ตอนที่ 208 กลับมาสติไม่ดีเหมือนเดิม ?
ข้าวสาลีที่ปลูกไว้ในมิติน้ำพุวิญญาณ อีกครึ่งเดือนก็น่าจะเก็บเกี่ยวได้แล้ว ข้าวสาลีมีรวงสีทองหนักอึ้ง เมล็ดอวบอิ่ม ผลผลิตที่ได้จะต้องสูงกว่าแปลงนาตระกูลหลินแน่นอน เนื่องจากข้าวสาลีในแปลงนาใช้น้ำจากมิติน้ำพุวิญญาณมารดตอนมันโตได้ครึ่งหนึ่งแล้ว ซ้ำยังเป็นน้ำที่เจือจางแล้วด้วย ทว่าในมิติน้ำพุวิญญาณใช้น้ำที่บริสุทธิ์รดตลอด จะเหมือนกันได้อย่างไร ?
หลินเว่ยเว่ยเช็ดผมที่เปียกชื้น ขณะเดินมาข้างแปลงข้าวสาลี นางก็เด็ดเมล็ดข้าวออกมาหนึ่งเมล็ด หลังแกะเปลือกด้านนอกออกแล้วก็ใส่เข้าปากเพื่อลิ้มรส…ดี ดีมาก ! ไม่ได้มีผลลัพธ์ที่เกินความเป็นจริง ( เจ้าอ่านนิยายมากไปต่างหาก ) อย่างมากก็…รสชาติดีกว่าหน่อย หากได้กินในระยะยาวน่าจะมีผลดีต่อร่างกายใช่หรือไม่ ?
หลินเว่ยเว่ยเชื่อมั่นว่าผลผลิตในมิติน้ำพุวิญญาณจะต้องเป็นของดี ต่อไปต้องให้คนในบ้านกินก่อนเพราะคนในครอบครัวมีสุขภาพแข็งแรงถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด !
นางยังเดินมาใต้ต้นท้อป่า…นี่คือลูกท้อรสชาติดีที่สุดซึ่งนางเลือกมาจากในป่าโดยใช้น้ำในมิติน้ำพุวิญญาณรดให้ชุ่มทุกวัน ต้นท้อเติบโตได้เป็นอย่างดี ลูกท้อแม้จะไม่ใหญ่แต่มีรสหวานและกรอบมาก
มิติน้ำพุวิญญาณยังมีข้อดีอีกหนึ่งอย่างก็คือเมื่อผลไม้สุกแล้ว ถ้าไม่เด็ดมันก็จะไม่มีวันร่วงลงมาเพราะสุกงอมจนเต็มที่ มันจะห้อยอยู่บนกิ่งด้วยสภาพดีเยี่ยมเช่นนั้นตลอดไป
เรื่องเดียวที่ทำให้หลินเว่ยเว่ยค่อนข้างเสียใจคือเวลาในมิติน้ำพุวิญญาณใกล้เคียงกับโลกภายนอก พืชผลจึงไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้ทุก 2-3 วัน หรือทุก 10 วันครั้ง ( โถโถ คนเราจะโลภเกินไปไม่ได้ โลภมากจะโดนฟ้าผ่า เจ้าต้องรู้จักพอ! )
หลังกินลูกท้อเสร็จแล้ว นางก็หันไปเห็นข้าวโพดที่กำลังจะสุก นางจึงคิดขึ้นมาว่าพอกลับไปถึงบ้านจะเด็ดไปสักสองสามฝักแล้วต้มให้ทุกคนลองชิมเสียหน่อย !
เมื่อผมแห้งไปครึ่งหนึ่งแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็เดินหาวออกมาจากมิติน้ำพุวิญญาณ หลังฟุบลงเตียงแล้วนางก็นอนหลับเหมือนตาย เจียงโม่หานที่พักผ่อนอยู่ห้องด้านข้างได้ยินเสียงลมหายใจของนางค่อย ๆ แผ่วลง เขาจึงส่ายหน้า…สองพี่น้องคู่นี้หลับง่ายเหมือนกันไม่มีผิด !
หลังวางตำราแล้วดับเทียน เจียงโม่หานก็ล้มตัวนอนและหลับตา ค่ำคืนเงียบสงัด นอกจากเสียงเคาะบอกเวลาบนท้องถนนแล้วจันทราก็เหมือนจะหลับใหลไปด้วย เมื่อได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอจากข้างห้อง เขาก็เข้าสู่ดินแดนแห่งความฝัน…
กลางดึก จู่ ๆ เจียงโม่หานก็ตกใจตื่น ดวงตาแหลมคมสว่างขึ้นในความมืด ผิดปกติ เหตุใดจังหวะลมหายใจของห้องข้าง ๆ ถึงหนักเบาปั่นป่วน ? เด็กตัวแสบฝันร้ายหรือไม่ ? ร่างกายเป็นอันใดไป ?
