พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – บทที่ 1916 อ๋องสวรรค์องอาจ

บทที่ 1916 อ๋องสวรรค์องอาจ

เดิมทีลิ่งหูโต้วจ้งก็รำคาญใจอยู่แล้ว ผู้หญิงคนนี้ยังจะเข้ามาประสมโรงอีก เขาย่อมทนรำคาญไม่ค่อยไหว พอติดต่อได้ก็ถามไปตรงๆ เลยว่า : มีเรื่องอะไร?

เส้าเซียงหัวเล่าเจตนาที่ติดต่อมาให้ฟังคร่าวๆ นางกลัวว่าลิ่งหูโต้วจ้งจะตำหนิ จึงเน้นว่า : นี่เป็นเพียงความเห็นของข้าเท่านั้น

ลิ่งหูโต้วจ้งกลับฟังจนอึ้ง สมองที่คิดวุ่นวายสับสนราวกับคนพบแสงสว่างท่ามกลางความมืด อดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจ : ท่านน้าซ่งหยวนเต๋อของเจ้าคนนั้นมีความคิดแบบนี้เหรอ? เขาพูดกับเจ้าอย่างนี้จริงๆ เหรอ?

พอได้ยินแบบนี้ ทั้งสองเป็นสามีภรรยามาหลายปีมีหรือที่จะไม่เข้าใจกัน เส้าเซียงหัวสังเกตได้ทันทีว่าเหมือนสิ่งนี้จะมีประโยชน์กับสามีแล้วจริงๆ นางตอบว่า : เขาจะมีประสบการณ์ความรู้เสียที่ไหน แค่คุยกันเรื่องนี้แล้วเอ่ยถึงก็เท่านั้นเอง เขาจะสื่อว่ามีหลายหนทาง ถ้าทางนี้ไม่ผ่านก็ลองทางอื่น นี่คือตรรกะของเขา

ลิ่งหูโต้วจ้งกลับสนใจ ถามว่า : เขาไม่ได้บอกรรายละเอียดเหรอว่าต้องทำยังไง?

เส้าเซียงหัว : ข้าถามแล้ว เขาตอบว่าเขาจะไปรู้ได้ยังไง ก็แค่แนะนำด้วยความหวังดี พูดตรงๆ ก็คือกลัวว่าตระกูลเราจะล้มแล้วตอนหลังไม่มีที่ให้ขอเงิน ความคิดของเขาก็เหมือนที่ข้าเพิ่งบอกไป มีหลายทางวางอยู่ข้างหน้า ถ้าทางนี้ไม่ผ่านก็ไปทางอื่น เป็นวิธีการที่โง่สุดๆ ไปเลย ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่ท่านจอมพลคิดหรอก…ฟังจากที่ท่านจอมพลพูด อย่าบอกนะว่าความเห็นของท่านน้ามีประโยชน์?

ลิ่งหูโต้วจ้งคิดไปคิดมาก็เห็นด้วย ถ้าเจ้าคนระยำอย่างซ่งหยวนเต๋อสามารถชี้แนะชาติบ้านเมืองได้ นั่นต่างหากที่แปลก เขากดเรื่องนี้ไว้ก่อน สั่งนางว่า : เจ้ายังไม่ต้องสนใจว่ามีประโยชน์หรือเปล่า จัดการเรื่องในบ้านให้ดีก่อน เตรียมตัวย้ายหนีให้พร้อมทุกเมื่อ เข้าใจมั้ย?

