ตอนที่ 237 คุณชายโปรดสำรวม
เจียงโม่หานพูดแทรกอย่างเย็นชา “ข้าชื่นชมผู้มีความทะเยอทะยาน แต่ความสามารถของมนุษย์ก็ต้องคู่ควรกับความทะเยอทะยานของตนด้วย ! ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับ ‘คางคกหาว1…ฝีปากไม่เบาพูดจาคุยโว’ ! ”
“ข้ามีความสามารถหรือไม่ ต่อไปทุกคนก็รอดูได้เลย ! ” หนิงตงเซิ่งถลึงตามองอีกฝ่ายด้วยความโมโห แต่รอยยิ้มที่มีให้หลินเว่ยเว่ยอ่อนโยนดั่งสายลมในฤดูใบไม้ผลิ ความสามารถในการเปลี่ยนสีหน้าถือเป็นอันดับหนึ่ง “หลินกู่เหนียง ท่านว่า…พวกเราจะลงนามในสัญญากันเมื่อไร ? ”
“ตอนนี้ข้าบาดเจ็บจึงถูกคนในบ้านจำกัดอิสระ ช่วงนี้น่าจะไม่ได้เข้าไปที่เขตเริ่นอัน หากเลือกวันไม่สู้ทำกันวันนี้เลยดีกว่า เราลงนามกันวันนี้ดีหรือไม่ ? ” เรื่องดีถึงเพียงนี้แน่นอนว่ายิ่งจัดการให้เสร็จเร็วเท่าไรก็ยิ่งดี ไม่อย่างนั้นพออีกฝ่ายเริ่มย้อนคิดแล้วเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาจะดีได้อย่างไร ?
เอาล่ะ ! กระดาษและแท่นฝนหมึกถูกเตรียมขึ้นในทันควัน หลินเว่ยเว่ยเป็นคนพูด เจียงโม่หานใช้มือซ้ายช่วยเขียน ผ่านไปไม่นานสัญญาอันไร้จุดบกพร่องก็เสร็จสิ้น ลู่เหวินจวินหยิบมาดู สัญญาจำเป็นจะต้องเขียนให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นจะนำพามาซึ่งความขัดแย้งในวันหน้า
หลังส่งคุณชายหนิงและคุณชายลู่ออกไปแล้ว หลินเว่ยเว่ยก็หยิบสัญญามามองอย่างมีความสุขอีกครั้ง จากนั้นก็ยื่นให้หลินจื่อเหยียน “เก็บไว้ให้ดี ! นี่คือเงินปันผลครึ่งหนึ่งในอีก 50 ปีข้างหน้าของร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้ ดูจากตอนนี้แล้ว แม้ร้านหนิงจี้จะมีเพียง 2 สาขา แต่วันหน้าแค่เมืองเล็ก ๆ เมืองหนึ่งก็อาจหากินขนมจากร้านขายขนมและผลไม้อบหนิงจี้ได้แล้ว ! เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราก็รอนับเงินจนเป็นตะคริวได้เลย ! ”
หลินจื่อเหยียนเอามือไปซ่อนไว้ข้างหลัง จากนั้นก็ถอยห่างทันที “ของสำคัญถึงเพียงนี้เอามาให้ข้าด้วยเหตุใด ถ้าทำหายหรือเปื้อนขึ้นมา ข้ารับผิดชอบไม่ไหว…”
“ดูท่าทางของเจ้าสิ ! ของบ้านตนเองมีสิ่งใดที่รับผิดชอบไม่ไหว ? ต่อไปเจ้าจะเป็นผู้นำตระกูลหลินของเรา หากไม่ให้เจ้าเก็บของสำคัญแล้วจะให้ใครเก็บ ? ท่านแม่สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง หรือเจ้าจะให้ท่านแม่ช่วยแบกภาระไปทั้งชีวิต ? ” หลินเว่ยเว่ยนำสัญญาไปตบที่หน้าอกของน้องสาม
หลินจื่อเหยียนจับสัญญาไปวางบนโต๊ะเหมือนเดิมอย่างระมัดระวัง “ข้ารู้ แต่เดิมก็ไม่มีสูตรที่สืบทอดกันมาของตระกูลหลินอยู่แล้ว สูตรขนมเหล่านี้ก็เป็นของที่พี่รองคิดขึ้นมา…สัญญาควรให้ท่านเก็บจะดีกว่า ! ”
“เฮ้ ! เจ้าเด็กคนนี้ ข้าบอกว่าเป็นของตระกูลหลินก็ตระกูลหลินสิ ! หรือเจ้าคิดว่าพี่รองไม่ใช่คนตระกูลหลิน ? ข้าเขียนสูตรไว้ หลังผ่านไปสองสามรุ่นก็ไม่ได้กลายเป็นสูตรตระกูลหลินแล้วหรือ ? ข้าให้เจ้าเก็บก็เก็บไป พูดมากอันใดนักหนา ! อย่ายั่วให้ข้าโมโห ถึงตอนนี้ข้าจะเหลือมือข้างเดียวแต่ก็ทุบเจ้าจนนอนติดเตียงได้ เจ้าเชื่อหรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยใช้น้ำเสียงดุร้ายที่สุดมาทำเรื่องอ่อนโยนที่สุด !
