พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – บทที่ 1911 ไม่สู้อยู่ในความฝันอันงดงามของชีวิต

บทที่ 1911 ไม่สู้อยู่ในความฝันอันงดงามของชีวิต

สนมบางคนยังไม่ทันถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้อง สนมบางคนพอเห็นกองทัพองครักษ์พรวดพราดเข้ามาแล้ว ถึงขั้นยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น คมดาบที่เย็นเยียบก็สังหารเข้ามาแล้ว ไม่มีที่ว่างให้อธิบายอะไรทั้งนั้น

คนที่ล้มตายไม่ได้มีแค่สนมเหล่านั้น หญิงรับใช้กับนางกำนัลในตำหนักก็เช่นกัน กองทัพองครักษ์ที่เย็นชาไร้หัวใจไม่ปล่อยให้รอดไปสักคน

เสียงร้องตกใจ เสียงกรีดร้องโหยหวน ทั้งยังมีเสียงเข่นฆ่าจากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ เสียงเหล่านี้ดังก้องทั้งวังสวรรค์

คนที่หลบหนีถูกไล่สังหารทันที ถูกล้อมปราบแล้ว

ผนังหยกขาวหลายแห่งที่สลักอย่างงดงาม ลานตำหนักที่ก่อสร้างฝีมือประณีตเหนือธรรมชาติ ตามติดด้วยเลือดสดที่พุ่งกระจายออกมา ทั้งหมดพังทลายลงท่ามกลางลำแสงของลูกธนูดาวตก

รอยยิ้มสวยสดใสดุจบุปผา ความเมตตาจากราชัน คำสัญญาด้วยความรักใคร่ ทั้งหมดที่เคยมีกลายเป็นความเย็นชาเมินเฉย กลายเป็นคมดาบที่เยียบเย็น กลายเป็นการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายท่ามกลางกองเลือด กลายเป็นความโศกสลดอยู่ท่ามกลางสายตาที่ค่อยๆ มืดสลัวลง

“เหนียงเหนียง! ท่านอ๋องอยู่ในอันตรายนะเพคะ! ท่านอ๋องคือท่านตาแท้ๆ ของท่านนะเพคะ!”

ในตำหนักบูรพา หยินซวงกับไป๋เสวี่ยพยายามบุกเข้าห้องสมาธิ แล้วก็นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ขอร้องวิงวอนจ้านหรูอี้ที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง

ที่จริงสนมหันก็เป็นแค่คนที่ถูกเลือกไว้เตรียมใช้ คนที่ตระกูลอิ๋งเลือกคนแรกก็ยังเป็นจ้านหรูอี้ หวังว่าจ้านหรูอี้จะไปขอร้องให้ ถ้าขอร้องไม่ได้ผล ก็ใช้วิธีการยั่วยวนแล้วฆ่าประมุขชิง

จ้านหรูอี้ที่สีหน้าเรียบเฉยลืมตาช้าๆ มองพวกนาง “ระหว่างฝ่าบาทกับท่านอ๋องมาถึงขั้นสุดแผนที่มีดปรากฏ[1]แล้ว พวกเจ้าคิดว่าทำแบบนี้แล้วจะมีความหมายเหรอ? เป็นเพียงการรนที่ตายอย่างกล้าหาญก็เท่านั้น ไม่ต้องรอให้พวกเราไปรนหาที่ตายเองหรอก เดาว่าคนที่จะมาสังหารพวกเราคงใกล้มาถึงแล้ว ทุกอย่างจบแล้ว…”

นางเพิ่งจะพูดจบ ด้านนอกก็มีเสียงธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์ดังสนั่น ทั้งยังมีเสียงกรีดร้องดังต่อเนื่องเป็นระลอก เสียงดังเข้ามาอย่างต่อเนื่องแล้ว

หยินซวงกับไป๋เสวี่ยพลันหันไปมอง พวกนางสีหน้าขาวซีด ตอนนี้ไม่สนใจจ้านหรูอี้แล้ว พวกนางรีบถลันตัวออกไป วิ่งไปดูข้างนอกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

แม้แต่จ้านหรูอี้ก็รีบถลันตัวออกจากเตียงเช่นกัน

ทั้งสามคนเพิ่งจะเข้ามาในเรือน กำลังพลกองทัพองครักษ์ที่สวมเกราะรบกลุ่มหนึ่งก็บุกเข้ามาแล้ว เริ่มกระจายตัวเฝ้าตามจุดต่างๆ ในตำหนักบูรพา

พอแม่ทัพเกราะแดงคนสุดท้ายเดินเข้ามาเห็นจ้านหรูอี้ ก็รีบเร่งฝีเท้าทันที ก้าวขึ้นมากุมหมัดคารวะกุมหมัดคารวะ “คำนับสนมสวรรค์!”

