“หากบอกว่าน้าของเจ้าเป็นชื่อหลางกรมขุนนาง เจ้าก็เป็นหลานของชื่อหลางโดยไม่ต้องตรวจสอบเลยหรือ ? เช่นนั้นข้าก็กล้าบอกว่าช่างชูแห่งกรมขุนนางเป็นบิดาข้า ! ” ผู้ดูแลเหมาเอ่ยด้วยท่าทางดุดันแต่ภายในใจแสนเปราะบาง
ลู่เหวินจวินหัวเราะจนเผยให้เห็นเขี้ยวของตน “ช่างชูแห่งกรมขุนนางอายุมากกว่าเจ้าแค่สองสามปีเท่านั้น เขาจะมีลูกชายที่โตเช่นเจ้าได้อย่างไร อีกอย่างคือถ้าบิดาเจ้าเป็นช่างชูกรมขุนนาง เขาจะยังปล่อยให้เจ้ามาเป็นบ่าวรับใช้เช่นนี้หรือ ? เจ้าคิดจริงหรือว่าที่นี่ห่างไกลจากราชสำนักแล้วเรื่องจะไม่ลอยไปถึงหูใต้เท้าฉิง ? ”
“เข้าใจผิด ล้วนเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันทั้งนั้น ! ” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ผู้คุ้มกันซึ่งโดนทำร้ายตรงมือขวาไปเชิญเจ้านายของพวกตนมาที่นี่…น้องชายของอนุภรรยาท่านเจ้าเมืองจงโจวนั่นเอง
เขาถลึงตาใส่ผู้ดูแลเหมา จากนั้นก็พูดกับลู่เหวินจวินด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “พี่ชายท่านนี้ บ่าวของข้าเสียมารยาทแล้ว โปรดอภัยให้ด้วย ข้าต้องขออภัยแทนเขา…”
“นายน้อย ท่านลองคิดนะขอรับ หากท่านเป็นเจิ้นหยวนโหว ท่านจะให้ลูกสาวแต่งกับพ่อค้าคนหนึ่งหรือไม่ ? เจ้าเด็กนี่พูดจาเหลวไหล เขาหลอกพวกเราขอรับ ! ท่านอย่าปล่อยให้เขาหลอกง่าย ๆ นะขอรับ ! ” ตาของผู้ดูแลกลอกไปมาขณะพูดแก้ต่างให้ตนเอง
ทันใดนั้นเจียงโม่หานก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “รัชสมัยจิงลี่ปีที่ 36 ฤดูหนาว เจิ้นหยวนโหวนำทัพขึ้นเหนือ หลังถูกศัตรูซุ่มโจมตีแล้วเขาก็หนีไปยังหุบเขาหลิวชางด้วยอาการบาดเจ็บสาหัส กองคาราวานสินค้าตระกูลลู่ผ่านมาแถวนั้นจึงช่วยเจิ้นหยวนโหวที่หมดสติกลับมารักษาอาการบาดเจ็บยังบ้านตระกูลลู่
หลังเจิ้นหยวนโหวกลับมาได้สติอีกครั้งก็หวนคืนสู่กองทัพ ภายใต้แผนที่และข่าวสารจากกองคาราวานตระกูลลู่จึงทำให้เขาสามารถกวาดล้างศัตรูได้ในคราวเดียว สร้างชื่อในสนามรบ แน่นอนว่าบรรดาศักดิ์ ‘เจิ้นหยวนโหว’ ก็ได้รับมาจากผลงานครานี้เอง
เจิ้นหยวนโหวสำนึกบุณคุณที่ตระกูลลู่ช่วยชีวิตไว้จึงให้บุตรีหัวแก้วหัวแหวนแต่งเข้าตระกูลลู่ แน่นอนว่าฮูหยินใหญ่แห่งตระกูลลู่ในเวลานี้ก็คือพี่น้องร่วมสายเลือดกับชื่อหลางกรมขุนนาง ! ”
ผู้ดูแลเหมามีความตื่นตระหนกในแววตาพลางเอ่ยเยี่ยงสุนัขจนตรอก “จะ…เจ้าเป็นพวกเดียวกันต้องเข้าข้างเขาอยู่แล้วสิ”
“ข้าคือบัณฑิตแห่งสำนักศึกษาเหวินหยวน บัณฑิตถงเซิงแห่งรัชสมัยหยวนถ่งปีที่เก้า…” บัณฑิตหนุ่มใช้สายตามองผู้ดูแลเหมาอย่างดูแคลน
สายตาหยิ่งผยองของผู้ดูแลเหมา ทำให้คนมองรู้สึกอยากทุบตีสักยก ส่วนความเย่อหยิ่งของบัณฑิตหนุ่มมองเช่นไรก็สบายตา ! หลินเว่ยเว่ยแทบเผลอปรบมือให้เขา !
