที่มีอายุ 15 ปีในอดีตชาติ หลังถูกผู้อื่นต่อว่าเช่นนี้ก็ต้องโมโหจนสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปแล้ว ต่อไปจะเชิญเขากลับมารับประทานอาหาร เขาก็ไม่มีทางเข้าร่วมแน่นอน !
ทว่าลูกผู้ชายยืดได้ก็หดได้3! เมื่ออยู่ใต้ชายคาเดียวกัน ท้ายที่สุดต้องก้มหัวไม่ใช่หรือไร ! มีเพียงสตรีและคนต่ำทรามเท่านั้นที่เลี้ยงยาก4! เจียงโม่หานท่องประโยคนี้ในใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายเขาก็ไม่คิดจะเอาเรื่องกับนางตัวแสบ เขาจึงถือฟืนกองนั้นเข้าบ้านตระกูลหลินโดยทำเหมือนเมื่อครู่ไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น
ขณะที่หลินเว่ยเว่ยพูด หลินจื่อเหยียนก็คอยดึงชายเสื้อนางอย่างต่อเนื่องเพราะเขากังวลว่าเจียงโม่หานจะอายจนโมโห แต่คาดไม่ถึงว่าเจียงโม่หานที่ดูหยิ่งยโสมาโดยตลอด หลังได้ยินถ้อยคำที่ไม่รื่นหูของพี่รองแล้วจะทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น…ศิษย์พี่เจียงเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน !
“พี่สาม พี่สามไม่ต้องคิดมากหรอก พี่รองกับพี่โม่หานเถียงกันบ่อยครั้ง พวกเราชินกันแล้ว ! พี่สามจะอยู่ที่บ้านอีกกี่วัน ? พี่รองต้องทำของอร่อยให้ท่านกินเยอะ ๆ แน่นอน รสชาติวิเศษมากเลย ! ”
เจ้าหนูน้อยคำนวณในใจ พี่สามไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ดังนั้นพี่รองจะต้องทำของอร่อยให้กินแน่นอน และเมื่อถึงเวลานั้นเขาก็อาศัยความอายุน้อยคอยออดอ้อนพี่รองจนได้กินไปด้วย
หลินจื่อเหยียนเดาความคิดของน้องชายออก ทว่าไม่ได้เปิดโปงแต่อย่างใด เพียงบีบใบหน้าอ้วนกลมแล้วตอบพร้อมรอยยิ้ม “ข้าได้ยินว่ามีหมาป่าเข้ามาที่หมู่บ้าน ส่วนบ้านเราอยู่ใกล้ทางเข้าหมู่บ้านที่สุด ด้านหลังยังติดกับภูเขา แถมที่บ้านยังไม่มีผู้ชายอยู่ด้วย แล้วข้าจะวางใจได้อย่างไร ? ข้าจึงขอลาหยุดกับสำนักศึกษาจนถึงช่วงฤดูเก็บเกี่ยวของฤดูใบไม้ร่วง ดังนั้นจึงมีเวลาอยู่บ้านเกือบยี่สิบวัน ! ”
ระหว่างสนทนากันทั้งสามพี่น้องก็เดินเข้าบ้าน แต่หลังจากที่นางหวงได้ยินก็รู้สึกกังวลขึ้นมา “ขอลาหยุดนานถึงเพียงนั้นจะไม่ทำให้เจ้าเสียเวลาเรียนหรือ ? ตั้งใจเรียนให้ดี ไม่ต้องนึกถึงเรื่องอื่นหรอก แม้คืนนั้นฝูงหมาป่าจะหอนกันดังระงมแต่ก็ไม่มีผู้ใดในหมู่บ้านได้รับบาดเจ็บ แล้วก็อีกอย่างถ้ามีฝูงหมาป่าเข้ามาในหมู่บ้าน เจ้าก็ช่วยอันใดไม่ได้…”
“ท่านแม่ขอรับ ท่านรังเกียจข้าใช่หรือไม่ ? บุตรชายของท่านแม้แต่วันหยุดก็ยังไม่กลับมา แล้วท่านไม่คิดถึงบ้างหรือ ? ” หลินจื่อเหยียนเอามือจับหน้าอกแล้วทำท่าทางคล้ายกำลังปวดใจ…ประมาณว่าถ้าไม่มีของอร่อยก็รักษาอาการนี้ไม่ได้ !