เขารีบใส่เสื้อตัวนอกแล้วออกไปเคาะประตูห้องด้านข้างเบา ๆ เมื่อผ่านไปสักพักแล้วยังไม่มีการตอบสนอง เขาก็เริ่มออกแรงเคาะ เสียงนี้แม้แต่คนที่นอนหลับเหมือนหมูตายก็ยังตกใจตื่นขึ้นมา แต่คนภายในห้องยังไม่มีเสียงตอบกลับ ส่วนหลินจื่อเหยียนที่อยู่ห้องข้างหลินเว่ยเว่ยก็ตื่นแทน !
“ศิษย์พี่เจียง กลางดึกท่านไม่นอน มาเคาะห้องพี่รองด้วยเหตุใด ? อ้อ…ท่านคงไม่ได้…ได้…มีความคิดสกปรกต่อพี่รองกระมัง ? ” ทันใดนั้นดวงตาที่ง่วงงุนของหลินจื่อเหยียนก็มีประกายไฟปรากฏขึ้น !
เจียงโม่หานถลึงตาใส่เขา เกรงว่าการศึกษาหนักขึ้นสามเท่าจะเป็นการเมตตามากเกินไป !
เจียงโม่หานพูดว่า “เกิดเรื่องกับพี่รองของเจ้าแล้ว ! อย่าพูดมาก รีบเปิดประตู ! ”
หลินจื่อเหยียนได้ยินเช่นนั้น ตัวง่วงงุนก็บินหนีไปทันที ว่าอย่างไรนะ ? เกิดเรื่องกับพี่รอง ? แต่จะเกิดอันใดขึ้น ? หรือว่า…มือสังหารหมินอ๋องซื่อจื่อโกรธแค้นที่พี่รองทำลายงานของพวกมันจึงมาลงมือกับนาง ?
เท้าของหลินจื่อเหยียนทำลายสลักประตูทันที ส่วนตัวคนก็ลงไปนอนราบกับพื้นเหมือนกบโดนทับ เจียงโม่หานเดินอ้อมตัวเขาแล้วมายังข้างเตียง
หลินเว่ยเว่ยที่นอนอยู่บนเตียงมีใบหน้าแดงก่ำเหมือนปูต้มสุกไม่มีผิด เจียงโม่หานวางมือไว้บนหน้าผากนาง…ร้อนมาก !
ในความฝัน หลินเว่ยเว่ยถูกล้อมไว้ด้วยเปลวเพลิง ไม่ว่าทำอย่างไรก็ไม่อาจฝ่าออกมาได้ ทันใดนั้นนางก็สัมผัสได้ถึงความเย็นที่เข้ามาล้อมรอบกาย นางจึงเอื้อมมือไปสัมผัสกับความเย็นสบายนั้นแทน
เจียงโม่หานมองมือของตนที่โดนกอดไว้แน่น แถมยังเอาแก้มมาถูมืออย่างหน้าไม่อาย ท่าทางเช่นนี้…เหมือนแมวพันธุ์ปั๋วซื่อ ( เปอร์เซีย ) แสนล้ำค่าที่เขาเลี้ยงไว้ในชาติที่แล้วมาก !
เขาดึงมือออกไม่ได้จึงพูดกับหลินจื่อเหยียนที่เพิ่งลุกขึ้นจากพื้นว่า “พี่รองของเจ้าไข้ขึ้น ผ้าเช็ดหน้าของเจ้าอยู่ที่ใด…”
“พี่รอง…ป่วยหรือ ? ” หลินจื่อเหยียนตื่นตระหนกทันที ช่วงหลายเดือนมานี้หลินเว่ยเว่ยกลายเป็นผู้ที่สามารถทำได้ทุกอย่างสำหรับหลินจื่อเหยียนไปแล้ว นางคือเสาหลักของครอบครัว บัดนี้พี่รองผู้แข็งแกร่งราวกับวัวล้มป่วย แถมยังป่วยหนักจนไม่ได้สติด้วย…
“ผ้าเช็ดหน้า? ใช่ ผ้าเช็ดหน้า! ผ้าเช็ดหน้าของข้า…” หลินจื่อเหยียนค้นหาตามตัวอย่างสะเปะสะปะ ไม่มี ? เหตุใดจึงไม่มี ? เขาจำได้ว่าพกติดตัวตลอด…รีบโผล่ออกมาสิ !
