หลินเว่ยเว่ยเดินเข้าไปหาแล้วตบบ่าพี่สาวพลางกล่าวว่า “ไม่ต้องเสียใจ ในชีวิตหนึ่งมีใครไม่ต้องเจอผู้ชายแย่ ๆ บ้าง ? คางคกสองขาหายาก บุรุษสองขาหาได้ทั่วไปไม่ใช่หรือ ? เจ้าก็อย่าใจร้อน…”
“คะ…ใครใจร้อน ? เห็นข้าเป็นตัวเจ้าที่จะเห็นผู้ชายแล้วขยับตัวไม่ได้น่ะหรือ ! ” พี่สาวคนโตสะบัดมือนางออกด้วยความโมโห
หลินเว่ยเว่ยจึงเถียงกลับทันที “ข้าเห็นผู้ชายแล้วขยับตัวไม่ได้ตั้งแต่เมื่อใด ? เจ้ากำลังใส่ร้ายผู้อื่น ! ถ้าไม่ใช่รูปโฉมและสติปัญญาอย่างบัณฑิตน้อยก็ไม่มีทางเข้าตาคนอย่างข้าหลินเว่ยเว่ยผู้นี้หรอก ! ”
“หืม ? เช่นนั้นข้าต้องขอบคุณคำชื่นชมจากเจ้าหรือไม่ ? ” เจียงโม่หานเดินผ่านพี่น้องคู่นี้ด้วยท่าทางสบาย จากนั้นก็หาบริเวณที่สะอาดแล้วนั่งลงอ่านตำราใต้ต้นพลับซึ่งท่าทางการถือตำราของเขาได้กลายเป็นภาพวาดแสนงดงามทันที
บุตรสาวคนโตตระกูลหลินดึงใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโง่งมของหลินเว่ยเว่ยกลับมา “ข้าขอเตือนคางคกเกียจคร้านอย่างเจ้าว่าให้รู้จักเจียมตัวเอาไว้ หากไม่ลดมาตรฐานลงหน่อย ข้ากลัวเจ้าจะขึ้นคานไปชั่วชีวิต”
“ขึ้นคานก็ขึ้นสิ ข้าไม่ได้เหมือนเจ้าเสียหน่อยที่…อยากออกเรือนจนตัวสั่น ! ” หลินเว่ยเว่ยเสียดายที่ในชาติก่อนไม่เรียนวาดภาพจึงไม่อาจวาดภาพอันงดงามนี้เก็บไว้ได้ หลังรอให้บัณฑิตหนุ่มแต่งภรรยาแล้ว นางอยากจะเห็นภาพนี้เท่าไรก็เป็นเรื่องยาก…ดังนั้นต้องมองให้มากหน่อย คิดเสียว่านี่เป็นโอกาสสุดท้าย ! เฮ้อ…
เจียงโม่หานเงยหน้ามอง…จู่ ๆ ถอนหายใจทำไมหรือ ? เด็กคนนี้ไม่ได้ขัดแย้งกับพี่สาวหรอกหรือ ? เหตุใดจึงกังวลเรื่องงานแต่งแทนพี่สาวถึงขนาดนั้น ?
เจียงโม่หานครุ่นคิดแล้ววางตำราในมือลง จากนั้นก็พูดกับหลินเว่ยเว่ยที่กำลังจ้องมาอย่างโง่งมว่า “โกดังสร้างไปได้พอสมควรแล้ว ข้าคิดจะเข้าเมืองพรุ่งนี้ เจ้าอยากไปด้วยหรือไม่ ? ”
“ได้สิ ในเมื่อเจ้าอุตส่าห์เชิญทั้งที ข้าก็จะฝืนตามไปแล้วกัน ! ” หลินเว่ยเว่ยแค่เศร้าในช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น นางเริ่มกลับมาร่าเริงอีกครั้งแล้ว
เจียงโม่หานมองนางพลางคิดว่า…เปล่าประโยชน์ที่จะเป็นห่วงเด็กตัวเหม็น !