นางหวงกลอกตาใส่บุตรชาย “คนเป็นแม่จะรังเกียจบุตรได้อย่างไร แม่เพียงกังวลเรื่องการเรียนของเจ้า ! ”
ตั้งแต่สถานการณ์ของครอบครัวดีขึ้น มีกินมีดื่มไม่ขาด บุตรชายคนโตที่เคยเงียบขรึมและมีชีวิตมืดมนก็กลับมามีชีวิตชีวาเช่นคนในวัยที่ควรจะเป็น ช่างดีเหลือเกิน !
หลินจื่อเหยียนฉีกยิ้มเห็นฟันขาว “ท่านแม่ขอรับ ท่านวางใจได้ ! ท่านอาจารย์ฟ่านได้กล่าวแล้วว่าด้วยระดับของข้าในตอนนี้ การสอบถงเซิงไม่ใช่ปัญหา ทว่า…ถ้าเป็นการสอบซิ่วไฉยังห่างอยู่อีกขั้น”
นางหวงไม่อยากให้บุตรชายกดดันมากเกินไปจึงรีบกล่าวว่า “เจ้าอายุยังน้อย ไม่ต้องรีบสอบซิ่วไฉหรอก ! ฐานะบ้านเราก็ดีขึ้นแล้ว พวกเราไม่ต้องการเงินจากตำแหน่งบัณฑิตของเจ้าหรอก…”
หลินจื่อเหยียนล้างมือแล้วหยิบเนื้อแผ่นออกมาจากตะกร้าไม้ไผ่ จากนั้นก็ลองลิ้มรสอย่างละเอียด “ท่านแม่ ท่านรู้หรือไม่ว่าเนื้อแผ่นของบ้านเราขายในเขตเริ่นอันราคาเท่าไหร่ ? ไม่ถึงครึ่งชั่งยังต้องใช้เงินตั้ง 400 อีแปะเลยนะขอรับ ! ”
หลินเว่ยเว่ยบ่นพึมพำอยู่ด้านข้าง “ร้ายกาจ ร้ายกาจยิ่งนัก ! ราคาขึ้นเป็นเท่าตัว สมกับคำกล่าวที่ว่าไม่เจ้าเล่ห์ขี้โกง ไม่เป็นพ่อค้า ! ”
เมื่อกินของในมือจนหมดแล้ว หลินจื่อเหยียนก็หยิบผลไม้อบแห้งขึ้นมากิน “คราวก่อนข้ากับสหายร่วมห้องนามหลี่อันซู่…พี่รองยังจำได้หรือไม่ ? เจ้าอ้วนที่ชอบเรียกท่านว่า ‘พี่รอง’ แล้วยังทำตัวสนิทสนมเสียยิ่งกว่าข้าเสียอีกคนนั้น หลี่อันซู่ซื้อมาแบ่งพวกเราในสำนักศึกษาคนละแผ่น ถ้าเขารู้ว่าของสิ่งนี้ผลิตจากบ้านพวกเรา เขาต้องกระโดดโลดเต้นขอตามข้ากลับมาแน่…!”
นางหวงจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวล “หากสหายในสำนักศึกษาของเจ้ารู้ว่าบ้านเราทำเนื้อแผ่นขาย พวกเขาจะดูหมิ่นเจ้าหรือไม่ ? ”
“พวกเราอาศัยสองมือทำมาหากิน มีสิ่งใดให้ดูหมิ่นกันเจ้าคะ ? ถ้ามีจริงล่ะก็ คนตาต่ำเช่นนั้นไม่คู่ควรให้ต้าฮว๋าคบหาและควรตีตัวออกห่างโดยเร็วที่สุด ! ” ขณะที่พูดหลินเว่ยเว่ยก็ยกนมแพะที่รีดเสร็จแล้วเข้ามาจากหลังบ้าน
1 นำขนไก่มาทำเป็นลูกศร หมายถึง หลอกใช้อำนาจของผู้ใหญ่มาปกป้องตนเอง
2 กินของผู้อื่นแล้วปากอ่อน หมายถึง กินข้าวบ้านคนอื่นแล้วยอมโอนอ่อนผ่อนตามเจ้าบ้านได้ง่าย
3 ลูกผู้ชายยืดได้ก็หดได้ หมายถึง มีความผ่อนปรน ยืดหยุ่นกันได้
4 มีเพียงสตรีและคนต่ำทรามเท่านั้นที่เลี้ยงยาก หมายถึง เข้าใกล้เกินไปก็เดาใจยาก ทำตัวไม่มีมารยาทใส่ พอตีตนออกห่างก็จะไม่พอใจอีก
ตอนต่อไป