ตอนที่ 214 ถ้าจะตายก็ตายด้วยกัน
เหตุใดหลินเว่ยเว่ยไม่อยากปีนขึ้นมา ? แต่รอบกายล้วนเป็นพื้นที่โล่งทั้งสิ้น แม้แต่กิ่งไม้หรือก้อนหินก็ไม่มี ! นางพลาดแล้ว เมื่อครู่ไม่น่ามั่นใจมากเกินไป !
นี่ก็เข้าสู่ช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว บนหุบเขามีลมพัดแรงแต่มีหยดเหงื่ออุ่น ๆ บนใบหน้าบัณฑิตหนุ่ม หลินเว่ยเว่ยสังเกตเห็นร่างกายกว่าครึ่งที่ลอยเคว้งอยู่กลางอากาศและค่อย ๆ ไถลลงมา แววตานางจึงเปื้อนไปด้วยความเศร้าโศกแห่งความผิดหวัง มือที่จับมือบัณฑิตหนุ่มไว้จึงค่อย ๆ คลายออก
เจียงโม่หานรู้ว่านางต้องการทำสิ่งใด เขาจึงมองนางอย่างดุดัน “ข้าขอออกคำสั่ง จงจับมือข้าให้แน่น ! …เสี่ยวเว่ย เด็กดี เชื่อฟังข้าเถิด ! ยังไม่ถึงอึดใจสุดท้ายห้ามยอมแพ้เด็ดขาด จับมือข้า…”
หลินเว่ยเว่ยส่ายหน้า “เจียงโม่หาน ปล่อยข้าเถิด ข้าตายคนเดียวย่อมดีกว่าสูญเสียสองชีวิต ! เจ้าต้องสอบซิ่วไฉ สอบจอหงวนเพื่อแสดงความสามารถและความทะเยอทะยานในอนาคต…น้าเฝิงยังรอเจ้าอยู่ที่บ้าน…ปล่อยมือเถิด…”
ใช่ เขาวางแผนชีวิตไว้แล้วว่าชาตินี้จะอาศัยสติปัญญาของตนสอบจอหงวน ทำให้มารดามีชีวิตสูงส่งขึ้น จากนั้นก็ค่อย ๆ เดินไปสู่ตำแหน่งที่อยู่ใต้คนผู้เดียว แล้วเด็กตัวแสบที่รู้จักแต่ยั่วโทสะทั้งวัน คู่ควรให้เขาต้องเสี่ยงอันตรายเช่นนี้หรือ ?
ถ้าเป็นตัวเขาในชาติก่อนจะต้องเลือกปล่อยมือนางโดยไม่เสียดายแม้แต่น้อย หรือแม้แต่แววตาแห่งความเห็นใจก็ไม่มีให้นางด้วย หากเป็นตัวเขาในชาติก่อน ตอนที่นางตกสู่ก้นเหว เขาไม่มีทางเอื้อมมือไปช่วยแน่ !
แต่ว่า…เขาโดนสิ่งใดเข้าสิงหรือไม่ ? เหตุใดตอนที่ตนกำลังจะถูกลากลงไปก็ยังจับมือนางไม่ยอมปล่อย ? เหตุใดพอคิดว่านางตกเหวโดยไร้ความช่วยเหลือ หัวใจของเขาก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา ?