เส้าเซียงหัว : เข้าใจแล้ว ท่านจอมพล ท่านระวังตัวเองด้วย

หลังจากทั้งสองติดต่อกันเสร็จแล้ว ลิ่งหูโต้วจ้งก็แววตาวูบไหวไม่หยุด ในใจเริ่มวางแผนแล้ว ไปขอพึ่งพาตำหนักนารีสวรรค์ แดนรัตติกาล…

ตอนยังไม่คิดถึงด้านนี้ก็ยังเฉยๆ แต่พอครุ่นคิดแล้ว ก็พบว่าน่าสนใจจริงๆ

ระดับของเขาไม่ธรรมดา ความเข้าใจต่อสถานการณ์ภาพรวมของใต้หล้าก็ย่อมไม่ธรรมดา รู้ว่าอะไรทำได้อะไรทำไม่ได้ ถ้าอิ๋งจิ่วกวงแพ้แล้ว ถ้าตัวเองไปขอพึ่งพาประมุขชิงโดยตรง ต่อให้ประมุขชิงจะหวั่นไหวกับคำขอนี้ แต่เกรงว่าประมุขชิงอาจจะไม่รับไว้ก็ได้ แต่ถ้าไปขอพึ่งพาตำหนักนารีสวรรค์ แบบนั้นก็ค่อนข้างน่าสนใจแล้ว เกรงว่าจะยั่วให้ประมุขชิงคิดมาก

พอลองคิดแบบนี้ แม้แต่ลิ่งหูโต้วจ้งเองก็ยังรู้สึกขำ ก่อนหน้านี้ตัวเองคำนวณไปคำนวณมาอยู่หลายเส้นทาง มีเพียงที่เดียวที่ไม่ได้คิดถึงก็คือแดนรัตติกาล ประเด็นก็คือเส้นทางนั้นไม่นับว่าเปป็นเส้นทางอะไร ทางแคบเกินไป แคบจนวางอยู่ข้างหน้าแล้วแทบมองไม่เห็น แต่เจ้าคนไม่เอาถ่านอย่างซ่งหยวนเต๋อดันใช้วิธีการโง่เง่าชี้เส้นทางเล็กๆ นี้แล้ว แม้เส้นทางจะเล็ก แต่พอลองย่ำเท้าก็เหมือนจะเข้าไปได้เช่นกัน

ในใจใคร่ครวญวางแผนอย่างรวดเร็ว ถ้ายังไม่ถึงคราวจนตรอก ก็ยังเดินเส้นทางนี้ไม่ได้ มีแต่ต้องหมดหนทางเดินเท่านั้นถึงจะทดลองไป

เมื่อเจอทางหนีทีไล่แล้ว คนก็มีความกระปรี้กระเปร่าแล้วเช่นกัน กวาดความรู้สึกกังวลหายไปหมด เขาหันหลังไปกวักมือเรียก “เร็วเข้า! เร็วอีกหน่อย!”

จุดที่ต่อสู้กัน เสียงฆ่าดังสะเทือนฟ้า หมอกเลือดลอยกระเพื่อมอยู่ในดาราจักร ราวกับเป็นดอกไม้เบ่งบานอยู่ในอากาศ ดอกไม้บานสองดอก

โพ่จวินกับอู๋ฉวี่นำกำลังพลโจมตีทางฝั่งซ้ายและขวา เดิมทีรอให้กำลังพลสายหนึ่งถ่วงกำลังหลักเอาไว้ แล้วให้อีกสายโจมตีเข้ารังอิ๋งจิ่วกวงโดยตรง รีบรบรีบจบแล้วกำจัดอิ๋งจิ่วกวงทิ้ง แต่ใครจะคิดว่าอิ๋งจิ่วกวงกลับแบ่งกำลังเป็นสองสายมาดักทำศึกเลือดกับพวกเขา

สงฉีที่อยู่ในทัพกลางกำลังโบกกระบี่บัญชาการ ตะโกนจนคอแทบแตกแล้ว ในใจซ่อนความเศร้าคับแค้นเอาไว้ สถานการณ์ทั้งหมดตรงหน้า มีเพียงผู้บัญชาการอย่างเขาที่รู้แจ่มชัดที่สุด กองทัพองครักษ์สมกับเป็นองครักษ์ของประมุขชิง เป็นสุดยอดของกำลังพลในใต้หล้าจริงๆ และในกำลังพลที่กำลังโจมตีชุดนี้ คาดว่าคงเลือกมาแต่คนเก่งๆ

