“แต่ข้าไม่ได้มีโชคดีในโชคร้ายหรืออย่างไร นี่ข้ากลับมาเป็นปกติแล้วจริงหรือไม่ ? จะนำเรื่องเหล่านี้มาโทษเจ้าได้อย่างไร ? อีกอย่างเมื่อห้าปีก่อนเจ้าอายุเท่าไรเอง ? เด็กเจ็ดแปดขวบ ถ้าไม่เรียนแล้วจะไปทำสิ่งใดได้ ? ”
หลินเว่ยเว่ยได้ยินถ้อยคำของหลินจื่อเหยียนแล้วก็นึกออกทันทีว่าภายในใจของเด็กน้อยคนนี้คงรู้สึกผิดหรือมีแรงกดดันสูงมาก เขาเป็นเพียงเด็กอายุ 13 ปี ในชาติที่แล้วเด็กอายุประมาณนี้ยังเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นปีที่หนึ่งเท่านั้น !
หลินจื่อเหยียนตาแดงก่ำ พอหลินเว่ยเว่ยยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เขาแล้ว นางก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไป จงคิดว่าความขมขื่นในอดีตคือขวากหนามที่นำไปสู่ความสำเร็จ จงก้าวข้ามมันอย่างกล้าหาญ แล้วยอมรับอนาคตอันสดใสด้วยความยินดี ! ”
หลินจื่อเหยียนไม่อยากทำให้ผ้าเช็ดหน้าของพี่รองเปื้อน เขาจึงใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาแทน “พี่รอง บางครั้งท่านก็ดูเหมือนว่าจะพูดอย่างตรงไปตรงมา แต่บางคราท่านก็ควรคิดให้รอบคอบเสียก่อน ! ”
“นี่เรียกว่าภาษาซุปไก่1 ซุปไก่ทั่วไปใช้บำรุงร่างกายแต่ภาษาซุปไก่ช่วยปลอบโยนจิตใจ ! เอาล่ะ อายุเท่านี้ไม่ต้องคิดมากหรอก ! เจ้าตั้งใจศึกษาตำราก็พอ สถานการณ์ของบ้านเราตอนนี้แม้จะต้องส่งบุตรเรียนหนังสืออีกสิบคนก็ยังทำได้สบาย
เงินค่าขนมที่ให้เจ้าก็ไม่ต้องรู้สึกว่าทำใจใช้ไม่ลง อยากซื้อตำราเล่มไหนก็ซื้อเลย หากเงินไม่พอก็มาบอกพี่รอง ในบ้านหลังนี้นอกจากท่านแม่ที่มีอำนาจทางการเงินมากสุดแล้ว ผู้มีอำนาจคนที่สองคือพี่รองของเจ้า ! ” หลินเว่ยเว่ยตบหน้าอกของตน
หลินจื่อเหยียนรู้ว่ามารดาจะให้เงินจำนวนหนึ่งกับพี่รองเสมอเพื่อนางจะได้ซื้อวัตถุดิบและเครื่องเทศต่าง ๆ ได้อย่างสะดวก แต่เขาไม่ได้อิจฉาเลย ตรงกันข้ามยังรู้สึกแปลกใจเสียมากกว่าจนอดถามไม่ได้ “พี่รอง ในมือของท่านมีเงินอยู่เท่าไหร่ ? มีถึง 20 ตำลึงหรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยเหลือบมองเขาครู่หนึ่ง จากนั้นก็คลี่ยิ้มอย่างมีนัย “มีมากกว่าที่เจ้าจินตนาการเอาไว้ ! ”
“อ้อ…พี่รอง ท่านแอบเก็บเงินไว้ใช้ส่วนตัวใช่หรือไม่ ? ” ที่บ้านทำการค้าเนื้อแผ่น แถมพี่รองยังเข้ามาส่งเนื้อหมูป่าและเนื้อกวางให้หอจุ้ยเซียนอีก ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่จะมีโอกาสสัมผัสเงินอยู่บ่อยครั้ง หากเก็บเงินไว้ใช้เองครั้งละนิดละหน่อยก็คงมีเงินอยู่ในมือไม่น้อยเลย !
