ตอนที่ 211 หัวขโมยเคราะห์ร้าย
สำหรับชาวบ้านทุกคนแล้วเงิน 10 ตำลึงถือเป็นเงินก้อนโต ทว่าหากชาวบ้าน 38 ครัวเรือนในฉือหลี่โกวรวมเงินกันแล้วแต่ละบ้านก็ต้องจ่ายประมาณ 200 กว่าอีแปะเท่านั้น ตามราคาข้าวสารของเขตเริ่นอันก็ถือเป็นธัญพืชหยาบประมาณ 10 ชั่ง
อาหารบรรเทาทุกข์ที่ได้รับมาคราวนี้ครอบครัวที่ได้น้อยสุดก็อยู่ที่ 40 ชั่ง เหมือนที่หลินเว่ยเว่ยพูดว่าหากไม่ได้เจ้าหน้าที่ทางการคอยคุ้มกัน ข้าวสารบนเกวียนก็ต้องโดนพวกโจรภูเขาจับจ้องและไม่ได้สิ่งใดกลับมาสักอย่าง !
แม้ชาวบ้านฉือหลี่โกวจะปวดใจก็ยังกัดฟันรับปาก เนื่องจากถ้าคราวนี้ไม่ได้หลินเว่ยเว่ยช่วยหมินอ๋องซื่อจื่อไว้ ท่านนายอำเภอหวางก็ไม่จำเป็นต้องรับประกันให้พวกตนและให้สามารถรับข้าวสารของบ้านอื่นกลับมาด้วย หากไม่เห็นแก่หน้าหลินเว่ยเว่ยแล้ว นายทหารทางการเหล่านั้นก็ไม่มีทางตามมาส่งพวกตน !
หากว่าพวกตนมีศีลธรรม เงินก้อนนี้ก็ไม่ควรให้ตระกูลหลินออกฝ่ายเดียว ! ถ้าเป็นคนใจดำแล้ว ต่อไปเวลาทุกคนเผชิญปัญหาจะยังมีใครช่วยออกเงินและออกแรงอีก ?
“ตกลงตามนี้ ! จ่ายตามปริมาณข้าวที่แต่ละบ้านนำกลับมาแล้วกัน ! บัณฑิตเจียงช่วยคำนวณหน่อยว่าต้องจ่ายคนละเท่าไหร่ ? พวกครอบครัวที่ประสบปัญหาเหล่านั้น ข้าให้สิทธิ์พวกเขาไม่ต้องเข้าร่วม ! ” ผู้ใหญ่บ้านสรุปหัวข้ออย่างง่ายดาย !
ตอนนี้แต่ละบ้านในฉือหลี่โกวไม่มีสิ่งใดมากมาย ทว่าเงินสิบหรือยี่สิบตำลึงยังพอมีอยู่ ถ้าเป็นสมัยก่อนตัวเขาก็ไม่กล้าตัดสินใจเหมือนกันเพราะถ้าชาวบ้านไม่มีเงิน แม้จะฆ่าให้ตายก็หยิบเงินออกมาไม่ได้อยู่ดี !
หากตัด 8 ครอบครัวที่ไม่มีผู้ชายหรือคนที่สามารถเข้าไปเก็บเมล็ดสนได้ ชาวบ้านในฉือหลี่โกวก็จะเหลือทั้งหมด 180 คน ถ้าแบ่งตามรายหัวแล้วเงิน 10 ตำลึงก็จะมีค่าใช้จ่าย 50 กว่าอีแปะหรือประมาณธัญพืชหยาบ 2 ชั่ง คราวนี้ไม่ว่าอายุเท่าไรก็ได้อาหารบรรเทาทุกข์คนละ 20 ชั่ง ดังนั้นธัญพืชหยาบ 2 ชั่งจึงไม่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ !
ระหว่างทางกลับจากเขตเริ่นอันมายังหมู่บ้านฉือหลี่โกวก็มีโอกาสได้เจอผู้คนน้อยมาก ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหลังจากอำเภอเป่าชิงเปิดคลังบรรเทาทุกข์ ผู้คนก็แห่ไปที่นั่นหมด คนที่เคยดักปล้นเงินทองและอาหารของคนอื่นล้วนไม่ได้ชั่วช้าโดยสันดาน เมื่อมีความหวังขึ้นมาจะยังมีใครอยากทำเรื่องไร้ศีลธรรมอีก
ด้วยเหตุนี้ระหว่างทางกลับจึงถือว่าราบรื่นมาก แม้มีผู้ประสบภัยเร่ร่อนอยู่กลุ่มเล็กๆ แต่เมื่อเห็นคนหนุ่มสาว 70-80 คนของหมู่บ้านฉือหลี่โกวแล้วก็ไม่กล้าเข้ามายุ่งวุ่นวาย
ยามพลบค่ำ กลุ่มผู้ขนอาหารก็กลับมาถึงหมู่บ้านอย่างราบรื่น หืม ? ในเวลาปกติถ้าเป็นยามนี้พวกเด็ก ๆ น่าจะมาเล่นอยู่ที่หน้าหมู่บ้าน แต่ละบ้านก็ต้องเริ่มก่อไฟกันแล้ว เหตุใดในหมู่บ้านจึงเงียบเช่นนี้…เหมือนว่าไม่มีคนอยู่เลย
สีหน้าของผู้ใหญ่บ้านเปลี่ยนไปทันที “แย่แล้ว ! เกิดเรื่องกับคนในหมู่บ้าน ! ”
ผู้ที่ออกไปรับอาหารบรรเทาทุกข์ในคราวนี้แทบเป็นคนหนุ่มสาวเกือบทั้งหมู่บ้าน ที่เหลืออยู่จึงมีเพียงคนแก่ เด็กและสตรีที่อ่อนแอ แม้เรื่องที่หมู่บ้านฉือหลี่โกวทำให้ครอบครัวร่ำรวยจากเมล็ดสนได้ถูกปิดบังไว้อย่างจริงจัง ทว่าท้ายที่สุดข่าวก็ยังเล็ดลอดออกไปอยู่ดี…หรือเรื่องที่พวกเขากังวลที่สุดจะเกิดขึ้นแล้ว ?
