ตอนที่ 300 ลวนลามคู่หมั้นตนเองผิดกฎหมายข้อใด
นางเผิงพบว่าการส่งบุตรชายคนเล็กมาที่นี่เป็นการตัดสินใจอันชาญฉลาดเพราะทั้งสามารถหาผู้ชี้แนะให้เหยี่ยนเอ๋อร์และยังหล่อเลี้ยงความรู้สึกของเด็กสองคนนี้ด้วย พอปลายปีหน้ามาเยือน ลูกสะใภ้แต่งเข้าบ้านแล้วในปีถัดไปนางอาจได้อุ้มหลานตัวอวบอ้วน…ดีเหลือเกิน !
นางเผิงและนางหวงนั่งด้วยกัน พี่สะใภ้ใหญ่ก็นั่งข้างทั้งสองคน บ้านสองหลังนี้มีอายุห่างกันมาก พี่สะใภ้ของเผิงหยูเหยี่ยนมีอายุมากกว่านางหวงถึง 2 ปี ! ทว่าสตรีสามคนที่มีอายุต่างกันยังสามารถมานั่งอยู่ด้วยกันและร่วมสนทนาอย่างสนุกสนานได้
หลังได้ฟังเหตุการณ์ที่น่าตื่นตกใจของเมื่อคืนจากปากของนางหวงแล้ว แม่สามีลูกสะใภ้คู่นี้ก็อกสั่นขวัญแขวนทันใด ชาวบ้านฉือหลี่โกวรวมกันยังมีไม่ถึง 200 คน แต่กองโจรนำกำลังมาเกือบ 500 คน บุตรสาวคนรองตระกูลหลินใจกล้าบ้าบิ่นพาบัณฑิตที่อ่อนแอคนหนึ่งไปหาทหารรักษาการณ์เมืองจงโจวตอนกลางดึก แม่สามีและลูกสะใภ้ตระกูลเผิงจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัว ถ้าทหารรักษาการณ์มาช่วยไว้ไม่ทัน พวกนางก็อาจไม่ได้พบเหยี่ยนเอ๋อร์อีกต่อไป…
โชคดี ! แม้ชาวฉือหลี่โกวจะเผชิญต่อการบุกปล้นของโจร แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงจนถึงขั้นมีคนเสียชีวิต ความเสียหายก็ไม่มาก หรือแม้แต่ยังสร้างผลงานชิ้นใหญ่ให้กองทัพอีกด้วย
ชาวบ้านฉือหลี่โกวจึงสามารถเดินออกไปข้างนอกได้อย่างภาคภูมิใจ ไปถึงไหนก็อวดถึงนั่น โดยเฉพาะหลิวว่ายจื่อที่อาศัยอยู่ในท่าเรือเป็นเวลานาน เขาเล่าเป็นเรื่องเป็นราวคล้ายว่าไปเจอมากับตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
หลิวว่ายจื่อและหลิวเอ้อร์ล่ายเกลียดที่ในเวลานั้นไม่ได้อยู่ในหมู่บ้านด้วย ไม่ได้ข้ามผ่านฝันร้ายไปพร้อมทุกคน แม้แต่รอยแผลเป็นบนตัวผู้ใหญ่บ้านยังเป็นเหรียญรางวัลแห่งการต่อต้านโจรหรือสัญลักษณ์ว่าไม่หวาดกลัวพวกกบฏ !