‘น้องชายฮูหยิน’ เจ้าเมือง เห็นเจียงโม่หานเป็นบัณฑิตถงเซิงตั้งแต่เยาว์วัยจึงคิดว่าอนาคตจะต้องสดใสแน่อน เขาจึงไม่กล้าดูถูกแล้วรีบบอกผู้คุ้มกันที่อยู่ด้านข้างว่า “ยังไม่รีบพาเจ้าบ่าวคนนี้ออกไปอีก ! คุณชายลู่ บัณฑิตถงเซิง ท่านเป็นคนใจกว้างคงไม่ถือสาผู้น้อยกระมัง อย่าถือสาบ่าวตาต่ำคนนั้นเลยขอรับ…”
“ข้าคิดไว้แล้ว ! ญาติของท่านเจ้าเมืองจะมาวางอำนาจข่มเหงชาวบ้านตรงท่าเรือได้อย่างไร ? ที่แท้บ่าวคนนั้นก็อาศัยบารมีนาย ! ผู้ดูแลหลิว เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไม่ต้องรายงานให้คุณชายหนิงรับทราบหรอก ! ” หลินเว่ยเว่ยก็ทำตัวเป็นสุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือเช่นกัน
“เดิมทีก็เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันอยู่แล้ว เรื่องเล็กเช่นนี้ไม่ต้องให้ถึงเจ้านายจนเป็นกังวลหรอก ! ” ทันใดนั้นคลื่นสมองของหลิวว่ายจื่อก็สอดคล้องกับหลินเว่ยเว่ยอย่างน่าประหลาด หลินเว่ยเว่ยหันไปส่งสายตาชื่นชมเขา ส่วนหลิวว่ายจื่อก็ฉีกยิ้มกว้าง…การเสแสร้งหรือหลอกคนเพื่อเอาเงินก็เป็นความสามารถเดิมของเขาอยู่แล้ว !
ทันใดนั้น ‘น้องชายฮูหยิน’ เจ้าเมืองก็ถามด้วยความระมัดระวัง “ขอถามกู่เหนียง คุณชายหนิงที่ท่านกล่าวถึงคือคุณชายหนิงแห่งจวนหยงหนิงโหวเมืองเหอโจวใช่หรือไม่ ? ”
“ถูกต้อง ! ” หลินเว่ยเว่ยเชิดคางขึ้นพร้อมเผยแววตาแสนภาคภูมิใจออกมาเล็กน้อย
หยงหนิงโหวแห่งเมืองเหอโจวเป็นอีกบุคคลที่ท่านเจ้าเมืองจะผิดใจด้วยไม่ได้ ทันใดนั้น ‘น้องชายฮูหยิน’ ของท่านเจ้าเมืองก็ดูอ่อนน้อมขึ้นมาทันที เขากล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ที่แท้กู่เหนียงก็เป็นคนของคุณชายหนิง…เป็นข้าที่มีตาแต่ไร้แวว อบรมสั่งสอนบ่าวไม่ดีจึงล่วงเกินกู่เหนียงและคุณชายทั้งสองแล้ว…”
น้องชายของอนุท่านเจ้าเมืองกัดฟันกรอด ‘บ่าวไม่มีตา ! เกือบสร้างหายนะให้ข้าแล้ว เจิ้นหยวนโหว ชื่อหลางกรมขุนนางและหยงหนิงโหว มีผู้ใดบ้างที่ข้าจะผิดใจด้วยได้ ? ’ หากมีเรื่องกับพวกเขา แม้แต่พี่เขยซึ่งเป็นเจ้าเมืองก็ช่วยไม่ไหวหรอก…โชคยังดีที่เขาโยนความผิดทุกอย่างไปที่บ่าวหน้าโง่ ไม่อย่างนั้นหายนะได้มาถึงตัวเขาแน่ !
หลังส่งน้องชายอนุท่านเจ้าเมืองออกไปแล้ว ลู่เหวินจวินก็หันมามองหลินเว่ยเว่ยแล้วกล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “ที่แท้กู่เหนียงก็เป็นคนของตระกูลหนิง…”
“ต้องให้คุณชายหัวเราะแล้ว ข้าแค่รู้จักกับคุณชายคนหนึ่งของตระกูลหนิงเท่านั้น ที่ข้าพูดไปเช่นนั้นเพราะกลัวว่าหลังจากคุณชายลู่กลับไปแล้ว คนร้ายจะถือโอกาสกลับมาโจมตีซ้ำ ! ” ในยุคนี้หากไม่มีอำนาจหนุนหลังก็ได้แต่ปล่อยให้ผู้อื่นทุบตีตามใจชอบเท่านั้น !