หลินเว่ยเว่ยยื่นมือไปจับตัวเขาแล้วเข้าไปกระซิบข้างหูว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคราวก่อนที่ข้าขายสูตรขนมได้เงินเท่าไหร่ ? สูตรละ 200 ตำลึงเชียวนะ ! ”
“หา ! เช่นนั้นขนมสามชนิดก็ขายได้ 600 ตำลึงใช่หรือไม่ ? ถือว่าได้เยอะกว่าการขายเนื้อแผ่นตลอดหนึ่งเดือนเสียอีก ! ” ดวงตาของหลินจื่อเหยียนค่อย ๆ เบิกกว้างขึ้น เป็นอย่างที่คิดว่าพี่รองร่ำรวยที่สุดในบ้าน !
หลินเว่ยเว่ยโบกมือ “ไม่ขนาดนั้นหรอก ไม่ขนาดนั้น ! การขายสูตรคือการขายที่ได้เงินก้อนเพียงครั้งเดียว เนื้อแผ่นต่างหากจึงจะเป็นรายได้หลักของบ้านเรา ! ” ปากบอกว่าไม่เท่าไหร่ แต่มุมปากที่ยกขึ้นดูจะไม่ถ่อมตนแม้แต่น้อย !
สมองของหลินจื่อเหยียนจึงแล่นอย่างรวดเร็ว “พี่รอง แล้วซี่โครงหมูผัดเปรี้ยวหวาน หมูตุ๋นน้ำแดง ยังมีปลาต้มราดพริกกระเทียมในวันนี้ รสชาติของพวกมันดีมาก ฝีมือเหนือชั้นกว่าหญิงวัยกลางคนเจ้าของร้านมาก ท่านว่าจะมีคนยอมซื้อสูตรอาหารเหล่านี้ในราคาสูงหรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยส่งสายตาชื่นชมให้เขา จากนั้นก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “สูตรอาหารเช่นนั้นหรือ…ร้านอาหารที่มีกำลังซื้อมากพอในเขตของเรามีแค่หอจุ้ยเซียน ไม่มีคู่แข่งที่แข็งแกร่งรายอื่นเลย ดังนั้นเจ้าของหอจุ้ยเซียนจะต้องกดราคาแน่นอน
อีกอย่างคนธรรมดาเช่นพวกเรายังไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมีคนหนุนหลังที่ทรงอำนาจหรือไม่ นิสัยเป็นเช่นไรก็ไม่อาจรู้ได้ ดังนั้นจะงัดไพ่ตายออกมาแสดงไม่ได้ หากวันหน้ามีโอกาสเราสามารถไปลองดูในอำเภอหรือในเมืองหลวงได้ ! ”
หลังจากที่หลินจื่อเหยียนได้ยินเช่นนั้นก็มองด้วยความตกตะลึง “พี่รอง ท่านฉลาดมาก ! ในบ้างครั้งข้าก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่านี่คือพี่รองของข้าจริงหรือไม่ ? ”
เจียงโม่หานได้ยินเช่นนั้นก็หันมามองหลินเว่ยเว่ยทันทีเพราะเขาอยากรู้ว่านางจะตอบเช่นไร
หลินเว่ยเว่ยไม่ได้ทำตัวผิดปกติ นางยื่นมือแล้วตบไปที่ท้ายทอยของหลินจื่อเหยียน จากนั้นก็หัวเราะออกมาเบา ๆ “ถ้าข้าไม่ใช่พี่รองของเจ้าแล้วจะเป็นผู้ใด ? ทีเจ้าสอบบัณฑิตถงเซิงตั้งแต่อายุสิบสาม แล้วพี่สาวอย่างข้าจะฉลาดหน่อยไม่ได้หรือไร ? ดังนั้นจึงกล่าวได้เพียงว่ากรรมพันธุ์ของบ้านเราดี ไม่มีใครเกิดมาโง่เขลา ! ”
หลินจื่อเหยียนลูบท้ายทอยของตน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ท่านแม่เคยบอกไว้ว่าคนที่มีใบหน้าเหมือนท่านพ่อที่สุดคือพี่รอง ส่วนคนที่มีสมองเหมือนท่านพ่อที่สุดคือข้า ! ”
“หมายความว่าอย่างไร ? เจ้าจะบอกว่าข้ามีหน้าตาหน้าเกลียดหรือไร ? ” คิ้วทั้งสองของหลินเว่ยเว่ยเลิกขึ้น ภายใต้ใบหน้างดงามแฝงไว้ด้วยความกล้าหาญเล็กน้อย ทว่าดูองอาจยิ่งกว่าเจียงโม่หานและหลินจื่อเหยียนเสียอีก !