“เสี่ยวเว่ย อดทนต่ออีกหน่อย ไม่แน่ว่าอาจมีคนเดินผ่านมา…บางทีหลีชิงอาจจะมา…เจ้าอย่าได้พูดเช่นนั้นจนกว่าถึงอึดใจสุดท้าย ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ อย่ายอมแพ้ ตกลงหรือไม่ ? ” เจียงโม่หานเริ่มรู้สึกว่ามือของตนไม่ใช่ของตนอีกต่อไป แขนก็ค่อย ๆ หมดแรงแต่ยังกัดฟันแน่นและจับข้อมือของหลินเว่ยเว่ยไว้
“เจียงโม่หาน ข้าชอบเวลาโดนเจ้าเรียกว่าเสี่ยวเว่ยและนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ยิน ! ” หลินเว่ยเว่ยกล่าวพร้อมทอดถอนใจ
เจียงโม่หานจึงรีบพูดว่า “จะเป็นครั้งสุดท้ายได้อย่างไร รอให้เจ้าขึ้นมาก่อน ข้าจะเรียกเจ้ากี่ครั้งก็ได้ ! เสี่ยวเว่ย เสี่ยวเว่ย เสี่ยวเว่ย…จับมือข้าไว้ ! ”
“เจียงโม่หาน ไม่มีประโยชน์หรอก ! ที่นี่เป็นยอดเขาห่างไกลผู้คน จะมีคนผ่านมาเห็นได้อย่างไร ? วันนี้หลีชิงไปส่งสินค้าที่เขตเริ่นอันตั้งแต่เช้าแล้ว เจ้าลืมหรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยทำลายความหวังในใจของเจียงโม่หาน
ทันใดนั้นเสียงของหลินเว่ยเว่ยก็แปรเปลี่ยนเป็นเล็กแหลม “รีบปล่อยมือ เจ้าจะตกลงมาแล้ว ! ”
เสียงของนางเพิ่งเงียบลง บริเวณเอวของเจียงโม่หานก็หลุดออกจากขอบหน้าผา เวลานี้ถ้าเขาปล่อยมือของหลินเว่ยเว่ยแล้วคว้าวัชพืชที่อยู่ริมหน้าผาเอาไว้ บางทีเขาอาจยังมีโอกาสได้กลับขึ้นไป แต่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว มือที่จับหลินเว่ยเว่ยก็ยิ่งแน่นกว่าเดิม !
“เจียงโม่หาน เจ้าโง่ ! ” หลินเว่ยเว่ยจ้องบัณฑิตหนุ่ม เขาจะตกหน้าผาไปกับนาง ทำให้นางต้องตวาดใส่เขา
เจียงโม่หานขยับริมฝีปาก ดูเหมือนว่าเขากำลังพูดบางสิ่งบางอย่างแต่ก็โดนลมภูเขาพัดปลิวไป
เนื่องจากเจียงโม่หานเป็นผู้ชาย น้ำหนักของเขาจึงมากกว่าหลินเว่ยเว่ยเล็กน้อย ความเร็วในการร่วงลงมาจึงมีมากกว่า ในเวลานี้หลินเว่ยเว่ยคว้ามือเรียวยาวของเขาไว้ เมื่อสูดหายใจเข้าลึก นางก็ไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย นางใช้มืออีกข้างหนึ่งคว้าโอกาสที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการเอื้อมไปจับ ใช้แขนหรือใช้ข้อศอกดันตามหน้าผา…นางพยายามใช้ทุกวิถีทางเพื่อลดความเร็วการตกของทั้งสองคนหรือหาโอกาสรอดเท่าที่ทำได้
ผ่านไปไม่นาน มือ แขนและข้อศอกก็เต็มไปด้วยเลือด เหมือนว่านางไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดและยังหาทางรอดแบบไม่ยอมแพ้ เพราะเวลานี้ในมือนางไม่ได้มีเพียงชีวิตของตนเท่านั้นแต่ยังกุมชะตาชีวิตของบัณฑิตหนุ่มไว้ด้วย