ลู่เหวินจวินพยักหน้าด้วยความเข้าใจ หลังหยิบแผ่นป้ายห้อยเอวชิ้นหนึ่งออกมาแล้วก็ยื่นให้หลินเว่ยเว่ย “กู่เหนียงยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือข้าหลายครา ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก หากวันหน้ากู่เหนียงมีเรื่องอันใดก็สามารถแสดงป้ายนี้เพื่อขอความช่วยเหลือจากร้านเครื่องเคลือบตระกูลลู่สาขาใดก็ได้ หากเป็นเรื่องที่ทำได้จะต้องช่วยเหลือท่านแน่นอน”
ขอแค่ไม่ใช้ร่างกายตอบแทน หลินเว่ยเว่ยก็ยินดีรับไว้หมด หลังปฏิเสธไม่กี่คำแล้ว นางก็รับป้ายนั้นมาถือไว้อย่าง ‘จำยอม’ ตระกูลลู่ทำการค้าหลวงและยังมีภูมิหลังทรงอำนาจ ไม่แน่ว่าอาจมีสักวันที่มันจะเป็นประโยชน์ต่อนาง เมื่ออีกฝ่ายปฏิบัติด้วยใจจริง หากนางยังปฏิเสธต่อไปก็คงดูดัดจริตเกินทน !
ลู่เหวินจวินเก็บสัญญาฝั่งตนเรียบร้อย จากนั้นก็จ้างคนมาขนถ่ายสินค้าลงจากเรือ ผู้ดูแลจางไม่ทราบเรื่องในอดีตจึงอดไม่ได้ที่จะเตือนเขา “คุณชายรอง ท่านมอบป้ายแสดงฐานะออกไปเช่นนั้น มันจะไม่ดูเกินไปหน่อยหรือขอรับ ! ”
ไม่ทันให้เจ้านายได้กล่าว ชิงเฟิงก็เล่าว่ากู่เหนียงคนนั้นเคยช่วยคุณชายรองไว้อย่างไร คุณชายจะใช้ร่างกายตอบแทนเช่นไร หรือนางปฏิเสธอย่างไรล้วนเผยออกมาหมดราวกับเทเมล็ดถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่
ลู่เหวินจวินใช้พัดเคาะศีรษะเขาทันที “คุณชายของเจ้าไม่เหลือศักดิ์ศรีแล้วกระมัง ? ข้าโดนปฏิเสธ แต่เจ้ายังดีใจเช่นนี้อีกหรือ ? ”
ผู้ดูแลจางลูบคางแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นกู่เหนียงก็มีชาติกำเนิดธรรมดา แต่เมื่อเผชิญหน้ากับคุณชายรองที่มีฐานะสูงส่ง รูปโฉมหล่อเหลาหรือเป็นทางเลือกแรกที่ควรเลือกเป็นสามี นางกลับพยายามตีตัวออกห่าง อืม ถือว่าเป็นคนน่าสนใจคนหนึ่ง ! ”
ลู่เหวินจวินเอ่ยด้วยความปวดใจทันที “ข้างกายนางมีบัณฑิตถงเซิงผู้โดดเด่นเช่นนั้นอยู่ หากนางไม่หันมาชอบข้าก็ถือเป็นเรื่องปกติ…”
ชิงเฟิงรีบทวงความยุติธรรมแทนคุณชายทันที “คุณชายรอง เหตุใดท่านจึงดูถูกตนเองเช่นนี้ขอรับ ? ในเมืองหลวงมีสตรีคนใดที่ไม่อยากต่อแถวแต่งงานกับท่าน นางก็แค่เด็กสาวบ้านนอก วิสัยทัศน์ตื้นเขิน ให้มาเป็นอนุของท่านยังไม่คู่ควรเลย…ถ้าตอนนั้นนางทราบฐานะของท่านจะต้องร้องไห้อ้อนวอนให้ท่านรับผิดชอบแน่นอน ! ”
“วันนี้นางก็รู้ฐานะของข้าแล้วไม่ใช่หรือ ? ” ไม่เห็นจะมาร้องไห้อ้อนวอนขอให้ข้ารับผิดชอบ ? เฮ้อ ไม่ให้ข้ารับผิดชอบ ข้าก็ควรจะดีใจ แล้วเหตุใดข้าจึงรู้สึกผิดหวังขึ้นมา ? แปลกจริง ! หรือว่าตอนตกจากอาคารเมื่อครั้งก่อน สมองของข้าจะมีปัญหา ?
ชิงเฟิงยังพูดไม่หยุด “คุณชายรองขอรับ บ่าวคิดเช่นเดียวกับผู้ดูแลจาง คิดว่าการที่ท่านมอบป้ายให้นางนั้นเกินไปจริง ๆ ถ้านางนำป้ายไปขอเงินจากร้านค้า หากขอเป็นพันเป็นหมื่นแล้วนายท่านรู้เข้าจะไม่ว่าคุณชายไร้ความสามารถทำแต่เรื่องล้มเหลวอีกหรือขอรับ”
ลู่เหวินจวินไม่สบอารมณ์ต่อถ้อยคำที่จู้จี้ของอีกฝ่ายจึงใช้สันพัดเคาะศีรษะชิงเฟิงอีกสองสามที “ชีวิตของข้าไม่คุ้มค่ากับเงินหลักพันหลักหมื่นอย่างนั้นหรือ ? ”
ตอนต่อไป