หลินจื่อเหยียนรีบส่ายหน้า “ท่านพ่อมีผิวขาว ใบหน้าหล่อเหลา กล้าหาญเกินคนทั่วไป ท่านแม่เคยบอกว่าตอนยังไม่ได้แต่งงานกัน ท่านพ่อก็เป็นเหมือนศิษย์พี่เจียงในเวลานี้คือเป็นที่หมายปองของสตรีในหมู่บ้าน แต่ท่านพ่อก็เลือกท่านแม่เพียงคนเดียว…”
หลินเว่ยเว่ยจ้องใบหน้าอันบอบบางของน้องชายเป็นเวลานาน ท้ายที่สุดนางก็เริ่มเข้าใจ “รูปโฉมหล่อเหลา กล้าหาญ ถ้าคำเหล่านี้ใช้บรรยายบุรุษจะต้องเป็นคำชมอย่างแน่นอน แต่ถ้าเอามาบรรยายสตรีก็ไม่ได้หมายถึงสตรีแกร่งหรอกหรือ ! ”
“แค่รูปโฉมยังไม่เพียงพอหรอก นิสัยก็เช่นกัน ! ใบหน้าของเจ้าไม่ได้อัปลักษณ์ สามารถเรียนรู้ที่จะทำตัวสงบเสงี่ยมและพัฒนาไปในทางของกุลสตรีได้” จู่ ๆ เจียงโม่หานก็เสนอหน้าออกความเห็น
หลินเว่ยเว่ยยักไหล่แล้วมองออกไปไกลโพ้น จากนั้นก็กล่าวว่า “เป็นสตรีที่สงบเสงี่ยมจะมีข้าวกินหรือไม่ ? ถ้าข้าทำตัวเป็นหยกงามอยู่ในบ้านก็เตรียมอดตายกันได้เลย ! ไม่เป็นกุลสตรีก็ไม่เป็นกุลสตรีเถิด ขอแค่ทำให้อิ่มท้องได้ก็พอ ! นี่ใกล้จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้วไม่ใช่หรือ ? ได้เวลาเตรียมพวกวัตถุดิบ ประเดี๋ยวเราจะทำขนมไหว้พระจันทร์กัน ! พวกเจ้าอยากกินรสชาติอย่างไร ? ”
หลินจื่อเหยียนจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่กินขนมไหว้พระจันทร์คือเมื่อห้าหกปีก่อน เวลานั้นท่านพ่อยังอยู่ หลังได้ยินแล้วเขาก็ถามด้วยความตื่นเต้นว่า “พี่รอง ขนมไหว้พระจันทร์ไม่ได้ใส่แค่น้ำตาลหรอกหรือ ? มันยังมีรสชาติอื่นด้วยหรือ ? ”
ต่อจากนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ให้คนขายธัญพืชชั่งแป้งชั้นดีมายี่สิบชั่งแล้วหันมาอธิบายให้ฟังพร้อมรอยยิ้ม “ขนมไหว้พระจันทร์ที่มีชื่อเสียงคือขนมไหว้พระจันทร์แบบเมืองหลวง ขนมไหว้พระจันทร์แบบซูซื่อและขนมไหว้พระจันทร์แบบกว่างตง สำหรับเรื่องรสชาติมีรสหวาน เค็ม เค็มหวานและเค็มเผ็ด ในส่วนของไส้แบ่งเป็นขนมไหว้พระจันทร์ไส้ธัญพืชห้าชนิด ถั่วหวาน งา เนื้อสัตว์และอื่น ๆ อีกมากมาย หากอธิบายจากแป้งจะมีแบบแป้งหนา แป้งผสมน้ำตาลและแป้งพายเป็นหลัก…”