เจียงโม่หานขยับมุมปาก…นี่เป็นสัญญาณของความไม่พอใจ เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาทำให้มันเปียกจากน้ำในกระบอกน้ำบนโต๊ะ จากนั้นก็พับเป็นทบด้วยมือข้างเดียวแล้ววางบนหน้าผากของหลินเว่ยเว่ย
หลินเว่ยเว่ยที่ยังหลับไหลพ่นลมหายใจออกมา นางไล้มือที่จับมือเขาอยู่ไปมาเหมือนเด็กน้อยที่ทำสิ่งใดไม่ได้ ต่อจากนั้นนางก็กอดแขนเขาไว้แนบหน้าอกเหมือนตุ๊กตาตัวหนึ่ง
เวลานอนหลินเว่ยเว่ยถอดเสื้อชั้นนอกออกจึงเหลือเพียงเสื้อตัวในเนื้อบาง เด็กสาวอายุ 14 ปีเริ่มมีหน้าอกแล้ว เจียงโม่หานสัมผัสได้ว่าแขนของตนถูกเจ้าก้อนนิ่มตรึงไว้ ตัวเขาก็แข็งทื่อทันที ใบหน้าหล่อเหลามีสีแดงระเรื่อเล็กน้อย…
เขาเบือนหน้าหนีแล้วค่อย ๆ ดึงแขนออก จากนั้นก็หยิบกระบอกน้ำ เมื่อประคองตัวหลินเว่ยเว่ยให้อยู่ในท่ากึ่งนั่ง เขาก็ค่อย ๆ ป้อนน้ำให้นางดื่ม
หลินเว่ยเว่ยที่ฝันว่าโดนไฟเผาอยู่นานสองนานจึงสัมผัสได้ว่ามีน้ำหวานเข้ามาในปาก นางจึงรีบกลืน…และนางก็ไม่ทันระวังจนทำให้ตนสำลักในที่สุด !
เจียงโม่หานตบแผ่นหลังนางเบา ๆ พลางกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน “ดื่มช้า ๆ หน่อย ไม่มีใครแย่งเจ้าหรอก ! ”
“พี่รอง พี่รอง ! ท่านได้ยินเสียงข้าหรือไม่ ? ท่านลืมตามาดูข้าหน่อยเถิด ! ” หลินจื่อเหยียนเป็นเพียงเด็กอายุ 13 ปี เด็กน้อยที่ยังไม่เคยเผชิญเรื่องทางโลก ดวงตาของเขาแดงก่ำ แววตาเต็มไปด้วยความสิ้นหวังและหวาดกลัวขณะเรียกหลินเว่ยเว่ยด้วยเสียงอ่อนแรง
ผ้าเช็ดหน้าเปียกที่วางอยู่บนหน้าผากของหลินเว่ยเว่ยอุ่นขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจุ่มลงในน้ำเย็นสองสามครั้งแล้วความร้อนก็ยังมีอยู่ ไม่ได้ทำให้ไข้ของนางลดลงสักนิด เจียงโม่หานจึงใส่เสื้อนอกให้หลินเว่ยเว่ยแล้วอุ้มนางขึ้นพร้อมพูดกับหลินจื่อเหยียนว่า “ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้ นางจะไข้ขึ้นจนทนไม่ไหว ข้ารู้จักโรงหมอแถวนี้ ต้องรีบพานางไปหาโดยเร็วที่สุด…”
หลังผ่านความตื่นตระหนกในตอนแรกแล้ว หลินจื่อเหยียนก็ค่อย ๆ กลับมาใจเย็น “ศิษย์พี่เจียง พี่รองไข้ขึ้นตั้งแต่เมื่อไร ? ไข้ขึ้นมานานเท่าใดแล้ว ? ”
ข้าจะรู้ได้อย่างไร ข้าไม่ได้นอนห้องเดียวกับนาง…แคกแคก ! เจียงโม่หานหูแดง ขณะเดียวกันก็พูดว่า “อย่าเพิ่งเอ่ยถึงเรื่องพวกนี้ พาคนไข้ไปหาหมอสำคัญกว่า ! ”
“ศิษย์พี่เจียง ท่านว่า…พี่รองจะไข้ขึ้นจนสมองได้รับผลกระทบ แล้วกลับมาสติไม่ดีเหมือนเดิมหรือไม่ ? ” หลินจื่อเหยียนเดินตามเจียงโม่หานลงจากโรงเตี๊ยม คาดไม่ถึงว่าคนที่ดูอ่อนแออย่างศิษย์พี่เจียงจะมีแรงเยอะ แม้อุ้มคนน้ำหนัก 110 จิน ( 55 กิโลกรัม ) เอาไว้ก็ยังเดินเร็วกว่าเขาเสียอีก !
เจียงโม่หานตกตะลึง คงไม่โชคร้ายถึงเพียงนั้นกระมัง ?