พูดถึงกำลังรบก็สู้กองทัพองครักษ์ไม่ได้ พูดถึงอาวุธก็สู้กองทัพองครักษ์ไม่ได้ ถ้าพูดถึงจำนวนกำลังพล กองทัพองครักษ์ก็มีมากกว่าเกือบครึ่ง เขามีกำลังพลประมาณหนึ่งร้อยล้านเท่านั้น ถ้านับกำลังพลฝั่งอู๋ฉวี่แบบหยาบๆ คาดว่ามีประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบล้าน ยอดฝีมือนักรบที่รวมตัวกันก็มีมาก ไม่ว่าจะเป็นด้านไหน ก็สามารถโจมตีบดขยี้ฝั่งนี้ได้ทั้งนั้น ฝั่งนี้เสียหายหนักมากจริงๆ

เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่ว่าจะอย่างไร สงฉีก็ไม่เชื่อว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน เตรียมตัวได้ละเอียดแม่นยำขนาดนี้ เห็นได้ชัดว่าประมุขชิงวางแผนมานานแล้ว

“ผู้ตรวจการขวา ท่านอ๋องมาแล้ว!” แม่ทัพใหญ่ข้างกายพลันตะโกนบอกอย่างดีใจ

สงฉีหันกลับมามอง เห็นเพียงอิ๋งจิ่วกวงสวมเกราะรบของอ๋องสวรรค์อย่างที่ไม่เคยเห็นมานานแล้ว ข้างหลังมีกำลังพลเกือบสิบล้านที่เทรังออกมาจนหมด อิ๋งจิ่วกวงพุ่งนำอยู่ข้างหน้าสุด

สงฉีตะโกนเสียงดังทันที “พี่น้องทั้งหลาย ท่านอ๋องสวมเกราะรบลงสนามมาช่วยพวกเราเอง สังหาร!” ขณะที่พูดก็ส่งสัญญาณมือให้โจมตี

บรรดาแม่ทัพสบตากันแวบหนึ่ง แล้วร่ายอิทธิฤทธิ์ตะโกนเสียงดังทันที “พี่น้องทั้งหลาย ท่านอ๋องสวมเกราะรบลงสนามมาช่วยพวกเราแล้ว ฆ่าเลย!”

“พี่น้องทั้งหลาย ท่านอ๋องสวมเกราะรบลงสนามมาช่วยพวกเราแล้ว ฆ่าเลย!”

เสียงตะโกนที่ดังต่อเนื่องเป็นระลอกเดือดพล่านอยู่ในทัพตะวันออก คนมากมายหันกลับไปมอง พบว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ทำให้ขวัญกำลังใจทหารขึ้นสูงพรวดทันที

นี่เป็นการสู้ตายกับกองทัพองครักษ์ มีคนไม่น้อยอดไม่ได้ที่จะสงสัย ว่าทำไมประมุขชิงกล้าทำอย่างนี้ หรือว่าท่านอ๋องมีแนวโน้มว่าจะแพ้แล้วจริงๆ ตอนนี้พอเห็นอิ๋งจิ่วกวงโผล่หน้ามาแล้ว เห็นว่าไม่ได้ทอดทิ้งพวกเขา ทุกคนจึงมีความมั่นใจทันที ท่านอ๋องลงสนามรบด้วยตัวเอง ไม่ได้หนีไป หมายความว่าท่านอ๋องยังมีความมั่นใจ

สิ่งที่ปลุกใจคนยิ่งกว่านั้นก็คือ อ๋องสวรรค์อิ๋งลงสนามรบด้วยตัวเอง ขวัญกำลังใจที่นำมาสู่ทุกคนนั้นบรรยายเป็นคำพูดได้ยาก!