“เปิดคลังแจกอาหารบรรเทาทุกข์แล้ว ! เขตเริ่นอันเปิดคลังแจกอาหารบรรเทาทุกข์แล้ว ! ” บุตรชายไม่กี่คนที่ไปขายถ่านยังเขตเริ่นอันยังไม่ได้หยุดเกวียนเทียมวัวให้นิ่งก็เริ่มกระตุกเชือกค่าวอีกรอบแล้ว คราวก่อนตอนที่อำเภอเป่าชิงแจกข้าวสาร พวกชาวบ้านที่ได้รับก็ประหยัดกันแล้วประหยัดกันอีก เวลานี้ก็กินไปได้พอสมควร ในที่สุดก็รอดจนถึงการแจกอาหารรอบสองของทางราชสำนัก
วังต้าจู้บุตรชายคนโตของผู้ใหญ่บ้านพูดกับชาวบ้านว่า “ทุกคนพกเงินไปด้วยมากหน่อย ได้ข่าวว่าคราวนี้ในเขตเริ่นอันมีข้าวสารมาจากทางใต้ไม่น้อยและมีคำสั่งจากทางราชสำนักว่าให้วางขายในราคาถูก ข้าไปถามราคาข้าวมาแล้ว ถูกยิ่งกว่าของอำเภอจิงหยุนเสียอีก ! ”
“จะไปเอาอาหารบรรเทาทุกข์อย่างไร ? ถึงอย่างไรก็ต้องเอาใบทะเบียนบ้านไปด้วย ทุกคนในทะเบียนบ้านต้องไปรับเองหรือไม่ ? ” แม่เลี้ยงโก่วเชิ่งเอ๋อร์ถามด้วยความกังวลเพราะพ่อโก่วเชิ่งเอ๋อร์บาดเจ็บสาหัส เวลานี้ยังนอนรักษาตัวอยู่เลย ถ้าต้องฝืนเดินทางไปที่เขตเริ่นอันแล้ว จะไม่เหมือนเอาชีวิตไปทิ้งหรอกหรือ !
ผู้ใหญ่บ้านจึงกล่าวว่า “ไม่ต้องกังวล ถึงเวลานั้นก็เล่าเหตุการณ์ของทุกคนให้เจ้าหน้าที่ฟัง ถ้ายังขอรับไม่ได้อีก พวกเราแต่ละบ้านจะช่วยกันแบ่งให้พวกเจ้าเอง ไม่ปล่อยให้บ้านเจ้าเสียเปรียบแน่นอน ! ”
แม่เลี้ยงโก่วเชิ่งเอ๋อร์เช็ดน้ำตาไปพลางกล่าวขอบคุณไปด้วย ช่วงหลายวันนี้นางรู้สึกโชคดีมากที่ได้เป็นสมาชิกในหมู่บ้านฉือหลี่โกว เพราะเมื่อบ้านเรือนโดนทำลาย คนในหมู่บ้านก็ช่วยกันสร้างให้พวกนางใหม่ ข้าวของเครื่องใช้เสียหาย ซัวถัวและบิดาก็ทำให้ใหม่โดยไม่คิดค่าแรง ข้าวสารในบ้านถูกปล้นก็ได้ข้าวกลับคืนมาเป็นลำเกวียน…
บิดาของบุตรชายบาดเจ็บ ได้แต่นอนอยู่บนเตียง ทว่าพวกชาวบ้านไม่เคยปล่อยให้พวกนางต้องทนทุกข์กับความเศร้าสร้อยหรือความสูญเสียแม้แต่น้อย บ้านตระกูลหลินที่นางเคยทำให้ขุ่นเคืองก็ยังนำเนื้อ 5 ชั่งและไก่มาให้อีก 1 ตัว โดยบอกว่าเอามาให้พ่อของเด็ก ๆ บำรุงร่างกาย…น้ำตานี้จึงเป็นน้ำตาแห่งความสุข ความซาบซึ้งใจและความรู้สึกละอายแก่ใจ
ต่อไปนางจะต้องปฏิบัติต่อโก่วเชิ่งเอ๋อร์เหมือนบุตรแท้ ๆ ไม่คิดแต่จะเอาเปรียบไปเสียทุกอย่างและไม่พูดว่าร้ายตระกูลหลินอีกแล้ว !
เกวียนหลายสิบคันของหมู่บ้านฉือหลี่โกวถูกลากและดันโดยพวกชายฉกรรจ์และเด็กหนุ่มซึ่งด้านบนเป็นเด็กอายุต่ำกว่าสิบขวบกับพวกคนชราที่ขาไม่ดี คนทั้งหมู่บ้านออกเดินทางพร้อมกัน นั่นเป็นสิ่งที่ดูน่าเกรงขามยิ่งนัก ระหว่างทางพวกเขาได้พบชาวบ้านของหมู่บ้านอื่นที่กำลังประคองซึ่งกันและกัน คนในครอบครัวดูมีสภาพชีวิตยากลำบาก ไม่มีใครที่ไม่มองพวกตนด้วยความอิจฉา พวกเด็กหนุ่มจึงเริ่มดันเกวียนให้เคลื่อนที่เร็วกว่าเดิม !
สะดุดตาที่สุดยังเป็นเกวียนของตระกูลหลินเพราะล่อสองตัว ม้าแก่สองตัวกำลังลากเกวียนแต่ละคัน เจ้าหนูน้อยและพวกเด็ก ๆ ที่อยู่บนเกวียนกำลังท่องคัมภีร์สามอักษรหรือไม่ก็ร้องเพลงเด็กที่พี่รองสอน บรรยากาศดูมีความสุขจนเหมือนไม่ได้กำลังจะไปรับอาหารบรรเทาทุกข์ แต่ไปเที่ยวเล่น !
หมู่บ้านฉือหลี่โกวอยู่ไกลจากเขตเริ่นอัน มีเด็กจำนวนมากที่แม้โตจนอายุ 7-8 ขวบก็ยังไม่เคยออกนอกหมู่บ้าน คราวนี้มีโอกาสได้ออกมากับพวกผู้ใหญ่และสหาย จึงเป็นธรรมดาที่จะดีใจจนเหมือนได้ฉลองเทศกาล
เจียงโม่หานนั่งอยู่บนเกวียนพลางมองยาสีดำที่ป้ายไว้ตรงก้นล่อ ระหว่างทางไปขอความช่วยเหลือจากกองทัพในคืนนั้น เจ้าล่อตัวนี้โดนธนูยิงจนล้มไปแล้ว เดิมทีคิดว่ามันจะตายด้วยเงื้อมมือพวกโจร แต่ใครจะรู้ว่าหลังจากร่อนเร่อยู่ข้างนอกสองวัน มันก็กลับมาบ้านด้วยตนเองได้ พอกลับมาถึงบ้านแล้ว ก้นและขาของมันยังมีลูกธนูปักอยู่เลย !
นี่เพิ่งรักษามาได้แค่ไม่กี่วัน มันก็สามารถออกมาขนสินค้าได้แล้ว ม้าแก่ที่ถูกมอบให้ตระกูลหลินนั้นเดิมทีแม้แต่เดินยังเซ แต่หลังถูกเลี้ยงในบ้านตระกูลหลินได้เพียงไม่กี่วันก็แตกต่างออกไป ราวกับเปลี่ยนมาเป็นม้าหนุ่มอีกครั้ง ดูจากท่าทางลากเกวียนในเวลานี้ ไฉนเลยจะมีท่าทางของม้าแก่หลงเหลืออยู่ ? แถมยังให้ความรู้สึกเหมือนม้าหนุ่มจริง ๆ ด้วย !
เขาพูดกับหลินเว่ยเว่ยที่อยู่ด้านข้างว่า “บ้านของเจ้าเลี้ยงสัตว์เก่งเสียจริง ! ”
หลินเว่ยเว่ยมองเขาแล้วพูดเหมือนกำลังคิดบางอย่าง “ข้าน่ะ ไม่เพียงเลี้ยงสัตว์เก่ง แต่ยังเลี้ยง…คนเก่งมากด้วย ! ดูใบหน้าขาว ๆ ที่อวบขึ้นของเจ้าสิ เป็นผลงานของข้าครึ่งหนึ่งเชียวล่ะ ! ”
“รู้หรือไม่ว่าตอนนี้เจ้าเหมือนสิ่งใด ? ” เจียงโม่หานโดนจับใบหน้าอันหล่อเหลา แต่สีหน้าเขาไม่เปลี่ยน แม้แต่เสียงก็ยังไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย “เหมือนหนุ่มเจ้าสำราญที่ชอบล่วงเกินสตรี !”
“ฮ่าฮ่า ! ข้าลวนลามคู่หมั้นตนเองผิดกฎหมายข้อใด ? ” หลินเว่ยเว่ยยื่นมือไปเชยคางของบัณฑิตหนุ่ม
เจียงโม่หานรีบหลบ “ใช่ มันไม่ผิดกฎหมาย ! แต่ไม่เหมาะสม ! คนมองตั้งมากตั้งมายเช่นนี้ เจ้ากล้า แต่ข้าอายจะตายอยู่แล้ว ! ”
ดวงตาคู่น้อยของหลินเว่ยเว่ยโค้งขึ้นทันใด “ถ้าเช่นนั้น…ตอนที่ไม่มีคนอยู่ ข้าก็สามารถลวนลามได้ใช่หรือไม่ ? ”
เจียงโม่หานหูแดงทันที จากนั้นก็ส่งสายตาเตือนนางว่า ‘อย่าเล่นกับไฟ ไม่อย่างนั้นต้องแบกรับผลที่จะตามมาเอง ! ’
หลินเว่ยเว่ยหันไปลอบยิ้มกับตนเอง นางเฝิงที่นั่งอยู่บนเกวียนเทียมม้าก็ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะพูดกับนางหวงว่า “ดูสิ เด็กทั้งสองคนรักกันมาก ! ”
เมื่อนางหวงหันไปมองกลับเห็นบุตรสาวกำลังลวนลามบัณฑิตเจียง นางจึงมีความรู้สึกอยากปิดหน้าหนีขึ้นมาทันใด ‘เด็กคนนี้ใจกล้าเกินไปแล้ว ! ’ นางครุ่นคิดในใจว่าจะเลื่อนงานแต่งของเด็กสองคนให้เร็วขึ้นดีหรือไม่ เพราะกลัวเหลือเกินว่าบุตรสาวอาจใจกล้ากว่านี้แล้วทำลายความบริสุทธิ์ของบัณฑิตเจียง…
เมื่อมาถึงเขตเริ่นอัน พวกเขายังรออยู่ที่นอกประตูเมือง ชาวบ้านที่มารับอาหารบรรเทาทุกข์ยังต่อแถวยาวเหมือนหางว่าว และพวกเขายังทำเหมือนเดิมคือส่งหนึ่งคนต่อหนึ่งครอบครัวไปต่อท้ายแถว ทันใดนั้นก็มีนายทหารเดินเข้ามาถาม “พวกเจ้ามาจากหมู่บ้านใด ? ”
ผู้ใหญ่บ้านเดินขึ้นหน้าแล้วตอบคำถาม “พวกเรามาจากหมู่บ้านฉือหลี่โกว…”
“หมู่บ้านฉือหลี่โกว ? ” นายทหารรีบกวาดสายตามอง ก่อนจะรีบส่งสายตาให้เพื่อนทหาร แล้วอีกฝ่ายก็วิ่งหายไปอย่างรวดเร็ว !
หลินเว่ยเว่ยรู้สึกแปลกใจจึงรีบวิ่งเข้าไปแล้วถามนายทหารว่า “มีปัญหาอันใดหรือ ? ”
“ไม่มีปัญหา ! แค่ถามตามหน้าที่ ! ” ท่าทางของนายทหารดูดีและไม่ลนลานเวลาเผชิญหน้ากับผู้อื่น มองจากปฏิกริยานี้ก็น่าจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอันใด