ตอนที่ 221 เจ็บจะตายอยู่แล้ว
“ข้าจะอยู่ที่นี่ ไม่เช่นนั้นข้าไม่วางใจ…” เจียงโม่หานยังนั่งนิ่งจนนางเฝิงไม่อาจขยับเขยื้อนตัวเขาได้เลย
นางเฝิงใช้นิ้มจิ้มหน้าผากบุตรชาย “อย่าว่าแต่เราสองบ้านยังไม่ได้หมั้นหมายกันเลย แม้จะหมั้นกันแล้ว ถ้าอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เจ้าก็ต้องเลี่ยง” ขณะที่พูดนางก็หันไปส่งสายตาให้หลินเว่ยเว่ย
หลินเว่ยเว่ยเข้าใจอย่างรวดเร็ว นางมุ่ยปากอย่างไม่สบอารมณ์ “บัณฑิตน้อย เจ้ารีบออกไปเถิด ข้าไม่อยากให้เจ้าเห็นบาดแผลน่าเกลียดของข้า มันจะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของข้าในใจเจ้ามากเพียงใด ? ”
“สภาพปัญญาอ่อนน้ำลายยืดของเจ้า ข้าก็เห็นมาแล้ว ยังจะกลัวส่งผลต่อภาพลักษณ์อันใดอีก ? เจ้ามีภาพลักษณ์กับเขาด้วยหรือ ? ” เจียงโม่หานไม่ยอมไป !
หลินเว่ยเว่ยเริ่มโยนของบางอย่างลงจากเตียงด้วยความโมโห “ไสหัวออกไป ! ข้าไม่อยากเห็นหน้าเจ้า ! อย่ามานั่งบื้ออยู่ตรงนี้เพื่อส่งผลกระทบต่อจิตใจผู้ป่วย ! ”
เจียงโม่หานรับของที่ถูกโยนมาด้วยมือข้างเดียว…เป็นพื้นรองเท้าผู้ชาย ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกแล้วกระมัง เด็กตัวแสบจึงทำพื้นรองเท้า ? รอยฝีเข็มนี้ทั้งกว้างและเบี้ยว พอใส่ไปไม่กี่ครั้งก็คงขาด…แม้ในใจจะรู้สึกรังเกียจยิ่งกว่าสิ่งใด แต่มือก็เก็บพื้นรองเท้าข้างนั้นเข้าแขนเสื้ออย่างเต็มใจ…งานปักครั้งแรกของเด็กตัวแสบต้องทำให้เขาคนเดียวเท่านั้น !
ต่อจากนั้นเจียงโม่หานก็โดนนางเฝิงผลักออกไป หมอเหลียงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ไอหยา ! ดูสิ พวกเจ้าสองบ้านกำลังจะมีเรื่องมงคลใช่หรือไม่ ? ”
นางเฝิงยิ้มหน้าบาน “ใช่ไหมเล่า ! รอให้กำหนดวันได้แล้วก็ขอเชิญท่านหมอเหลียงมาร่วมดื่มสุรามงคลด้วยกัน ! ไม่ทราบว่าท่านหมอจะมาเป็นพ่อสื่อให้บุตรชายข้าได้หรือไม่ ? ”
เวลาที่ตระกูลชนชั้นสูงเกี่ยวดองกันก็จะเชิญบุคคลสำคัญที่มีคุณธรรมสูงส่งมาเป็นพ่อสื่อ ยิ่งฐานะสูงส่งเท่าไรก็ยิ่งแสดงว่าให้ความสำคัญต่อฝ่ายหญิงมากเท่านั้น ในหมู่บ้านฉือหลี่โกวแล้วฐานะหรือชื่อเสียงของหมอเหลียงย่อมเทียบเท่าผู้ใหญ่บ้าน ถ้าเขายินดีล่ะก็ ทั้งสองตระกูลจะมีเกียรติตามไปด้วย
“ยินดียิ่งนัก ! ” หมอเหลียงเริ่มแกะผ้าพันแผลบริเวณมือของหลินเว่ยเว่ยออก ทันใดนั้นเขาก็ได้เห็นบาดแผลเหวอะหวะของนาง เล็บหลุดสองนิ้วและมีบางบาดแผลที่ลึกจนเห็นกระดูก เขาจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เหตุใดจึงมีสภาพเช่นนี้ได้ !”
ตอนล้างแผล หลินเว่ยเว่ยเจ็บจนต้องกัดฟัน น้ำตาแทบจะไหลออกมา ฉีดยาชาไม่ได้หรือ ? ตอนนั้นตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤติ ชีวิตของคนสองคนอยู่ในมือนางคนเดียว นางจึงได้แต่คว้าทุกอย่างเท่าที่ทำได้และไม่รู้สึกเจ็บอันใดหรอก ทว่าตอนนี้…เจ็บจะตายอยู่แล้ว !
นางหวงก็เช็ดน้ำตาอยู่ด้านข้างพลางถามไม่หยุดปาก “ท่านหมอเหลียง เสี่ยวเว่ยบาดเจ็บหนักเช่นนี้จะส่งผลต่อการใช้งานของมือหรือไม่ ? ”
เมื่อล้างแผลเสร็จแล้วหมอเหลียงก็พันแผลที่มือของนางใหม่อีกครั้งพลางกล่าวว่า “ไม่หรอก ไม่ได้บาดเจ็บถึงกระดูก ล้วนเป็นบาดแผลภายนอกทั้งสิ้น ! ”
หลินเว่ยเว่ยแสร้งทำเป็นเข้มแข็ง “ท่านแม่เจ้าคะ ท่านเลิกร้องได้แล้ว ข้าเห็นจนจะร้องตามอยู่แล้ว ดูสิ น้ำตาข้าไหลออกมาเพราะท่านทั้งนั้น ! ”
นางหวงรีบใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาและมองบุตรสาวอย่างเหนื่อยใจ “ก่อนขึ้นเขา เจ้าสัญญากับแม่ไว้ว่าอย่างไร ? ”
“ข้าก็ไม่ได้ไปในที่มีสัตว์ร้ายเยอะนี่เจ้าคะ” หลินเว่ยเว่ยปากแข็ง
“หน้าผาเป็นสถานที่อันตรายเพียงใด เจ้าก็ยังกล้าไปเช่นนั้นหรือ ? ยังไม่เอ่ยถึงเรื่องแทบเอาชีวิตไม่รอด เจ้ายังทำให้หานเอ๋อร์ลำบากไปด้วย ! จงพูดมา ถ้าเจ้าจับซากต้นไม้ไว้ไม่ได้และไม่มีที่พักเท้าตรงหน้าผา ถ้าพวกเราไม่ได้ไปพบพวกเจ้าทันเวลาแล้ว ทั้งสองคน…” นางหวงคิดแล้วก็กลัว !
“ไอหยา ไอหยา…” หลินเว่ยเว่ยรู้สึกราวกับว่าเอาหูเข้าไปอยู่ในรังผึ้ง นางจึงรีบทำตัวอ่อนแอ “เจ็บจังเลย ! ท่านหมอเหลียง มียาที่กินแล้วไม่รู้สึกเจ็บหรือไม่ ? หรือยาสลบที่กินแล้วทำให้ข้าไม่ได้สติไปเลย ! ”
หมอเหลียงกำลังดึงเศษไม้ออกจากแขนนาง เขาเป่าเคราไปมาก่อนจะกล่าวว่า “ไม่มี ! ตัวข้าเป็นหมอมีจรรยาบรรณ ไฉนเลยจะมียานอกรีตเหล่านั้น ? กินแล้วก็ไม่เจ็บอีก เจ้าช่างกล้าคิด ! ”
แค่จัดการเศษหินเศษไม้ในแขนหลินเว่ยเว่ยก็กินเวลานานถึง 2 เค่อแล้ว หลินเว่ยเว่ยเหงื่อออกด้วยความเจ็บปวด นางแทบอยากสลบไปเสียตอนนั้น
โชคดีที่บาดแผลตรงแขนของนางล้วนเป็นบาดแผลภายนอก รักษาตัวประมาณครึ่งเดือนก็กลับมาเป็นหญิงแกร่งผู้มีชีวิตชีวาได้แล้ว !
หลังส่งท่านหมอเหลียงออกไปแล้ว หลินเว่ยเว่ยที่ถูกพันแขนจนเป็นมัมมี่ก็จับจ้องไปยังเจียงโม่หานที่กำลังถือถ้วยยาสุดขมเข้ามา “บัณฑิตน้อย ที่จริงแล้วบาดแผลของข้าไม่ต้องดื่มยาหรอก นอนพักสักตื่น แล้วพรุ่งนี้ก็กลับมากระโดดโลดเต้นได้เหมือนเดิม ! ”
“ไม่ได้ ! ยาที่หมอเหลียงสั่งให้ เจ้าต้องดื่มให้หมด ! จะดื่มเองหรือให้ข้าป้อน ? ” เจียงโม่หานทำสีหน้าเที่ยงธรรมโดยไม่คิดจะให้ต่อรองแม้แต่น้อย
ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็เผยรอยยิ้มแสนเจ้าเล่ห์และหลอกบัณฑิตหนุ่มว่า “ป้อนด้วยปากหรือ ? ”
เจียงโม่หานไม่พูดไม่จา ใช้มือข้างที่ไม่บาดเจ็บตักยาเข้าปากตนเอง หลินเว่ยเว่ยตกใจจนหน้าถอดสีจึงรีบเข้ามาแย่งถ้วยยาแล้วดื่มรวดเดียวทันที มันขมจนนางต้องขมวดคิ้ว “ข้าล้อเล่น…ข้าว่านะ บัณฑิตน้อย ความหนาของใบหน้าที่เจ้าฝึกออกมาได้นี้ ! ต้องขอบคุณข้าคนเดียว ! ”
“เดี๋ยวเจ้าก็จะเป็นว่าที่ภรรยาของข้า การป้อนยาเจ้าจะเป็นไร ? ” น้ำเสียงของเจียงโม่หานเหมือนกับทั้งสองคนเป็นสามีภรรยากัน จู่ ๆ ก็เหมือนว่าร่างกายของบัณฑิตหนุ่มได้ทลายจุดชีพจรและมีทักษะการต่อต้านคำพูดเชิงล้อเล่นขึ้นมา นี่มัน…ไม่ตรงตามหลักวิทยาศาสตร์ !
ล้อเล่นหรือ โลกของเรามีสัตว์ประหลาดมากกว่า 50-60 ตัว เหตุใดยังต้องมากลัวลูกไก่อย่างเจ้า ? ก็มาสิ !
“ไม่สนุกเลย ! ” หลินเว่ยเว่ยยังนึกถึงบัณฑิตหนุ่มผู้ไร้เดียงสาซึ่งสามารถบันดาลโทสะได้เพียงกดปุ่มเปิด
ต่อจากนั้นเจียงโม่หานก็ยัดผลไม้อบแห้งเข้าปากนางหนึ่งชิ้น หลินเว่ยเว่ยจึงกล่าวด้วยความจู้จี้ “ไม่อยากกิน อยากกินของเผ็ด…”
เจียงโม่หานทำใจแข็งแล้วปฏิเสธคำขอ “ท่านหมอบอกแล้วว่างดกินของเผ็ด ! ”
หลินเว่ยเว่ยเบะปาก จากนั้นก็เริ่มกังวล “มื้อเย็นใครทำอาหาร ? อย่าบอกว่าเป็นพี่ใหญ่ ? ข้ากลัวว่าหากได้กินโจ๊กของนางแล้วจะไม่ได้เห็นแสงอรุณในวันรุ่งขึ้น…”
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ทนหิวต่อไป ! โจ๊กที่ข้าต้มมันเป็นอย่างไร ? กลัวว่าข้าจะวางยาพิษเจ้าหรือ ? ” บุตรสาวคนโตตระกูลหลินผลักประตูเข้ามา นางได้ยินคำพูดประโยคนี้พอดีจึงโมโหจนแทบอยากเอาโจ๊กในมือสาดหน้าน้องสาว
เจียงโม่หานย้ายโต๊ะมาไว้ข้างหลินเว่ยเว่ย หลังจากรับโจ๊กมาวางไว้ที่โต๊ะแล้ว เขาก็ใช้มือซ้ายหยิบช้อนเพื่อตักโจ๊กขึ้นมา 1 คำ เป่าให้คลายความร้อนสักพักหนึ่งก่อนจะลองชิม “ไม่แย่ รสชาติพอใช้ได้ ! น่าจะเป็นป้าหวงต้มให้เจ้า ! ”
หลังกล่าวจบ เขาก็ยื่นช้อนมาที่ริมฝีปากหลินเว่ยเว่ยซึ่งจ้องช้อนอยู่นานสองนาน ก่อนจะกล่าวขึ้นมาเบา ๆ “ช้อนนี้…เมื่อครู่เจ้าใช้แล้ว…”
“ใช้แล้วอย่างไร ? เจ้ารังเกียจข้าหรือ ? ” สีหน้าของเจียงโม่หานเปลี่ยนไปทันที ถ้าเจ้ากล้าพูดคำว่ารังเกียจออกมา ข้าจะสาดโจ๊กใส่หน้าเจ้าแน่
หลินเว่ยเว่ยคลี่ยิ้ม “ไม่ใช่ ถ้าข้ากินช้อนที่เจ้าใช้มาก่อนก็ไม่เท่ากับว่า…พวกเราจุมพิตกันหรือ ? ไม่ค่อยดีหรอก นี่มันเร็วเกินไป…อือ ! ”
นางยังไม่ทันได้พูดจบก็เห็นบัณฑิตหนุ่มเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว จากนั้นริมฝีปากอุ่นร้อนก็เข้ามาสัมผัสกับอวัยวะเดียวกันแล้วผละออกทันที อะ…อะไรกัน ? นาง…นางถูกบัณฑิตน้อยจูบหรือ…
“ตอนนี้…กินโจ๊กดี ๆ ได้แล้วหรือยัง ? ” ภายใต้การอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงของสองพี่น้อง เจียงโม่หานก็ยัดช้อนเข้าปากหลินเว่ยเว่ย