เสียงเข่นฆ่าข้างนอกยังดำเนินต่อเนื่อง จ้านหรูอี้ที่เงี่ยหูฟังเห็นกับตาว่าลำแสงหลายสิบสายบนท้องฟ้าไกลๆ กำลังยิงสังหารสนมคนหนึ่งที่นางรู้จัก นางย้ายสายตากลับมาบนใบหน้าแม่ทัพอีกครั้ง แล้วถามเสียงเรียบว่า “เจ้ามาเพื่อฆ่าข้าเหรอ?” สีหน้าท่าทางให้ความรู้สึกเหมือนจะเป็นหรือตายก็ปล่อยไปตามโชคชะตา หรือไม่ก็ให้ความรู้สึกหลุดพ้น

หยินซวงกับไป๋เสวี่ยสีหน้าแย่มาก ความตระหนกในดวงตายากจะปิดบังไว้ หวาดกลัวถึงขีดสุดแล้วจริงๆ

ทหารที่เข้ามาก้มหน้ากุมหมัดคารวะ “มิบังอาจ! เหนียงเหนียงเข้าใจผิดแล้ว วังหลังมีคนก่อกวน ฝ่าบาทมีคำสั่ง ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้มาป้องกันตำหนักบูรพา ปกป้องความปลอดภัยของเหนียงเหนียง ถ้ารบกวนตรงไหน ก็หวังว่าเหนียงเหนียงจะอภัย!”

เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น ตามหลักแล้วจะเรียกว่าฆ่าล้างโคตรตระกูลอิ๋งก็ไม่ถือว่ากล่าวเกินไป แต่ผู้หญิงคนนี้กลับยังไม่เป็นอะไร จะเห็นได้ว่าได้รับเกียรติและความโปรดปรานจากฝ่าบาทขนาดไหน ความโปรดปรานนับพันหมื่นมารวมอยู่ที่ตัวคนคนเดียวอย่างแท้จริง มีหรือที่เขาจะกล้าล่วงเกิน

เขาคิดไม่ตกจริงๆ ในวังมียอดหญิงงามมากมายขนาดนั้น มีคนไหนบ้างที่ไม่ผ่านการคัดเลือกอย่างดีจากอาณาเขตดาวผืนต่างๆ ความงามของสนมสวรรค์บอกได้เพียงว่าก็แค่ดูดี แต่ยังไม่ถึงขั้นยอดหญิงงาม ทั้งยังไม่สนใจใยดีฝ่าบาทด้วย แต่ฝ่าบาทดันหลงใหลราวกับผีดลบันดาล โปรดปรานนางเพียงคนเดียว ฝ่าบาทช่างชอบรสชาติเข้มข้นจริงๆ!

แน่นอน คำพูดนี้เก็บไว้ในใจเท่านั้น ไม่กล้าพูดออกมา

จ้านหรูอี้จ้องเขาพักหนึ่ง แล้วมองไปที่องครักษ์รอบๆ สุดท้ายก็มองไปทางตำหนักดาราจักร ขณะฟังเสียงเข่นฆ่ารอบข้าง ก็หันตัวกลับไปช้าๆ แล้วเดินลากกระโปรงยาวกลับเข้าไปในห้อง

หยินซวงกับไป๋เสวี่ยแอบโล่งอก ให้ความรู้สึกเหมือนหนีรอดจากความตายมาได้ พวกนางรีบก้มหน้าเดินตามจ้านหรูอี้ไป รู้สึกว่าตอนนี้มีแค่เดินตามอยู่ข้างกายจ้านหรูอี้เท่านั้นถึงจะปลอดภัยที่สุด เพียงแต่ยังคงตกใจจนเข่าอ่อน…

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?”

ตำหนักนารีสวรรค์ เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่ได้ยินเสียงความผิดปกติทางวังสวรรค์แทบจะยกกระโปรงวิ่งออกมา กลุ่มนางในก็กลัวจนมารวมตัวกันอยู่ข้างหลังนาง

“เหนียงเหนียง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน ถ้าไม่มีคำสั่งจากฝ่าบาท ทางที่ดีก็อย่าไปไหนสุ่มสี่สุ่มห้าดีกว่า!”

