แข่งขัน ? ก็ไม่ใช่เพราะเจ้ามอบสูตรขนม 10 สูตรแก่ร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้ภายในชั่วอึดใจเดียวหรอกหรือ ? ยังให้สิทธิ์พิเศษในการขายเมล็ดสนปากอ้ากับทางร้านอีก ไม่อย่างนั้นร้านขายขนมและผลไม้อบอู๋จี้ที่เปิดมากว่า 20 ปีแห่งเขตเริ่นอันนี้คงไม่มีกิจการทรุดโทรมจนปิดตัวหรอก
“ดูถูกเจ้าแล้ว ! เดิมทีข้าหลงคิดว่าถ้ามีใครมาผิดใจด้วย เจ้าจะเอาหูไปนาเอาตาไปไร่และยอมให้อภัย คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะเล่นลูกไม้เป็นเหมือนกัน…สมองเท่าเมล็ดแตงโมของเจ้าใช้งานได้ดีตั้งแต่เมื่อไร ? ” เจียงโม่หานอารมณ์ดีใช้ได้ เขาใช้สันพัดในมือเคาะใส่ศีรษะนางเบา ๆ
“สมองเท่าเมล็ดแตงโมของข้าใช้งานได้ดีมาโดยตลอด ! ” หลินเว่ยเว่ยเห็นเจียงโม่หานเลิกคิ้วมองมาอย่างสนุกสนาน นางจึงพูดเสริมอีกหน่อย “อย่าพึ่งไม่เชื่อ ! เมื่อก่อนเบื้องบนอิจฉาในสติปัญญาของข้า จึงจงใจผนึกความฉลาดของข้าเอาไว้ พอข้าตกน้ำแล้วผนึกนั้นก็ถูกเปิดออก สติปัญญาและความฉลาดจึงไม่อาจปิดบังไว้อีกต่อไป…”
เจียงโม่หานได้แต่คิดในใจว่า ‘ข้าเชื่อเจ้าก็บ้าแล้ว ! ’
เขาครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวว่า “ช่วงนี้เจ้าซื้อเมล็ดสนไว้เยอะจนแทบไม่มีที่เก็บ ทว่ามีตระกูลหนิงเป็นหุ้นส่วนเพียงร้านเดียว ไม่ทราบว่าหลินกู่เหนียงผู้ชาญฉลาดคิดวางไข่ลงในตะกร้าหลายใบ1หรือไม่ ? ”
“เจ้าเห็นว่าบ้านเรามีเมล็ดสนกองอยู่กว่าพันชั่งแล้วจะขายไม่ออกจนต้องค้างอยู่ในมือสิท่า เป็นห่วงข้าก็บอกมาตามตรงเถิด พูดวกไปวนมาเพื่อสิ่งใด ? ไป ! ประเดี๋ยวพี่จะพาน้องไปหาตลาดใหม่ ! ” หลินเว่ยเว่ยโบกมือแล้วเดินทางไปยังท่าเรืออย่างเย่อหยิ่ง
เฮอะ ! ใครเป็น ‘บ้านเรา’ กับเจ้า ? แล้วใครเป็นห่วงเจ้า ? เจ้าเป็นพี่ใคร ? เจียงโม่หานเดินตามเด็กตัวแสบอย่างหมดถ้อยคำที่จะเอ่ย…มีสตรีบ้านใดเดินเร็วและก้าวขายาวเช่นนั้นบ้าง ? ตัวเขาแทบจะตามไม่ทัน นางยังใส่กระโปรงอยู่ด้วย ถ้าไม่ใส่กระโปรงก็ไม่ลอยขึ้นฟ้าไปเลยหรือ ?
เมื่อมาถึงโกดังตรงท่าเรือแล้วก็จะเห็นชายหนุ่มยืดคอเป็นยีราฟคล้ายกำลังรอคอยด้วยใจจดจ่ออยู่หน้าโกดัง
ลู่เหวินจวินเห็นหลินเว่ยเว่ยแล้วใบหน้าของเขาก็เปื้อนยิ้มพร้อมรีบสาวเท้าเข้ามาต้อนรับทันที “กู่เหนียง ข้าคิดว่าวันนี้ท่านจะไม่เข้ามาแล้วเสียอีก ! ”
ทว่าหลิวว่ายจื่อก็เข้ามาขวางทางไว้ก่อนพร้อมแสร้งถือสมุดบัญชีไว้ในมือด้วยท่าทางจริงจัง จากนั้นก็กล่าวว่า “คุณชาย ในเมื่อนางหนูรองของพวกเราอนุญาตให้ท่านตั้งแต่ตอนแรกว่าถ้าเกินกว่าระยะเวลา 10 วันไปประมาณวันสองวันก็จะไม่เก็บท่านเพิ่ม ดังนั้นโกดัง 16 ห้องนี้ถ้าคิดตามสัญญาแล้วจะตกเป็นเงินทั้งสิ้น 160 ตำลึง ท่านจะจ่ายเป็นตั๋วเงินหรือเงินสดดีขอรับ ? ”
หลังจากโกดังถูกปล่อยเช่าออกไปแล้ว หลิวว่ายจื่อก็กลับฉือหลี่โกวน้อยมาก ตัวเขาแทบจะหยั่งรากอยู่กับท่าเรือ แม้ทางฝั่งผู้เช่าจะทิ้งผู้คุ้มกันไว้ดูแลโกดัง แต่หลิวว่ายจื่อก็ยังเดินลาดตระเวนในยามค่ำคืนหลายรอบเพราะกลัวว่าจะเกิดเหตุไม่ดีขึ้นแล้วตำแหน่งงาน ‘ผู้ดูแล’ ในมือจะหลุดหายไป !