โชคดีที่ตกมาได้ไม่กี่สิบหมี่ มือของนางก็คว้าเข้ากับต้นสนเก่าแก่ซึ่งงอกออกจากข้างหน้าผา ทำให้ร่างของทั้งสองหยุดลง ณ ตรงนั้น แต่ในขณะเดียวกันกิ่งสนก็แทงเข้าไปในเนื้อของนางด้วย เลือดจึงค่อย ๆ ไหลย้อมแขนเสื้อของนาง
ดวงตาที่ชอบโค้งมนเหมือนเสี้ยวพระจันทร์บัดนี้กลายเป็นดวงตาผลชิงกลมโตเพื่อค้นหาไปตามหน้าผา ทันใดนั้นใบหน้าของนางก็มีรอยยิ้มผุดขึ้นเล็กน้อย นางก้มหน้าลงพร้อมสบตากับดวงตาที่สว่างไสวเหมือนดวงดาวและแสงจันทร์
“มีสติอยู่หรือ ? ดีมาก ! ” ระหว่างที่ร่วงลงมาบัณฑิตหนุ่มไม่ส่งเสียงแม้แต่น้อย หลินเว่ยเว่ยจึงเข้าใจผิดว่าเขาหมดสติไปแล้ว ในเมื่อมีสติอยู่ก็จัดการง่าย “เจ้าเห็นก้อนหินใหญ่ที่ยื่นออกมาทางนั้นหรือไม่ ? เจ้าไปยืนบนหินก้อนนั้นแล้วเอื้อมมือจับกิ่งไม้ด้านข้างเอาไว้ เข้าใจหรือเปล่า ? ”
“เข้าใจ ! ” เจียงโม่หานเงยหน้ามองมือซ้ายที่เปื้อนเลือดของหลินเว่ยเว่ยและพยักหน้าให้นาง
“ต้นสนนี้รับน้ำหนักได้ไม่นาน ถ้าไม่สำเร็จก็ยอมรับชะตากรรม ! บัณฑิตน้อย เจ้ากลัวหรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยยกยิ้มมุมปากแล้วถามอย่างติดตลก
เจียงโม่หานเหลือบมองอีกฝ่าย นี่คือเวลาอะไร ยังจะล้อเล่นอีก ! เขาจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เจ้ายังไม่กลัว แล้วข้าจะกลัวอันใด ? ”
ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็ออกแรงที่มือซ้ายเพื่อแกว่งตัวเจียงโม่หานกลางอากาศราวกับเล่นชิงช้า
“เล็งได้ที่แล้ว ไป ! ” ขณะพูดหลินเว่ยเว่ยก็ปล่อยมือจากเจียงโม่หานที่แกว่งเป็นลูกตุ้มกลางอากาศแล้วตัวเขาก็ตกไปบนก้อนหินที่หลินเว่ยเว่ยเล็งไว้จริง
เขารีบคว้าจับต้นไม้ตายที่อยู่ด้านข้าง เมื่อปรับตัวได้แล้วเขาก็หันมามองหลินเว่ยเว่ย ทว่าสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปแล้วรีบตะโกนมาทางหลินเว่ยเว่ยว่า “เร็ว รีบกระโดดมาเร็ว ! ”
เศษหินเหนือศีรษะเข้าดวงตาของหลินเว่ยเว่ย แต่นางไม่มีเวลาปัดออกเพราะรู้ว่ารากที่ยึดกับหน้าผาของต้นสนเริ่มหลุดออกแล้ว นางจึงหลับตาและกระโจนไปทางบัณฑิตหนุ่มอย่างเด็ดเดี่ยว…
โชคดีที่นางคำนวณระยะทางได้ดี เท้าของนางเหยียบลงพื้นแต่เหมือนสายลมคิดเป็นศัตรูกับนาง เมื่อร่างกายไม่สมดุล สายลมก็เหมือนความซวยซ้ำซวยซ้อน มือของหลินเว่ยเว่ยกวัดแกว่ง หลังจากนั้นก็เอนไปยังพื้นและล้มลงในที่สุด
ทันใดนั้นเอวของนางก็ถูกกระชากและทั้งกายก็จมเข้าสู่อ้อมกอดแสนอบอุ่นพร้อมลมหายใจที่เย็นเยือก นางกอดตอบตามสัญชาตญาณ ทั้งสองคนแนบชิดเข้าด้วยกัน กอดอย่างไร้ระยะห่าง…
ทั้งสองชาติสองภพ นี่เป็นครั้งแรกที่หลินเว่ยเว่ยได้ใกล้ชิดกับผู้ชายมากขนาดนี้ ใบหน้าของนางจึงร้อนเหมือนไข่ทอดใหม่ ร่างกายบิดไปมา มือก็อยากจะผละออกเช่นเดียวกัน