ตรงจุดที่ไม่ไกลมีเสียงอันเย็นเยียบดังมา เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ที่เดิมทีต้องการจะเหาะขึ้นฟ้าไปดูความเคลื่อนไหวจำเป็นต้องอดทนไว้ แล้วเอียงหน้ามองไปตามเสียง

บนระเบียงนอกศาลาริมสระน้ำ เกาก้วนที่สวมหมวกทรงสูงและผ้าคลุมสีดำกำลังยืนเอามือไขว้หลังพิงระเบียง เขาเงยหน้าเล็กน้อย กำลังมองเงาคนที่เหาะขึ้นมาบนฟ้าแล้วตกลงไปเป็นระยะด้วยสีหน้าเรียบเฉย ในสระน้ำสะท้อนเงาอันโดดเดี่ยวของเขา

ในสายตาเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ เกาก้วนโอหังและเย็นชาอย่างนี้มาตลอด

เพียงแต่เซี่ยโห้วเฉิงอวี่คิดไม่ตกนิดหน่อย เกาก้วนได้รับคำสั่งให้มาตรวจสอบตนชัดๆ ทว่าตั้งแต่ตนกักบริเวณอยู่ที่นี่ อีกฝ่ายก็ยังไม่เคยถามตนสักคำ ดูแล้วเหมือนจะไม่ต้องการสอบสวนนางเลยสักนิด

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่เดินเข้าไป ขณะที่เดินก็พูดไปด้วยว่า “ตอนที่ยังไม่ได้ตัดสินว่าข้ามีความผิด ข้าก็ยังเป้นประมุขของวังหลัง วังหลังกำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ข้ามีสิทธิ์จะรู้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!”

เกาก้วนเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วตอบด้วยน้ำเสียงสงบนิ่งโดยไม่หันกลับมา “กองทัพองครักษ์สู้กับทัพตะวันออกแล้ว!”

เซี่ยโห้วเฉิงอวี่หยุดเดิน หลังจากทำสีหน้างงงันอยู่พักหนึ่ง นางก็เข้าใจกระจ่างในทันที ตอนนี้คงกำลังกวาดล้างคนในเครือข่ายตระกูลอิ๋งที่วังหลัง

หลังจากเข้าใจแล้ว เซี่ยโห้วเฉิงอวี่ก็เผยสีหน้าดีใจเป็นบ้าเป็นหลังอย่างปิดบังได้ยาก แทบจะมองไปทางตำหนักบูรพทันที ในใจหัวเราะเยาะอย่างบ้าคลั่ง นางตัวดี เจ้าก็มีวันนี้เหมือนกันเหรอ!

สิ่งเดียวที่ทำให้นางรู้สึกเสียดายก็คือ ไม่ได้ทรมานนางตัวดีนั่นด้วยตัวเอง!

ถ้าผู้หญิงได้แค้นผู้หญิงสักคนหนึ่งเมื่อไร ก็เรียกได้ว่าโหดร้ายที่สุด

ในวังมีการเปลี่ยนแปลงกะทันหันขนาดนี้ จวนอ๋องสวรรค์ก่วง จวนอ๋องสวรรค์โค่ว จวนอ๋องสวรรค์ฮ่าวก็ได้รับข่าวนี้ในทันทีเช่นกัน

ก่วงลิ่งกง โค่วหลิงซวีและฮ่าวเต๋อฟางบ้างก็เงียบไป บ้างก็ทำสีหน้าตึงเครียด บ้างก็เดินไปเดินมา หลังจากรู้ว่าประมุขชิงไม่ได้แตะต้องคนของพวกเขา ทุกคนก็รู้แล้วว่าประมุขชิงกำลังส่งข้อความให้พวกเขา กำลังแสดงท่าทีว่าไม่คิดจะแตะต้องพวกเขา มีเจตนาจะทำให้พวกเขาสงบลง ให้พวกเขาไตร่ตรองสิ่งที่กำลังจะทำต่อไป

สำหรับประมุขชิง นี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่เขารับสนมเข้ามาในวังหลังมากมาย เขาใช้สิ่งนี้เพื่อแสดงท่าทีต่อเจ้าอาณาเขตเบื้องล่าง ใช้เพื่อถ่ายทอดเจตนา