หลิวว่ายจื่อรู้ว่าหากสินค้าชุดนี้ถูกขนส่งแล้ว ตัวเขาก็จะได้ส่วนแบ่งหนึ่งในสิบส่วนของผลกำไร…นางหนูรองคำนวณให้เขาเรียบร้อยแล้วว่าเป็นเงิน 1-2 ตำลึงเชียวล่ะ ! มากกว่าเงินเดือนเสียอีก ! ถ้าเดือนนี้โกดังไม่ว่างเว้นผู้เช่าไปตลอด เมื่อรวมกับเงินทำงานล่วงเวลาของเขาก็จะมีมากเกือบ 5 ตำลึง !
ฮ่าฮ่า ! เมื่อก่อนเขาคิดว่าเถียนฟู่กุยเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในหมู่บ้าน เป็นหลงจู๊ในเมืองและได้เงินเดือนประมาณ 2 ตำลึงก็ทำให้ผู้อื่นอิจฉาได้แล้ว ทว่าตอนนี้เงินเดือนของเขามากกว่าเถียนฟู่กุยสองเท่า ดังนั้นได้เวลาย้ายความโดดเด่นที่สุดมายังคนใหม่แล้ว !
หากเรื่องนี้หลุดจากปากเขาเอง ความน่าเชื่อถือต้องลดลงแน่นอน…หลิวว่ายจื่อกัดฟัน จากนั้นก็ไปหาหลิวเอ้อร์ล่ายเพื่อให้มารับหน้าที่ดูแลและตรวจตรายามค่ำคืน วันหนึ่งก็ให้เงินค่าแรง 30 อีแปะ…เงิน 30 อีแปะนี้ถูกควักออกมาจากกระเป๋าของตนซึ่งมันช่างน่าปวดใจยิ่งนัก !
หลิวเอ้อร์ล่ายจึงปฏิบัติต่อเขาเหมือนพี่ชายแท้ ๆ ทันที ! การดูแลโกดังย่อมสามารถนอนในโกดังเวลากลางวันได้ เมื่อตกกลางคืนก็แค่ตื่นตัวหน่อย ถือตะเกียงน้ำมันเดินดูโดยรอบทุก 1 ชั่วยาม เมื่อกลับมาแล้วยังสามารถพักสายตาได้ครู่หนึ่ง ไม่เหมือนงานหนักที่ท่าเรือซึ่งทำงานตั้งแต่เช้าตรู่และต้องใช้แรงเยอะมาก ดังนั้นงานนี้จึงเป็นเหมือนงานในฝัน !
“พี่ใหญ่ ! สินค้าในโกดังถูกขนออกไปหมดแล้ว ไม่มีของเสียหายหรือสูญหายแม้แต่ชิ้นเดียว ผู้ดูแลจางพอใจมาก เขายังให้รางวัลข้าเป็นเงิน 20 อีแปะด้วย ! ” หลิวเอ้อร์ล่ายวิ่งเข้ามาอย่างมีความสุข เมื่อเห็นหลินเว่ยเว่ยแล้ว เขาก็รีบยืนตัวตรง หุบยิ้ม แสร้งทำเหมือนเห็นศัตรูตัวฉกาจ
หลินเว่ยเว่ยคิดในใจว่าเห็นข้ากินคนได้หรือไร ?