คนทั้งหมดไม่สนใจอาหารบรรเทาทุกข์อีกต่อไป พวกเขาวิ่งเข้าไปในหมู่บ้านอย่างร้อนรนเพราะมารดา ภรรยาและบุตรชายบุตรสาวของตน…อยู่ในหมู่บ้านทั้งหมด จะมีสิ่งใดเกิดขึ้นไม่ได้เด็ดขาด…
ทว่าทันใดนั้นก็มีเสียงชัดแจ๋วของเด็กน้อยคนหนึ่งดังมาจากต้นไม้เก่าแก่หน้าหมู่บ้าน “พี่รองเองหรือ ? พี่รองกลับมาแล้วหรือ ? เฉียงจื่อ รีบประกาศออกไปว่ากลุ่มขนอาหารกลับมาแล้ว ! ”
หลินเว่ยเว่ยที่พุ่งไปยังต้นไม้เก่าแก่คนแรกจึงหยุดฝีเท้า หลังเงยหน้าขึ้นมอง นางก็เห็นก้นอ้วนกลมของเด็กคนหนึ่งกำลังปีนลงมาจากต้นไม้ อาจเพราะได้เห็นคนในครอบครัวแล้วตื่นเต้นดีใจจนเกินเหตุ เท้าของเจ้าหนูน้อยจึงลื่น มือผละจากกิ่งและตกมาจากต้นไม้สูง
หลินเว่ยเว่ยจึงรีบเข้าไปรับเขาไว้แล้วทำคล้ายกำลังอุ้มลูกไก่ตัวน้อย นางรับเขาไว้ได้ทันพร้อมกันนั้นก็ตบก้นเจ้าหนูน้อยเบา ๆ “น้องสี่เก่งแล้วหรือ ? ต้นไม้สูงเช่นนี้เจ้าก็กล้าปีน ปีกกล้าขาแข็งแล้วใช่หรือไม่ ? ”
เจ้าหนูน้อยโอบรอบคอนางแล้วหัวเราะคิกคัก “พี่รองอย่าเพิ่งตำหนิ ! ข้ากำลังทำงานอยู่”
“หืม ? งาน ? งานซุกซนหรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยตีก้นที่เต็มไปด้วยก้อนเนื้อของเขา พอมีน้ำหนักอยู่บ้าง ช่วงหลายเดือนมานี้ไม่ได้กินไปอย่างเปล่าประโยชน์ !