“พะ…พี่รอง ข้าไร้ประโยชน์มากใช่หรือไม่ ? ” หลินจื่อเหยียนรู้สึกเหมือนสัญญาในมือหนักขึ้นทันที พี่รองเพิ่งอายุ 14 ปี แต่บ้านหลังนี้พึ่งพานางคนเดียวและยังสร้างรากฐานไว้ให้ลูกหลาน ลำคอของเขาเหมือนมีบางอย่างขวางอยู่ ใบหน้าก็เศร้าสร้อยพร้อมน้ำตาที่ไหลออกมา !
หลินเว่ยเว่ยตบบ่าอีกฝ่าย “เจ้าจะมีประโยชน์หรือไม่ก็ต้องดูว่าปีหน้าสอบบัณฑิตถงเซิงได้หรือเปล่า ! ถ้าแม้แต่บัณฑิตถงเซิงยังคว้ามาไม่ได้…ฮึฮึ ! ”
หลินจื่อเหยียนเบือนหน้าหนีแล้วเช็ดน้ำตาที่หางตา จากนั้นก็กล่าวด้วยเสียงขึ้นจมูก “พี่รอง ท่านตั้งเงื่อนไขต่ำไปหรือไม่ ? ข้าหลงคิดว่าท่านจะกล่าวว่าสอบซิ่วไฉไม่ได้ต่างหาก ข้าถึงจะไร้ประโยชน์ ! ”
“เรื่องช่วยให้ต้นกล้าเติบใหญ่ ข้าทำไม่ได้ ! ข้าต้องกินทีละคำ เดินทีละก้าว ปีหน้าเจ้าเพิ่งอายุ 14 ปี ไฉนเลยจะกำหนดอนาคตได้ในทันที ? เจ้าเป็นน้องชายของข้า ข้าฉลาด มากความสามารถถึงเพียงนี้ แล้วเจ้าจะเป็นคนไร้ประโยชน์ได้อย่างไร ? ” หลินเว่ยเว่ยเอื้อมมือจะไปหยิกแก้มอ้วนของพ่อหนุ่มน้อย แต่เจียงโม่หานห้ามนางไว้
“จื่อเหยียนอายุ 13 ปีแล้ว ไม่ใช่เด็กน้อยแล้ว ! ” น้ำเสียงของเจียงโม่หานคมชัด
หลินเว่ยเว่ยจ้องเขาอยู่นานสองนาน จนกระทั่งเห็นใบหน้าสีแดงก่ำของอีกฝ่ายถึงจะกล่าวว่า “เขาเป็นน้องชายของข้า นี่เจ้าก็หึงหรือ ? ”
เจียงโม่หานมองต่ำทันที แต่มือที่จับนางไว้กลับไม่ขยับ “ไม่เกี่ยวกับความหึงหวง พี่น้องทั้งหลายเมื่อเติบโตขึ้น อย่างไรก็ควรเลี่ยงคำครหา…ตามหลักควรจะเป็นเช่นนั้น ! ”
หลินเว่ยเว่ยยกมือตนขึ้นแล้วเหลือบมองมือที่ติดอยู่ตรงนั้นของบัณฑิตหนุ่ม “อ้อ…พอชายหญิงเติบโตแล้วควรเลี่ยงคำครหาสินะ ! ”
“ระหว่างสามีภรรยาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น ! ” บัณฑิตหนุ่มกล่าวด้วยความมั่นใจ แต่ฟังแล้วไม่สมเหตุสมผลเลย
หลินจื่อเหยียนถลึงตามองมือที่จับกันอย่างไม่สบอารมณ์ “แต่ตอนนี้พวกท่านยังไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน แม้แต่คู่หมั้นก็ยังไม่ใช่ ! ศิษย์พี่เจียง ท่านอย่ามาหยอกพี่รองผู้ไร้เดียงสาของข้า ต่อไปข้าจะคอยจับตามองท่าน…พวกท่านเอาไว้ ! ”
เจียงโม่หานค่อย ๆ ปล่อยมือหลินเว่ยเว่ย แล้วเอ่ยเยี่ยงคุณชายจอมเสแสร้ง “ในที่สุดก็มีท่าทางของน้องชายบ้างแล้ว รู้จักปกป้องพี่สาว ไม่เสียแรงที่นางทำเพื่อเจ้า ! วันนี้อักษรห้าหน้าคัดเสร็จหรือยัง ? มีนโยบายที่ให้เจ้าศึกษา…”
หลินจื่อเหยียนได้ยินถึงนโยบายก็เริ่มปวดศีรษะขึ้นมาทันที “ข้าจะไปศึกษาและไปคัดประเดี๋ยวนี้ ศิษย์พี่เจียง ท่านเองก็ใกล้สอบแล้ว เหตุใดจึงทำตัวสบายได้ทุกวัน ? ”
“หากเจ้าเรียนรู้ได้เท่าข้า เจ้าก็สามารถทำตัวสบายได้ ! ” แม้ชาติก่อนเจียงโม่หานจะเป็นขุนนางกบฎที่ใครก็เกรงกลัว แต่ด้านการศึกษานั้นเขาตั้งใจจริง ทำให้คนเหล่านั้นได้แต่ไล่ตามหลัง
หลินจื่อเหยียนสะบัดก้นออกไปคัดตัวอักษร หลินเว่ยเว่ยมองเจียงโม่หานด้วยรอยยิ้ม “เจ้าไม่ถ่อมตัวแม้แต่น้อย ! ”
“นี่ยังไม่ชัดเจนอีกหรือ ? ถ้าน้องชายเจ้าอยากขึ้นมาสู่ระดับสูงเช่นข้า ยังต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปี ! ” คุณสมบัติของหลินจื่อเหยียนดีใช้ได้ บทความก็เขียนได้มีจิตวิญญาณ หากขัดเกลาสักสองสามปีแล้วตำแหน่งบัณฑิตจิ้นซื่อก็ไม่ใช่ปัญหา
“ห่างอีกหลายสิบปี ? บัณฑิตน้อย เจ้าสะกดคำว่าอายเป็นหรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยเอื้อมมือไปเขี่ยแก้มของเขา
เจียงโม่หานรีบคว้ามือที่อยู่ไม่สุขของนางทันที “ข้าไม่รู้ เช่นนั้น…เจ้าเขียนให้ข้าดูได้หรือไม่ ? ”
หลินเว่ยเว่ยรีบชักมือกลับ “ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิด คุณชายโปรดสำรวมด้วย ! ”
“ร่างกายของข้า กินเท่าไรก็ไม่อ้วน ดังนั้น…ไม่จำเป็นต้องสำรวม ! ”
“บัณฑิตน้อย คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นคนเช่นนี้ ! ความเย็นชาของเจ้าและท่าทางสูงส่งยากเอื้อมถึงหายไปไหนแล้ว ? ” หลังจากบัณฑิตหนุ่มสารภาพความในใจออกมาแล้ว ตัวเขาก็…เปลี่ยนเป็นคนละคน ! บัณฑิตน้อยผู้หยิ่งยโสเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น กลับทำตัวผ่อนคลายเมื่ออยู่ต่อหน้านางมากขึ้นเรื่อย ๆ…ไม่ตรงปกอย่างแรง !
“โดนเด็กน้อยคนหนึ่งขัดเกลาจนไม่เหลือแล้ว เด็กน้อยคนนี้ทำตัวติดข้าทุกวัน แกล้งบ้าง หยอดบ้าง ดึงดูดให้ข้าสนใจ พอข้าชอบนางแล้วก็ยังมาถามถึงความเย็นชาของข้าว่าอยู่ที่ไหน ! ” เจียงโม่หานเผยท่าทางเย็นชาออกมา
“ที่พูดนี่คือ…ความผิดของข้าหรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยหัวเราะอย่างมีความสุขเพราะถ้อยคำที่ว่า ‘ชอบนาง’
เจียงโม่หานเหลือบมองอีกฝ่าย “หรือข้าเป็นคนผิด ? ”
“ไม่ผิด เจ้าไม่ผิด ! จะผิดก็ผิดที่ข้าเก่งเกินไป เก่งจนเจ้าไม่อาจปฏิเสธได้…” หลินเว่ยเว่ยหันมาชมตัวเองแทน
เจียงโม่หานนึกอยากอาเจียน…
หลินเว่ยเว่ยพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านอย่างที่พูดไว้จริง ในแต่ละวันถ้าไม่เดินไปดูงานที่โรงงานแปรรูปหนึ่งรอบก็คอยชี้แนะพี่สาวคนโตให้ทำอาหารอยู่ที่บ้าน ส่วนหลินจื่อเหยียนจะใช้เวลาว่างในช่วงเย็นเพื่อรับซื้อของป่าและผลไม้ป่า ตั้งแต่ชั่งน้ำหนักและจดลงบัญชี…
1 คางคกหาว หมายถึง คนที่ชอบพูดจาโอ้อวด