พอขวัญกำลังใจทหารเพิ่มขึ้น กำลังพลทัพตะวันออกที่ทรมานอยู่ท่ามกลางการใช้กำลังน้อยต่อต้านกำลังมากก็แข็งใจโจมตีตอบโต้ทันที สร้างความปั่นป่วนให้กองทัพองครักษ์ไม่น้อยเลย

อิ๋งจิ่วกวงนำกำลังพลเหาะเข้ามาด้วยสายตาเย็นเยียบ แต่ในใจกลับขื่นขม ทำศึกจนถึงขั้นต้องให้อ๋องสวรรค์อย่างเขาลงสนามด้วยตัวเอง ความร้อนหนาวนี้มีเพียงตัวเองที่รู้

เขาไม่อยากให้ทหารของตัวเองใช้กำลังปะทะแบบนี้ เขาสามารถนำทหารหนีไปก่อนได้เลย รอให้กำลังหนุนมาถึงก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่เขาก็ไม่อาจถอยได้ ทัพตะวันออกมีคนมากมายทรยศเขา แค่คิดก็รู้แล้วว่าขวัญกำลังใจทหารเป็นอย่างไร พอเขาถอยเมื่อไร ลิ่งหูโต้วจ้งจะผูกมัดกำลังพลสายขาลได้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย ถ้าเขาถอยไป ฝั่งลิ่งหูโต้วจ้งอาจจะกระจัดกระจายทันที ดีไม่ดีลิ่งหูโต้วจ้งอาจจะโดนสถานการณ์บีบให้ก่อกบฏก็ได้

สิ่งที่เรียกว่าควบคุมการใช้ระฆังดารา สามารถควบคุมเบื้องล่างได้ แต่ก็ควบคุมคนเบื้องบนไม่ได้ กำลังพลมากมายขนาดนี้ มีหรือที่จะควบคุมได้ทั้งหมด โดยเฉพาะในช่วงเวลาใจที่ใจคนไม่หนักแน่นแบบนี้ ถ้าเขาเผชิญการกดดันจากกองทัพองครักษ์แล้วนำคนถอนกำลังไป ในสายตาคนอื่นอาจจะเป็นการหนี คนจะนึกว่าเขากลัว ถ้าแม้แต่ทหารของเขาเองยังไม่กล้าสู้ ตอนหลังกำลังพลหน่วยอื่นจะคิดอย่างไรล่ะ

ไม่ใช่ว่าเขาถอนกำลังไม่ได้ แต่ถ้ายังไม่ถึงคราวจนตรอก เขาก็จะไม่ถอนกำลัง ถ้าเขาถอนกำลังเมื่อไร ความพยายามในหลายปีของเขาก็จะจบเห่แล้ว

กำลังพลสายชวดกับสายฉลูทรยศเขาแล้ว ถ้ากำลังพลสายขาลกระจัดกระจายอีก แค่คิดก็รู้แล้วว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร เอาเป็นว่าในเวลาแบบนี้ อิ๋งจิ่วกวงจะแสดงความอ่อนแอไม่ได้เด็ดขาด!

ที่จริงเขาสามารถปรากฏตัวได้ตั้งนานแล้ว เพียงแต่เขากำลังรอ รอให้กำลังพลฝั่งนี้ต่อสู้กันก่อน ไม่อย่างนั้นการโจมตีจากธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนมากของกองทัพองครักษ์ก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เช่นกัน

พออิ๋งจิ่วกวงปรากฏตัว อู๋ฉวี่ก็ส่งต่ออำนาจบัญชาการให้รองแม่ทัพทันที รีบคว้าระฆังดาราติดต่อกับโพ่จวิน

บนสนามรบฝั่งตะวันออก พอโพ่จวินได้รู้ข่าว ก็ส่งต่ออำนาจบัญชาการให้รองแม่ทัพเช่นกัน เขาดึงกำลังพลเกรียงไกรสิบล้านออกจากสนามรบที่กำลังปะทะกันเสียเลย สังหารฝ่าออกมาจากทัพที่วุ่นวายภายใต้การช่วยเหลือจากทัพใหญ่ แล้วตามไปทางสนามรบฝั่งตะวันตกอย่างรวดเร็ว

ผู้ตรวจการซ้ายเฉาหยินที่บัญชาการทัพใหญ่เห็นสถานการณ์ดังนั้น ก็ตะโกนเสียงดังทันที “โพ่จวินหนีไปแล้ว! อ๋องสวรรค์สวมเกราะรบลงสนามเองอยู่ทางตะวันตก ทำให้อู๋ฉวี่ตกอยู่ในอันตรายแล้ว โพ่จวินกำลังตามไปช่วย อ๋องสวรรค์องอาจผ่าเผย!”