วันรุ่งขึ้น เมื่อทั้งสองขึ้นไปนั่งเกวียนที่มีหลิวว่ายจื่อเป็นคนขับแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็หยิบเกี๊ยวทอดห่อหนึ่งขึ้นมา จากนั้นยื่นไปทางบัณฑิตหนุ่ม “ข้าเห็นว่าเมื่อเช้าเจ้ากินโจ๊กไปแค่ถ้วยเดียว กินอีกหน่อยสิ”
เจียงโม่หานมองเกี๊ยวทอดพักหนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างมั่นใจ ส่วนหลินเว่ยเว่ยก็ไม่บังคับ หลังแบ่งให้หลิวว่ายจื่อสองสามชิ้นแล้ว นางก็เริ่มเคี้ยวไม่เหมือนใคร
ขณะมองท่าทางการกินของนาง เจียงโม่หานก็ขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “ในฐานะเด็กผู้หญิง เจ้า…”
หลินเว่ยเว่ยยกมือห้ามแล้วกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดสิ่งใด เจ้าไม่เห็นข้าเป็นเด็กผู้หญิงก็จบแล้วไม่ใช่หรือ ? ข้าคิดว่าใส่ชุดบุรุษยังจะสบายกว่า…”
หลิวว่ายจื่อกำลังกินเกี๊ยวทอดไส้หมูอย่างเอร็ดอร่อย หลังได้ยินเช่นนั้นเขาก็รีบพูดประจบทันที “หลานสาว เจ้าใส่ชุดสตรีก็งดงามเช่นกัน ข้าคิดว่าคุณหนูในเมืองเหล่านั้นยังเทียบเจ้าไม่ได้เลย ! ”
หลินเว่ยเว่ยก้มหน้ามองชุดกระโปรงที่นางเฝิงทำให้ สีเขียวอ่อนเข้าชุดทำให้นางดูเหมือนต้นอ่อนที่เพิ่งแตกหน่อ ชุดนี้เมื่อมองไปแล้วก็สวยแต่นางรู้สึกสบายใจมากกว่าเมื่อได้ใส่กางเกง
“สิ่งที่บัณฑิตน้อยหมายถึงคือพวกคุณหนูสูงศักดิ์ในเมืองมีความเป็นผู้ดี ไม่เหมือนคนที่กล้ากินเกี๊ยวทอดบนถนนเช่นข้า ! ” ขณะที่กล่าวเช่นนี้หลินเว่ยเว่ยก็หยิบเกี๊ยวทอดเข้าปากอีกชิ้น
หลิวว่ายจื่อทำปากบิดเบี้ยวแล้วกล่าวว่า “ผู้ดีอันใดกัน สตรีเหล่านั้นก็แค่ดัดจริต ! ชาวบ้านอย่างพวกเราไม่ได้พิถีพิถันถึงเพียงนั้นเสียหน่อย ! ”
“พิถีพิถันก็ทำให้ผู้อื่นดู ในป่ารกร้างห่างไกลความเจริญเช่นนี้จะทำตัวเป็นผู้ดีให้ใครดู ? ” หลินเว่ยเว่ยถือโอกาสตอนที่เจียงโม่หานไม่ทันตั้งตัวยัดเกี๊ยวทอดเข้าปากเขาหนึ่งชิ้นแล้วยกยิ้มด้วยปากมันเยิ้มของตน “กินสิ ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล แต่กระเพาะเราใหญ่ที่สุดแล้ว การหิวมันทรมานมากนะ ! ”
ท้ายที่สุดเจียงโม่หานก็ทำใจไม่ได้ที่จะพ่นเกี๊ยวทอดในปากทิ้ง วันนี้หลินเว่ยเว่ยขึ้นเขาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างซึ่งกลับมาพร้อมแอปเปิลและบลูเบอร์รี่อย่างละหนึ่งตะกร้า มื้อเช้าเป็นฝีมือของบุตรสาวคนโต โจ๊กข้าวขาว ผักดองรวมกับแป้งทอดซึ่งรสชาติไม่ค่อยดีนัก เขาจึงฝืนกินโจ๊กเข้าไปเพียงหนึ่งถ้วย
เมื่อหลินเว่ยเว่ยกลับมาแล้วก็นำหมูสับที่คนงานทำไว้แล้วมาทำเป็นเกี๊ยวทอดไส้หมู เมื่อกินไม่ทัน นางก็ใช้กระดาษน้ำมันห่อแล้วบอกว่าจะนำมากินระหว่างทาง คนหนึ่งประหยัดได้ก็ประหยัด ทำอาหารโดยไม่ใส่เกลือหรือน้ำมัน ส่วนอีกคนมือใหญ่ใจถึง ไม่ว่าจะกินหรือดื่มก็จัดเต็ม…สองพี่น้องนี้ นางหวงเลี้ยงมาเหมือนกัน เหตุใดแตกต่างกันถึงเพียงนี้ ?
เจียงโม่หานเห็นเกี๊ยวทอดในมือหลินเว่ยเว่ยเหลือไม่มากแล้วจึงแอบเอื้อมมือไปหยิบ (แย่ง) มาจากนาง หลินเว่ยเว่ยหันไปมองด้วยดวงตากลมโต…เจ้าไม่เห็นตัวเองเป็นคนนอกแล้วสินะ !