“ข้ารับหน้าที่เฝ้าระวังและสังเกตการณ์ หากพบเห็นศัตรูก็ส่งต่อให้วังตงเฉียง…” ขณะกล่าวเขาก็ชี้ไปยังศีรษะน้อย ๆ ที่โผล่ออกมาจากก้อนหินขนาดใหญ่ฝั่งตรงข้ามหน้าหมู่บ้าน “วังตงเฉียงจะคอยตีฆ้องและเข้าไปรายงานในหมู่บ้าน ญาติผู้พี่จะได้เปิดใช้งานกับดักและเอาชนะศัตรูได้อย่างงดงาม ! ”
วังตงเฉียงเห็นท่านปู่ บิดาและพวกลุงกับอาของตนจึงพุ่งเข้ามากอดผู้ใหญ่บ้านเหมือนลูกกระสุนปืนใหญ่ “ท่านปู่ขอรับ พวกท่านกลับมาเสียที ข้าคิดถึงท่านมาก ! ”
ผู้ใหญ่บ้านโดนหลานชนจนยืนเซ โชคดีที่ได้บิดาวังตงเฉียงช่วยประคองหลังไว้ ปู่หลานคู่นี้จึงไม่ได้ล้มไปนอนกับพื้น บิดาวังตงเฉียงอุ้มบุตรชายคนเล็กขึ้นด้วยแขนข้างเดียว จากนั้นก็ตบก้นเขาเบา ๆ “เจ้าตัวแสบ ไม่เจอกันสองวันเจ้าก็คิดถึงท่านปู่แล้ว เจ้าเด็กขี้อ้อน ไหนบอกมาสิว่าคิดถึงพ่อหรือไม่ ? ”
“คิดถึงคิดถึงแล้วก็คิดถึงลุงใหญ่ อาสามและอาสี่ด้วยขอรับ ! ” ปากเจ้าตัวน้อยหวานมาก แต่ท่าทางการพูดเหมือนขายผ้าเอาหน้ารอดไปหน่อย เมื่อหลุดออกจากอ้อมแขนบิดาแล้ว เขาก็เข้าไปจับมือท่านปู่เพื่ออวดผลงานของตน “ท่านปู่ ข้าร้ายกาจมากเลย ข้าทำให้คนเลววิ่งหนีไปตั้งหลายคนขอรับ ! ”
“คนเลว ? ” เจียงโม่หานขมวดคิ้ว
เจ้าหนูน้อยยกมือขึ้นแล้วกล่าวอย่างภาคภูมิใจเช่นกัน “ญาติผู้พี่พาพวกเราไปทำกับดักเพื่อจับโจรซึ่งมาขโมยของในหมู่บ้านได้ตั้งหลายคน ยังมีคนอีกหลายสิบคนเข้ามาในหมู่บ้านกลางดึก มีสองสามคนอยากปีนกำแพงเข้าบ้านเรา แต่โดนญาติผู้พี่เลียนเสียงหมาป่าทำให้พวกมันตกใจจนเผ่นหนีไปหมด…”
เวลานี้หลีชิงก็ถือคันธนูและลูกศรเดินออกมาจากหมู่บ้าน ด้านหลังของเขายังมีกลุ่มเด็กอายุไม่ถึงสิบขวบตามมาด้วย เหมือนว่าเขากลายเป็นผู้นำของเด็กน้อยไปแล้ว
เจ้าหนูน้อยนึกได้ว่าคันธนูของตนยังอยู่บนต้นไม้จึงให้พี่รองวางตัวลง เขาจะได้ปีนขึ้นไปใหม่ แต่หลินเว่ยเว่ยจับศีรษะเขาไว้ “จะขึ้นไปทำอันใดอีก ? ”
“คันธนูของข้า ! ญาติผู้พี่ทำคันธนูให้ข้า พวกเราทุกคนมีคนละชุด ของข้าสวยที่สุดและร้ายกาจที่สุด ! แถมข้ายังยิงโดนก้นหัวขโมยคนหนึ่งด้วย ! ” เจ้าหนูน้อยชี้ไปยังคันธนูและลูกศรขนาดเด็กเล็กบนต้นไม้ เหมือนว่าหางของเขากระดิกอย่างภูมิใจจนแทบลอยขึ้นฟ้า
วังตงเฉียงก็ไม่ยอมแพ้ “คันธนูของข้าก็ร้ายกาจ ข้ายิงโดนต้นขาคนเลวด้วยล่ะ…”
“ข้ายิงโดนแขน ! ”
“ข้ายิงโดนเท้าคนเลว ! ”
“ข้า…”
พวกเด็ก ๆ ที่ตามหลังหลีชิงมาล้วนยกคันธนูของตนขึ้นโบกสะบัดและอวดผลงานให้พวกผู้ใหญ่รับรู้
หลินเว่ยเว่ยเหงื่อตก เจ้าหัวขโมยก็โชคร้ายใช่ย่อย คงไม่โดนยิงจนพรุนหรอกนะ !
ต่อจากนั้นคนทั้งหมู่บ้านก็แบ่งอาหารกันอย่างมีความสุข ส่วนเรื่องที่ทุกคนต้องจ่ายกันคนละ 50 กว่าอีแปะ แม้สตรีจากสองสามหลังคาเรือนจะแสดงความไม่พอใจออกมา ทว่าผ่านไปไม่นานก็ต้องสงบลงเพราะผู้ชายของตนปรามไว้ เนื่องจากถ้าไม่มีการคุ้มกันของทางการก็คงจะโดนโจรภูเขาปล้นข้าวสารไปจนหมด พวกเขาจะไม่เหลือแม้แต่ชั่งเดียว !
ตอนนี้ข้าวสารหาซื้อยากมาก ! ราคาข้าวสารเขตเริ่นอันแพงถึงเพียงนั้น ยังไม่แน่ว่าจะซื้อได้ ! ต่อมาพวกชาวบ้านที่ไปยังเขตเริ่นอันก็ได้ยินว่ากลุ่มขนอาหารบรรเทาทุกข์กลุ่มหนึ่งโดนปล้นกลางทาง ไม่เพียงข้าวสารถูกปล้นจนหมด คนยังตายอีกหลายราย ชาวบ้านฉือหลี่โกวจึงคิดว่าเงิน 10 ตำลึงนั้นจ่ายไปอย่างคุ้มค่าแล้ว !