ต่อให้เขาจะไม่ชอบผู้หญิงคนไหน แต่ถ้าคนที่อยู่เบื้องหลังผู้หญิงคนนั้นทำเรื่องที่ถูกใจเขา เขาก็จะฝืนตัวเองไปหาผู้หญิงคนนั้นได้ จะถ่ายทอดเจตนาที่ทุกคนล้วนเข้าใจ บางครั้งเวลามีอะไรที่ไม่สะดวกจะพูดออดมาตรงๆ เขาก็จะเปิดเผยให้ผู้หญิงบางคนรู้สักสองสามประโยค เขาเชื่อว่าผู้หญิงคนนั้นจะต้องถ่ายทอดเจตนาของเขาโดยเร็ว บางครั้งถ้าเขาอยากจะสร้างความบาดหมางให้เบื้องล่าง ก็จะจงใจไปโปรดปรานผู้หญิงบางคน

ความสัมพันธ์ระหว่างประมุขชิงกับสนมของวังหลัง แต่ไหนแต่ไรมาก็เป็นจุดสนใจของคนบางกลุ่มอยู่แล้ว

“เพล้ง…”

เสียงดังชัดเจน จอกหยกที่ใส่สุราไว้ครึ่งเดียวพลันหลุดจากมืออันเรียวงาม ตกลงพื้นจนแตก น้ำสุราสาดกระเด็น

กับแกล้มที่สวยประณีตหนึ่งโต๊ะ สุราเลิศรสหนึ่งกา

จูเก๋อชิงยามปกติเงียบเหงา พอเห็นสุราแล้วค่อนข้างกระหาย ตอนนี้จู่ๆ เอามือกุมหน้าท้อง เอามืออีกข้างยันโต๊ะไว้ ใช้หน้าผากขัดไปตามโต๊ะด้วยสีหน้าทุกข์ทรมาน สั่นเทิ้มไปทั้งตัว

สาวน้อยที่อยู่ทางซ้ายและขวาเห็นสภาพนางแล้วแปลกใจ ทั้งคู่เข้ามาประคองนาง “พี่สาวเทพเซียน เป็นอะไรไปคะ?”

จูเก๋อชิงพยายามโบกมือ ใช้แขนข้างหนึ่งยันโต๊ะโซเซลุกขึ้นมา นางค่อยๆ เงยหน้ามองสุราอาหารบนโต๊ะ แล้วเผยรอยยิ้มอันน่าเวทนา พึมพำกับตัวเองว่า “สิ่งที่ควรจะมา สุดท้ายก็มาแล้ว หึหึ…”

นางหันตัวไปกระแทกเก้าอี้ด้านหลัง แล้วเดินโซเซตลอดทางเพื่อไปหาเตียงที่อยู่ไม่ไกล นางกระโจนล้มลงบนเตียง แล้วนอนงอตัวเหมือนกุ้งอย่างเจ็บปวด

สาวน้อยทั้งสองตกใจแทบแย่แล้ว ตกใจจนลนลานทำอะไรไม่ถูก ไม่เคยพบเห็นสถานการณ์แบบนี้มาก่อน ในสายตาพวกนาง พี่สาวเทพเซียนอาจจะกำลังป่วยแล้วก็ได้

สุดท้ายสาวน้อยที่อายุมากกว่าก็ตะโกนบอกว่า “รีบไปตามคน รีบไปตะโกนเรียกคน!”

คนที่อายุน้อยกว่ายกกระโปรงวิ่งออกไปทันที “ใครก็ได้ ใครก็ได้…”

สาวน้อยที่อายุมากกว่ากระโจนลงข้างเตียง แล้วเขย่าแขนจูเก๋อชิงพลางร้องไห้ “พี่สาวเทพเซียน ท่านเป็นอะไรไป ท่านเป็นอะไรไปแล้ว…”

จูเก๋อชิงที่นอนงอตัวพยายามลืมตามองนางอย่างไร้เรี่ยวแรง จากนั้นก็เหมือนใช้พลังทั้งตัวจนหมดแล้ว พยายามหันตัวมา วางร่างกายตัวเองให้นอนราบ พยายามรักษาลมหายใจเฮือกสุดท้ายเอาไว้ เหมือนอยากจะยื่นมือเข้าไปสัมผัสใบหน้าสาวน้อย

สุดท้ายก็ยังไม่ทันได้ลูบใบหน้านาง มือตกลงอย่างไร้เรี่ยวแรง หลับตาลงโดยมีน้ำตาสองสายไหลออกจากหางตา หยดน้ำตาใสดุจผลึก