เกวียนเทียมล่อมาถึงในเมืองอย่างรวดเร็ว ผ่านไปแรมเดือนแต่ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ต้องมีคนสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในเขตเริ่นอัน หน้าประตูมีด่านเกิดขึ้น แต่ละคนต้องจ่าย 2 อีแปะเป็นค่าผ่านทางและภายนอกก็มีชาวบ้านหน้าตาซีดเหลือง หุ่นซูบผอม เสื้อผ้าขาดวิ่นกำลังแบมือขออาหารจากคนที่ผ่านไปผ่านมา
“กู่เหนียง คุณชาย ขออาหารให้เราหน่อยเถิด…”
“กู่เหนียง ท่านดูลูกสาวบ้านข้าสิ นางอายุ 6 ขวบแล้ว สามารถทำอาหาร ซักผ้าและทำความสะอาดบ้านได้ ขอแค่ 2 ตำลึงเท่านั้น…”
“พี่สาว ท่านซื้อข้าได้หรือไม่ ? ข้าไม่ต้องการเงินท่านเลย ขอแค่มีอาหารให้กินก็พอแล้ว…”
“กู่เหนียง…”
ตอนที่ต่อแถวเข้าเมืองก็มีชาวบ้านที่ประสบภัยไม่น้อยเห็นหลินเว่ยเว่ยอยู่ในชุดใหม่เอี่ยม ผิวพรรณขาวสะอาด ดูราวกับสตรีที่มาจากครอบครัวร่ำรวย พวกเขาจึงเข้ามารุมล้อมทันที
หลิวว่ายจื่อรีบไล่คนพวกนั้นออกไปทันที “ออกไป ออกไปให้หมด ! พวกเราไม่มีของกินแล้วก็ไม่ซื้อคนด้วย ! ”
แม้หลิวว่ายจื่อจะมีรูปร่างผ่ายผอม ทว่าแค่มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นอันธพาลที่ไม่ควรหาเรื่อง เป็นอย่างที่คิดคือชาวบ้านซื่อ ๆ พวกนั้นไม่กล้าเข้ามาอีก ได้แต่ใช้สายตาน่าสงสารมองอยู่ห่าง ๆ เพื่ออ้อนวอนหลินเว่ยเว่ยและเจียงโม่หาน
“ตั้งแต่เมื่อไรที่นอกเมืองมีการขายเด็กเยอะเช่นนี้ ? ” หลินเว่ยเว่ยขมวดคิ้ว
หลิวว่ายจื่อถอนหายใจ “ก่อนฤดูเก็บเกี่ยวก็เป็นเช่นนี้แล้ว ! หมู่บ้านเรายังพอเก็บเกี่ยวได้บ้าง ส่วนหมู่บ้านอื่นแม้แต่เรื่องดื่มน้ำยังกลายเป็นปัญหา ในไร่ยิ่งไม่มีผลผลิตให้เก็บเกี่ยว ทว่าทางการก็ยังบีบให้ชาวบ้านจ่ายภาษี พวกเขาจึงจำใจเอาลูกมาขาย…”
“แม้ในเมืองจะดีกว่าข้างนอกหน่อย แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ใช้ชีวิตกันอย่างลำบากเหมือนกัน ตอนนี้ราคาข้าวสารเพิ่มขึ้นทุกวันและยังไม่แน่ว่าจะหาซื้อได้ด้วย พวกพ่อค้าใจดำก็กักตุนข้าวสารเอาไว้แล้วค่อยปล่อยขายอีกทีตอนราคาสูงขึ้น…เฮ้อ พวกโจรนี่ จงใจไม่เหลือทางรอดให้ราษฎร ! ”
เจียงโม่หานมองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยแววตาเมินเฉย เพราะเหตุการณ์เช่นนี้ในชาติก่อนเขาเคยเผชิญมากับตัว เจ้าเมืองจงโจวกำลังจะเกษียณอายุราชการและเพื่อสร้างความประทับใจให้เจ้านายจึงพยายามปกปิดผลจากภัยแล้งอย่างสุดกำลัง
ในเวลาไม่กี่เดือน บ้านสิบหลังในเมืองจงโจวจะว่างถึงเก้าหลัง มีผู้หิวโหยยาวนับพันลี้ ชาวบ้านที่ประสบภัยต่างโจมตีที่ว่าการอำเภอและที่ว่าการเมือง พวกกบฏจากราชวงศ์ก่อนใช้โอกาสนี้กลับมาสร้างความโกลาหล ทางเหนือจึงเข้าสู่สมรภูมิรบอีกครั้ง…
เจียงโม่หานขมวดคิ้ว ท่ามกลางโลกที่แสนวุ่นวาย สิ่งที่ไม่คุ้มค่ากับเงินที่สุดคือชีวิตมนุษย์ หลังกลับชาติมาเกิดอีกครั้ง ถ้าเขาปล่อยให้ครอบครัวของตนและสหาย…ต้องเผชิญหน้ากับอันตรายหรือได้รับบาดเจ็บ เขาจะไม่ทำให้โอกาสที่สวรรค์มอบให้ครั้งนี้สูญเปล่าหรือ ?
หลินเว่ยเว่ยมองมาทางบัณฑิตหนุ่มด้วยความงุนงง นางชี้ที่จมูกของตนและใบหน้าเต็มไปด้วยคำถาม…มองข้าด้วยเหตุใด ? ข้าทำอันใดให้อีก ?
ตอนต่อไป