กำลังพลเบื้องล่างตะโกนเสียงดังต่อเนื่องเป็นระลอก “โพ่จวินหนีไปแล้ว! อ๋องสวรรค์สวมเกราะรบลงสนามเองอยู่ทางตะวันตก ทำให้อู๋ฉวี่ตกอยู่ในอันตรายแล้ว โพ่จวินกำลังตามไปช่วย อ๋องสวรรค์องอาจผ่าเผย!”

ที่จริงทุกคนก็ได้เห็นแล้วว่าโพ่จวินนำกำลังพลหนีออกไป กำลังพลกองทัพองครักษ์ตกใจทันที ส่วนกำลังพลทัพตะวันออกกลับมีขวัญกำลังใจมากขึ้น โจมตีโต้ตอบอย่างแข็งกร้าว

รองแม่ทัพที่รับอำนาจบัญชาการต่อจากโพ่จวินตะโกนบอกทันที “ถ้าจะตามไปช่วย มีหรือที่จะเอาคนไปน้อยขนาดนั้น อิ๋งจิ่วกวงถูกกำลังทหารฝ่ายเราล้อมไว้แล้ว นายท่านหน่วยองครักษ์ซ้ายกำลังไปช่วยนายท่านหน่วยองครักษ์ขวาเอาชีวิตอิ๋งจิ่วกวงแล้ว!”

ลูกน้องตะโกนเสียงดังตามทันที “ถ้าจะตามไปช่วย มีหรือที่จะเอาคนไปน้อยขนาดนั้น อิ๋งจิ่วกวงถูกกำลังทหารฝ่ายเราล้อมไว้แล้ว นายท่านหน่วยองครักษ์ซ้ายกำลังไปช่วยนายท่านหน่วยองครักษ์ขวาเอาชีวิตอิ๋งจิ่วกวงแล้ว!”

บนสนามรบ ขวัญกำลังใจทหารต้องมาก่อน ถ้าขวัญกำลังใจทหารพังเมื่อไร ก็จะเกิดสถานการณ์ทัพถูกตีพ่ายเหมือนภูเขาพังทลาย นี่ไม่ใช่เรื่องที่ยอดฝีมือสองสามคนจะประคับประคองไหวเลย ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงใช้อุบายใส่กันไปมา ล้วนทำไปเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจหทารฝ่ายตัวเองและดับขวัญกำลังใจทหารฝ่ายตรงข้าม

สนามรบฝั่งตะวันตก อิ๋งจิ่วกวงที่พุ่งไปทางสนามรบพลันส่งเสียงคำรามสั่นสะเทือน “ฆ่า!”

ยอดฝีมือข้างหลังล้อมพิทักษ์ทั้งบนล่างซ้ายขวาราวกับกระบวนทัพรูปลิ่มทันที ด้านหลังมีทัพใหญ่ แทงเข้าไปในขบวนรบฝ่ายตรงข้ามอย่างดุดันราวกับดาบคม

ไม่น่าเชื่อว่าอิ๋งจิ่วกวงจะไม่ใช่อาวุธอะไรเลย บุกโจมตีอยู่ข้างหน้าด้วยมือเปล่า แต่กลับเหมือนเข้าไปในดินแดนที่ไร้คน จุดที่เขาไปถึงล้มระเนระนาด ดาบทวนสังหารเข้ามา ถ้าไม่ถูกแขนที่หุ้มเกราะของเขาปัดออกโดยตรง ก็ถูกเขาคว้าหลังดาบแล้วกระทุ้งด้ามดาบกลับเข้าไป ชนจนผู้ที่เข้ามากระอักเลือดกระเด็นออกไป

คนฝ่ายตัวเองที่เกะกะขวางทางก็ถูกสะบัดมือปัดออกไปเช่นกัน ลงมือเร็วมาก ดุดันมั่นคงแม่นยำ ชั่วพบหน้ากันแทบจะไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของเขาเลย

เขาไม่ได้ตั้งใจจะฆ่าคน คนที่เข้ามาล้วนถูกเขาโจมตีจนโซเซ กำลังพลที่จัดขบวนทัพรูปลิ่มตามหลังมาฉวยโอกาสป้อนดาบซ้ำทันที

ทัพใหญ่ที่อยู่ข้างหลังตามจังหวะการเข่นฆ่าของเขาไม่ทัน กระจายกันเข้าไปเข่นฆ่าในทัพใหญ่ที่กำลังตะลุมบอนกันแล้ว มีเพียงยอดฝีมือหนึ่งพันที่ตามติดข้างหลังอิ๋งจิ่วกวง อนุภรรยาหลายร้อยของอิ๋งจิ่วกวงยังไม่ปรากฏตัว

แม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ในทัพใหญ่ที่กำลังวุ่นวายก็ไม่มีใครต้านกำลังพลกลุ่มเล็กของอิ๋งจิ่วกวงได้เลย ราวกับฝ่าคลื่นฟันคลื่น ฝ่ายตรงข้ามโดนอิ๋งจิ่วกวงสังหารจนเกิดทางเลือด

จุดที่เส้นทางเลือดมุ่งไปก็คือตรงกลางกองทัพองครักษ์ อิ๋งจิ่วกวงนำคนเข้าไปสังหารอู๋ฉวี่โดยตรง เจตนาก็ชัดเจนมาก พอลงสนามมาก็จะประหารแม่ทัพและแย่งธงเลย

เมื่อเห็นอ๋องสวรรค์อิ๋งอาจหาญดุจเทพ โลดแล่นอยู่กลางทัพใหญ่นับร้อยล้านอย่างอิสระ ไม่มีใครขวางได้ คนกองทัพองครักษ์ที่พุ่งรับหวาดผวา ล้วนถอยไปสองฝั่ง ไม่มีใครกล้าสัมผัสคมดาบ ฝั่งทัพตะวันออกมีขวัญกำลังใจฮึกเหิม สงฉีถอืโอกาสตะโกนเสียงดัง “อ๋องสวรรค์องอาจ!”

“อ๋องสวรรค์องอาจ!” ทัพใหญ่ทยอยกันขานรับ

อู๋ฉว่พลิกมือเก็บระฆังดารา มองอิ๋งจิ่วกวงที่สังหารเข้ามาด้วยใบหน้าเย้ยหยัน ไม่กลัวอิ๋งจิ่วกวงปรากฏตัว กลัวก็แต่อิ๋งจิ่วกวงจะหนีไป!

“หลีกไป!” อู๋ฉวี่ตะคอกสั่ง ให้ฝั่งซ้ายขวาถอยหลีกไปเล็กน้อย แล้วพลิกมือคว้าธนูคันหนึ่งไว้ในมือ แล้วขยับแขนด้วยความเร็วจนหลายคนมองเห็นไม่ถนัด รอจนกระทั่งทุกคนเห็นความเคลื่อนไหวชัดเจน อู๋ฉวี่ก็ง้างสายธนูไว้ในมือแล้ว ลูกธนูสามดอกง้างอยู่บนสายธนู

ลำแสงที่ไหลเวียนอยู่บนสายธนูก็ย่อมไม่ต้องพูดถึง บนลูกธนูยาวสามดอก ดอกหนึ่งมีแสงดำสายหนึ่งหนึ่งหมุนวนขึ้นไปตามด้ามลูกธนู ดอกหนึ่งมีแสงสีแดงหมุนวนขึ้นไปตามด้ามลูกธนู ดอกหนึ่งมีแสงสีทองหมุนวนขึ้นไปตามด้ามลูกธนู บนด้ามลูกธนูล้วนปรากฏลายมังกร ราวกับกำลังคำรามดิ้นรนออกจากกรง

…………………

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา!

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’

เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น

เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง

ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง!

หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน

แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด

ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท