ตอนที่ 293 แค่นี้ก็เชื่อแล้วหรือ ?
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นทหารกบฏไม่ใช่กองโจรทั่วไป ? เจ้าต้องรู้ว่าการรายงานความเท็จต่อกองทัพมีโทษถึงประหารชีวิต ! ” หัวหน้านายทหารรักษาการณ์ถาม
“คนนับร้อยเข้ามาในหมู่บ้านตอนกลางดึก แต่ละคนยังขี่ม้า ในมือถือคันธนูหลังแบกกระบอกใส่ลูกธนู ขอถามหน่อยว่ามีโจรธรรมดาที่ใดมีอาวุธพร้อมสรรพและฝึกฝนกันมาอย่างดีเช่นนี้ ? ” เจียงโม่หานมีสีหน้าไร้ซึ่งความหวาดกลัว เขาย้อนถามอย่างมั่นใจ
หัวหน้านายทหารรักษาการณ์ยังอยากถามต่อ แต่เขาเห็นศีรษะน้อย ๆ ยื่นออกมาจากเบื้องหลังหนุ่มรูปงามในชุดบัณฑิตเสียก่อน “ใต้เท้า ข้ามีลูกธนูที่เก็บมาได้ดอกหนึ่ง บางทีมันอาจให้เบาะแสได้ ใต้เท้าโปรดพิจารณา ! ”
หลินเว่ยเว่ยนำลูกธนูที่กำมาตลอดทางยื่นให้หัวหน้านายทหารรักษาการณ์ นายทหารที่ยืนอยู่ด้านหน้าของนางรีบชี้หอกเข้าใส่ด้วยความหวาดระแวง “อย่าขยับ ! ”
หลินเว่ยเว่ยจึงรีบปรับทิศทางลูกธนูแล้วเล็งธนูไปทางหัวหน้านายทหารรักษาการณ์
หัวหน้านายทหารรักษาการณ์มองออกว่าคนตรงหน้าคือกู่เหนียงที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ ท่าทางของสาวน้อยเผยให้เห็นว่านายทหารนั้นทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
เมื่อรับลูกธนูมาถือไว้ หัวหน้านายทหารรักษาการณ์ก็มองมันอยู่นาน เขาได้คำตอบเดียวเท่านั้นคือลูกธนูแบบนี้ไม่ควรเป็นสิ่งที่คนธรรมดาทั่วไปมีไว้ในครอบครอง สำหรับเรื่องที่ว่าจะเป็นทหารกบฏของราชวงศ์ก่อนหรือไม่ ยังต้องให้ท่านแม่ทัพยืนยัน เขามองไปยังหนุ่มสาวคู่นี้แล้วพูดว่า “ตามข้ามา ! ”
เมื่อเข้ามาในค่ายแล้วดวงตาของหลินเว่ยเว่ยก็มีไม่พอให้ใช้อีกต่อไป นางมองซ้ายทีขวาทีเพราะไม่ว่าสิ่งใดก็น่าสนใจสำหรับนางทั้งสิ้น แต่ว่าตอนนี้เป็นช่วงฟ้าสาง พวกนายทหารยังไม่ตื่นขึ้นมาฝึกซ้อม สำหรับนางจึงมีเพียงความรู้สึกเดียวคือ…ค่ายทหารนี้ใหญ่มาก !
“ทำตัวให้ดีหน่อย อย่ามองไปทั่ว ! ” หัวหน้านายทหารรักษาการณ์หันมามองนางแล้วเตือนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หลินเว่ยเว่ยรีบพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว เป็นความลับทางทหาร ! ไม่มองแล้ว ! ” หลังกล่าวจบนางก็จดจ่อสมาธิไปที่เท้าของตน
เมื่อรอให้หัวหน้านายทหารรักษาการณ์หันกลับไปแล้ว นางก็กระตุกชายเสื้อบัณฑิตน้อย “เจ้าคิดว่าค่ายใหญ่ถึงเพียงนี้จะมีทหารอยู่กี่นาย…”
ขณะมองแผ่นหลังของหัวหน้านายทหารรักษาการณ์ เจียงโม่หานก็บีบมือนางแล้วกล่าวเบาๆ ว่า “สิ่งที่ไม่ควรถามก็อย่าถาม ! ”
หัวหน้านายทหารรักษาการณ์พาทั้งสองคนมาหยุดอยู่ตรงเบื้องหน้าของลานบ้านหลังหนึ่ง หลินเว่ยเว่ยกะพริบตาแล้วถามเบา ๆ ว่า “ข้าเข้าใจผิดว่าพวกทหารในค่ายจะพักอยู่แต่ในกระโจมเสียอีก ที่แท้ก็เป็นเรื่องโกหก ! ”
เจียงโม่หานเอ่ยเสียงเบา “กระโจมใช้สำหรับตอนเดินทัพ นี่คือค่ายถาวรจึงเป็นธรรมดาที่จะมีบ้านเรือน ทางฝั่งนี้ฤดูหนาวรุนแรง ถ้าอยู่ในกระโจมจะไม่ทำให้ถูกแช่แข็งจนเป็นแท่นน้ำแข็งหรอกหรือ ? ”
หลินเว่ยเว่ยพยักหน้า ทันใดนั้นหัวหน้านายทหารรักษาการณ์ก็หันมาถลึงตาใส่ทั้งสองคนอีกครั้ง “ท่านแม่ทัพให้พวกเจ้าเข้าไป จำไว้ว่าสิ่งใดที่ไม่ควรพูดก็อย่าพูด สิ่งใดที่ไม่ควรมองก็อย่ามอง สิ่งใดที่ไม่ควรถาม…”
“ก็อย่าถาม ถูกหรือไม่ ? ” หลินเว่ยเว่ยพูดต่อถ้อยคำของอีกฝ่าย ก่อนจะเห็นสายตาโมโหของเขา นางก็กล่าวต่อ “ขอบคุณใต้เท้าที่ตักเตือน ข้าน้อยรู้สึกซาบซึ้งอย่างยิ่ง ! ”
หัวหน้านายทหารรักษาการณ์มองเจียงโม่หานที่เป็นดั่งหยกงามและท้องฟ้าสีครามในฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นก็หันไปมองสาวน้อยที่กลอกดวงตาไปมา แค่มองก็รู้แล้วว่านางเป็นคนที่อยู่ไม่สุข สองคนนี้เป็นอะไรกัน ? เหตุใดดูเหมือนนิสัยจะตรงกันข้ามเหลือเกิน !
ขณะมองทั้งสองคนเดินเข้าไปในลานบ้าน หัวหน้านายทหารรักษาการณ์ก็กำชับนายทหารที่เฝ้าประตูอีกสองสามประโยคแล้วย้อนกลับไปที่ตำแหน่งเดิมของตน
แม่ทัพกัวอยู่ในชุดเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอก เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ1 ในมือเล่นลูกธนูที่หัวหน้านายทหารรักษาการณ์มอบให้ เมื่อเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามาแล้วเขาก็เบนสายตามาที่ตัวเจียงโม่หาน “เจ้าคือบัณฑิตเจียงที่คิดค้นวิธีเขียนบัญชีรูปแบบใหม่และสร้างกังหันน้ำกระดูกมังกรใช่หรือไม่ ? ”
“ท่านแม่ทัพ เรื่องสำคัญในเวลานี้ควรเรียกรวมพลทหารเพื่อออกไปปราบโจรไม่ใช่หรือ ? ชีวิตชาวบ้านฉือหลี่โกวของพวกเรากำลังตกอยู่ในอันตรายขณะที่ท่านมัวแต่คิด ! ” หลินเว่ยเว่ยคิดว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะมานั่งคุยกัน
กระทั่งตอนนี้แม่ทัพกัวจึงได้เบนสายตามาที่ตัวหลินเว่ยเว่ย ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหานางด้วยท่าทางน่าเกรงขาม เจียงโม่หานรีบเดินขึ้นไปสองก้าวเพื่อปกป้องนางไว้ด้านหลัง “ใต้เท้า คู่หมั้นของข้าน้อยแค่เป็นห่วงครอบครัวและชาวบ้าน หากทำให้ขุ่นเคือง ต้องขอใต้เท้าอภัยให้ด้วยขอรับ ! ”
แม่ทัพกัวผลักตัวเขาออก เจียงโม่หานเป็นเพียงบัณฑิตคนหนึ่ง ไฉนเลยจะเทียบกับแม่ทัพผู้แข็งกระด้างได้ เขาถูกผลักจนเซไปด้านข้างทันที
“เจ้านี่ เหตุใดจึงลงมือลงไม้ ? ” หลินเว่ยเว่ยกลัวว่าบัณฑิตน้อยจะล้มจึงยื่นมือเข้าไปประคอง แต่แล้วกระบองในมือขวาก็ถูกจับไว้
นางจึงออกแรงบิดกระบองเหล็ก จากนั้นก็รีบถอยไปอยู่ข้างเจียงโม่หานแล้วหันมามองแม่ทัพกัวอย่างหวาดระแวง “เหตุใดต้องมาแย่งกระบองของข้า ? ”
แม่ทัพกัวมองฝ่ามือที่ขึ้นสีแดงของตน เด็กสาวที่ดูอ่อนแอคนหนึ่งสามารถดึงกระบองออกจากมือเขาได้อย่างง่ายดาย พละกำลังนี้ช่าง…
“เจ้าคือกู่เหนียงน้อยแห่งฉือหลี่โกว…ที่ช่วยชีวิตหมินอ๋องซื่อจื่อไว้ใช่หรือไม่ ? ” แม่ทัพกัวถามขณะที่นำฝ่ามืออันร้อนผ่าวไปไว้ด้านหลัง
หลินเว่ยเว่ยพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ใช่ ! จะถามเรื่องนี้ไปเพื่อเหตุใด ? ”
“ไม่ได้เพื่อเหตุใดหรอก ก็แค่ถาม ! ” ต่อจากนั้นแม่ทัพกัวก็หันหลังไปหยิบอาวุธในตัวบ้านแล้วพูดกับทั้งสองคนว่า “ไปกันเถิด ไปจับพวกกบฏด้วยกัน ! ”
ในสมองของหลินเว่ยเว่ยเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม…แค่นี้…ก็เชื่อพวกนางแล้วหรือ ?
เจียงโม่หานลูบศีรษะนางแล้วเอ่ยว่า “แม่ทัพกัวเคยอยู่ใต้บัญชาหมินอ๋อง เจ้ามีบุญคุณช่วยชีวิตซื่อจื่อและยังมีลูกธนูของพวกกบฏเป็นหลักฐาน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ! ”
ต่อจากนั้นแม่ทัพกัวก็มีบัญชารวมพลทหารจำนวน 2,000 นายให้ขึ้นหลังม้าเพื่อเตรียมออกเดินทาง เมื่อมองล่อที่อยู่ใต้ตัวทั้งสองคนแล้วเขาก็พูดกับลูกน้องว่า “ไปหาม้าสองตัวมาให้ทั้งสองท่านนี้”
หลินเว่ยเว่ยลูบศีรษะของเสี่ยวหง มันพาทั้งสองคนวิ่งมา 2 ชั่วยามแล้ว มันเองก็เหนื่อยไม่น้อย นางจึงไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของแม่ทัพกัว ทว่าพอขึ้นหลังม้าแล้วนางจึงได้รู้ว่าตนยังขี่ม้าไม่เป็น ม้าตัวนั้นไม่เชื่อฟังแม้แต่น้อย มันแค่พานางเดินเป็นวงกลมเท่านั้น
เมื่อกระโดดลงจากหลังม้าแล้ว นางก็กลับไปขึ้นหลังของเสี่ยวหงและหันไปฉีกยิ้มให้แม่ทัพกัวที่กำลังมองอยู่ “ข้า…ขี่เจ้านี่ต่อดีกว่า ! ”
หลังกล่าวจบนางก็ตะโกนใส่เสี่ยวหง “ไป ! ”
เสี่ยวหงก้าวเท้าทะยานไปเบื้องหน้าทันที ส่วนแม่ทัพกัวก็เลิกคิ้วสูง ล่อตัวนี้ไม่เลว ความเร็วไม่แพ้ม้าศึก แต่ไม่รู้ว่ามันจะอดทนได้นานสักเท่าไร !
ต่อจากนั้นอีกหนึ่งชั่วยาม สาวน้อยผู้ขี่ล่อก็ยังนำอยู่ด้านหน้า แม่ทัพกัวจึงตระหนักได้ว่าล่อตัวนี้ไม่ธรรมดา นางไปเอาเจ้าสิ่งล้ำค่านี้มาจากที่ใด ? ถ้าล่อเป็นเช่นนี้หมด พวกเขาก็คงไม่ต้องเสียเงินก้อนโตเพื่อออกไปหาซื้อม้านอกแคว้นอีกแล้วกระมัง ?
ภายใต้การนำทางของหลินเว่ยเว่ย ตอนที่ทหารม้า 2,000 นายเร่งฝีเท้ามายังฉือหลี่โกว ชาวบ้านฉือหลี่โกวที่มาอยู่ในหุบเขาหลังป่าสนแดงก็กำลังมองฟ้าที่สว่างขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความเคร่งเครียด เมื่อไม่มีความมืดในยามค่ำคืนแล้วก็ไม่รู้ว่าโจรเหล่านั้นจะตามมาเจอเมื่อไร
“พวกคนชรา เด็กและผู้หญิงไปหลบข้างใน กลุ่มทหารชาวบ้านมารวมตัวกันที่หน้าหุบเขา พวกเจ้าสองสามคนปีนขึ้นไปข้างบนและหาหินมาไว้เยอะ ๆ ส่วนพรานหวัง ท่านพาคนพวกนี้ตามข้ามาเฝ้าที่หน้าหุบเขา…ไม่ต้องกลัว ที่นี่ตั้งรับง่ายแต่บุกยาก เราจะต้องอยู่รอดจนถึงเวลาที่กองทัพมาช่วยแน่นอน ! ” หลีชิงให้กำลังใจชาวบ้านฉือหลี่โกวที่กำลังหวาดกลัว !
1 เก้าอี้ไท่ซือ คือ เก้าอี้ไม้แบบโบราณ มีพนักพิง ที่วางแขนและฐานรองนั่งที่กว้าง