ทันใดนั้นเจียงโม่หานก็อดหันมามองไม่ได้ ขนมไหว้พระจันทร์ที่เด็กตัวแสบกล่าวถึงมีเยอะกว่าที่เขาเคยกินในชาติที่แล้วเสียอีก หรือว่า…ตัวนางในชาติที่แล้วจะมีฐานะเป็นสตรีสูงศักดิ์ ? ไม่ถูก ! มีสตรีสูงศักดิ์ตระกูลใดเป็นเหมือนนาง ถ้าเช่นนั้นคงโดนส่งตัวไปอยู่ที่วัดประจำตระกูลนานแล้ว คงไม่ได้มีวันออกมาพบหน้าผู้คนได้อีก !
ส่วนหลินจื่อเหยียนตาโตพลางมองพี่รองด้วยความเคารพ “พี่รอง ท่านเก่งเกินไปแล้ว ! พวกเราทำทุกแบบไปเลย ทำอย่างละนิดอย่างละหน่อยแล้วมาลองชิมดีหรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยกลอกตาใส่เขา “ในช่วงเวลาเร่งรีบเช่นนี้จะเอาวัตถุดิบทั้งหมดมาจากที่ใด ? เป็นมนุษย์จะโลภมากไม่ได้ ! ปีนี้ทำไส้ธัญพืชห้าชนิด ไส้ถั่วหวานและไส้เค็มหวานดีหรือไม่ ? พอถึงปีหน้าค่อยเปลี่ยนรสใหม่จะได้เหลือความรู้สึกรอคอยไว้ในปีถัดไปบ้าง จริงหรือไม่ ? ”
เมื่อคนขายธัญพืชได้ยินเช่นนั้นก็อดกล่าวไม่ได้ว่า “ขนมไหว้พระจันทร์แบบซูซื่อและแบบกว่างตงที่เจ้าหนุ่มน้อยเอ่ยถึงคือขนมแบบทางใต้ใช่หรือไม่ ? เจ้าทำเป็นด้วยหรือ ? ”
“เป็นที่ไหนกันเล่า ? ข้าแค่หยอกน้องชายเท่านั้น ! อย่าคิดเป็นจริงเป็นจังเลย ! ทำให้เจ้าต้องหัวเราะเยาะเสียแล้ว” หลินเว่ยเว่ยแกล้งทำเป็นยิ้มด้วยความเขินอาย
เจียงโม่หานพบว่าเด็กตัวแสบไม่ใช่คนโง่เสียทีเดียว เมื่อเผชิญกับคนแปลกหน้าหรือบางทีกับคนที่นางไม่ชอบ แม้ใบหน้าของนางจะเปื้อนยิ้มแต่รอยยิ้มไม่มีอยู่ในแววตา มีเพียงอยู่ต่อหน้าคนที่นางยอมรับเท่านั้น นางถึงจะเผยรอยยิ้มพระจันทร์เสี้ยว รอยยิ้มหวานหยาดเยิ้มเหมือนตอนกินนมแพะย่างในเช้าวันนี้…
1 ภาษาซุปไก่ คือ ภาษาในโลกอินเตอร์เน็ตและภาษาแชทของคนจีนยุคใหม่ มีความหมายในแง่การเป็นภาษาที่ให้แง่คิดและสร้างพลังบวกให้ผู้คน
ตอนต่อไป