หลิวว่ายจื่อหัวเราะจากนั้นก็รีบอธิบายว่า “ตอนกลางคืนที่ท่าเรือไม่เงียบสงบ มีโกดังหลายแห่งที่สินค้าสูญหาย ข้ากังวลว่าตัวคนเดียวจะดูแลไม่ทั่วจึงให้เอ้อร์ล่ายมาช่วย เจ้าก็รู้ว่าเขาทำอันใดไม่เป็น แต่เรื่องเล่ห์กลของการลักเล็กขโมยน้อยเขาถนัดนัก เมื่อไม่กี่คืนก่อนมีโจรสองคนคิดจะขโมยเครื่องลายครามเอาไปแลกเงิน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย…ข้าจึงจ้างเขามาช่วยงาน ไม่ต้องให้เจ้านายออกเงินด้วย…”
“อาว่ายจื่อ ท่านใช้เงินส่วนตัวจ้างคนดูแลโกดังหรือ ? ข้าคิดว่าท่านโง่เขลาไปแล้ว” หลินเว่ยเว่ยใช้สายตาแบบมองคนโง่จ้องหลิวว่ายจื่อ ในอดีตชายผู้นี้ลื่นเป็นปลาไหลจะตาย จู่ ๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นคนซื่อไปแล้วหรือ ? “ทางฝั่งโกดังมีคนไม่พอ เหตุใดท่านไม่บอกข้า ? ”
“ข้าไม่ได้เพิ่งเข้ามาทำงานหรือ ? ข้าย่อมไม่อยากเพิ่มปัญหาให้เจ้านาย” แม้โดนด่าว่า ‘โง่’ หลิวว่ายจื่อไม่เพียงไม่หัวเสีย ทว่ายังมีความสุขกว่าเดิมเพราะเขาฟังความหมายในถ้อยคำของนางออก นางกำลังบอกให้เพิ่มคน ประโยคนั้นทำให้เขาไม่ได้เป็นเพียงผู้ดูแลแต่ยังมีลูกน้องไว้ใช้งานอีกด้วย !
“เอาเช่นนี้แล้วกัน ! ข้าจะเพิ่มคนให้ท่านอีก 2 คน ถ้ามีใครที่เหมาะสมท่านก็สามารถแนะนำข้าได้เลย” เสียงของหลินเว่ยเว่ยเพิ่งเงียบลง หลิวเอ้อร์ล่ายก็ขยิบตาให้หลิวว่ายจื่อทันที
ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็นึกถึงบรรดาสหายจิ้งจอกของหลิวว่ายจื่อได้ นางจึงกล่าวว่า “แต่พวกเราต้องคุยกันอย่างตรงไปตรงมาหน่อย ถ้าคนที่ท่านเลือกมาสร้างความเสียหายแก่โกดัง พวกท่านจะต้องช่วยกันรับผิดชอบ หากเสียหายรุนแรงก็จะลงโทษฐานขโมยทรัพย์สินแล้วส่งตัวให้ทางการ ! ”
หลิวเอ้อร์ล่ายจึงรีบแสดงความภักดีทันที “วางใจได้ ข้าจะกลับตัวกลับใจแล้วบอกลาตนเองในอดีต ไม่มีทางทำให้เจ้าต้องผิดหวังและไม่สร้างความลำบากแก่พี่ใหญ่ ! ”
หลินเว่ยเว่ยนึกถึงสถานการณ์ของบ้านหลิวเอ้อร์ล่ายจึงตัดสินใจลองให้โอกาสเขาสักครั้ง “ทดลองงาน 2 เดือน ถ้าทำได้ดีจะเก็บไว้ แต่ถ้าทำไม่ดีก็ไสหัวออกไป ! ”
ในเวลานี้ซัวถัวก็ขับเกวียนเทียมล่อเข้ามาพอดี…ตั้งแต่หลิวว่ายจื่อมาทำงานตรงท่าเรือแล้ว หน้าที่ส่งสินค้า ก็ตกเป็นของเขา
“เสี่ยวเว่ย ร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้รับซื้อเมล็ดสนวันละ 100 ชั่งเท่านั้น โรงงานแปรรูปของพวกเรากักตุนไม่ไหวแล้ว เราจะทำอย่างไรดี ! ” ซัวถัวรู้สึกกังวลแทนหลินเว่ยเว่ยด้วยใจจริง
แต่ละวัน กระทะ 5 ใบที่โรงงานจะทำเมล็ดสนออกมาได้ 500 ชั่ง แต่ขายออกเพียง 100 ชั่ง คิดว่าน่าห่วงหรือไม่ ?
“อย่าเพิ่งร้อนใจ ! ประเดี๋ยวร้านตระกูลหนิงก็สั่งเพิ่มอีก ! ” หลินเว่ยเว่ยเอ่ยด้วยความมั่นใจ ราวกับว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของตน
ลู่เหวินจวินเดินมาหยุดข้างเกวียน จากนั้นก็หยิบเมล็ดสนปากอ้าขึ้นมาจากกระสอบหนึ่งกำมือ “ไอหยา ! เมล็ดสนนี้เหตุใดเปลือกจึงเปิดออกได้ เวลากินก็คงสบายขึ้นเยอะกระมัง ? ”
ทันใดนั้นเขาก็แกะเปลือกแล้วโยนเมล็ดสนเข้าปาก อึดใจต่อมาดวงตาของเขาก็เป็นประกายและกล่าวพร้อมรอยยิ้มว่า “รสชาติมีเอกลักษณ์ ซ้ำยังหอมกว่าปกติ…ผู้ดูแลจาง เราไม่ต้องแล่นเรือเปล่ากลับบ้านแล้ว ! ”
1 วางไข่ลงในตะกร้าหลายใบ หมายถึง การกระจายความเสี่ยง
ตอนต่อไป