นอกห้อง ทหารยามนับไม่ถ้วนถลันตัวเข้ามา เดินก้าวยาวมาข้างเตียง คนที่นำหน้ามาเอียงหน้ามองสุราอาหารบนโต๊ะ เขาไม่ใช่ใครที่ไหน ฟางเหลียว ผู้รับหน้าที่เฝ้าตำหนักประมุขดาวกลาง

พอมาถึงข้างเตียง ฟางเหลียวก็ตะโกนว่า “แม่นางชิง เจ้าเป็นอะไรไปแล้ว?” เมื่อเรียกหลายครั้งแล้วไม่มีการตอบสนอง ก็เอียงหน้าบอกใบ้ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆ

ผู้หญิงคนนั้นรีบยื่นมือออกมาตรวจสอบ หลังจากร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจแล้ว ก็หันกลับมาตอบอย่างตกใจว่า “นาง…นางตายแล้ว…”

“หา!” คนอื่นๆ ก็ตกใจเช่นกัน อดไม่ได้ที่จะร่ายอิทธิฤทธิ์ตรวจดูไกลๆ

หลังจากแน่ใจว่าตายแล้วจริงๆ แต่ละคนก็เริ่มกลัวแล้ว พวกเขารับหน้าที่เฝ้ายาม แต่คนกลับตายไปแล้ว จะชี้แจ้งอย่างไรล่ะ?

“ทำยังไงดี?” มีบางคนถามอย่างตกใจ

“ไม่มีทาง ไม่มีทาง” สาวน้อยที่อยู่ข้างเตียงส่ายหน้าร้องไห้อย่างปวดใจ เขย่าตัวจูเก๋อชิงหวังให้ฟื้นขึ้นมา

มีบางคนพบความผิดปกติอย่างรวดเร็วเช่นกัน สังเกตเห็นจอกสุราที่ตกแตกกับเก้าอี้ที่พลิกล้ม

ฟางเหลียวที่ไม่สะทกสะท้านตั้งแต่ต้นจนจบหันกลับมามองแวบหนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเรียบว่า “ไม่ต้องตรวจสอบแล้ว เป็นประสงค์ของท่านปราชญ์ แจ้งให้นภาอู๋เลี่ยงรู้ก็พอ อย่างอื่นพวกเราไม่ต้องกังวล” เขาเป็นคนวางยาพิษเอง ในใจเขาย่อมรู้ชัด พอมองใบหน้าที่งามเลิศล้ำของจูเก๋อชิง ในใจเขาก็แอบรู้สึกเสียดาย จากนั้นก็หันตัวเดินออกไปอย่างไม่รีบร้อน

บนหอประตูเมือง เหมียวอี้ที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างพลันมองไปยังที่ไกลๆ ตรงนั้นเหมือนจะมีลมพัด ต้นไม้สั่นไหว ฝุ่นดินม้วนขึ้นฟ้าราวกับเสา แล้วจู่ๆ พังทลายลงอีก ความรู้สึกของเขาตอนนี้ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน จนกระทั่งตอนนี้เขายังไม่รู้เลยว่าฝั่งประมุขชิงเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง กำลังพลแดนรัตติกาลหลายหมื่นที่กระจายอยู่ตามตลาดสวรรค์อาจจะโดนโจมตีได้ทุกเมื่อ ตอนนี้แววตาเขาเด็ดเดี่ยว ริมฝีปากตึงแน่น

ใต้กำแพงและบนกำแพงยังคงท้าทายกันและข่มขู่กัน ดาบจ่ออยู่บนคอคนงานในร้านค้าที่ถูกคุมตัวขึ้นมาบนกำแพงเมืองแล้ว ซิงยืนมองฉากนี้อยู่ริมหน้าต่างข้างกัน นางถอนหายใจเบาๆ เหมือนตระหนักได้ “ปณิธานอันยิ่งใหญ่เป็นเพียงเรื่องในวงสนทนาขบขัน ไม่สู้อยู่ในความฝันอันงดงามของชีวิต…”

เหมียวอี้เอียงหน้าเล็กน้อย เหล่ตามองนางเงียบๆ แวบหนึ่ง

…………………………

[1] สุดแผนที่มีดปรากฏ 图穷匕见 อุปมาว่าว่าเมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาจนถึงจุดสิ้นสุด ข้อเท็จจริงย่อมปรากฏออกมา

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา!

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’

เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น

เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง

ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง!

หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน

แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด

ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท