ตอนที่ 403 การหยั่งเชิงของอาจารย์ฟ่าน
“เจ้าจะเข้าใจอะไร! รื้อรถม้าแล้วยังต่อเติมใหม่ได้ แต่ถ้าพลาดปลาเหล่านี้ไปแล้วจะหาซื้อในเขตเริ่นอันไม่ได้อีก หลินต้าฮว๋า หากเจ้ายังไม่เลิกบ่น พอกลับไปแล้วก็อย่าหวังว่าจะได้กินปลาฝีมือข้า ! ” หลินเว่ยเว่ยถลึงตาข่มขู่น้องชาย…ตอนนี้เจ้าเอาแต่บ่น รอให้ทำอาหารจากปลาชั้นเลิศเสร็จเมื่อใดก็จะไม่มีส่วนของเจ้า !
เจียงโม่หานหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูก เฮ้อ ! ไม่พูดก็คงไม่ได้ว่าผ้าเช็ดหน้าสีขาวคู่กับชุดสีนวลจันทร์ของเขา มองแล้วดูเหมือนเทพเซียนมากเหลือเกิน
เมื่อหลินจื่อเหยียนเห็นแบบนั้นก็รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดจมูกตัวเองบ้าง เจ้าเด็กนี่ เลียนแบบเก่งจริงเชียว หลินเว่ยเว่ยอดไม่ได้ที่จะล้อเลียน…
“ท่านแม่ทัพขอรับ พวกเขาสามคนมีสิ่งใดไม่ชอบพากลหรือขอรับ ? ” รองแม่ทัพเห็นว่าแม่ทัพหลินหันไปมองรถม้าที่เต็มไปด้วยปลาคันนั้น ทั้งยังมองแบบไม่ละสายตาอยู่นาน เขาจึงเกิดความสงสัยขึ้นมา
แม่ทัพหลินละสายตาจากตัวเด็กสาวที่นั่งอยู่ด้านหลังรถม้าแล้วส่ายหน้า เสียงเรียก ‘หลินต้าฮว๋า’ เมื่อครู่ทำให้เขานึกถึงบุตรของตน บุตรชายคนโตก็มีชื่อเล่นว่าต้าฮว๋า บุตรคนที่สองก็เป็นเด็กผู้หญิง ทว่า…
เด็กสาวที่โดนเรียกว่า ‘พี่รอง’ มีรูปร่างผอมเพรียว คิ้วคมประดุจสันกระบี่ คารมคมคายและยังมีความร่าเริงมากเกินไป นางจะกลายมาเป็นบุตรของเขาได้อย่างไร ?
เฮ้อ ! เหยียนเหนียง เจ้ากับเด็ก ๆ หายไปอยู่ที่ใดกันแน่ ?
หลินเว่ยเว่ยหันไปมองพวกทหารที่เพิ่งผ่านไป…มองอะไร ? อายุปูนนี้แล้วยังทำตัวไม่เหมาะสม เอาแต่มองเด็กสาวอย่างนางอยู่ได้ ถ้ายังมองอีกข้าจะควักลูกตาของเจ้า !
“หืม ! ท่านแม่ทัพ เด็กคนนั้นกล้าถลึงตาใส่ท่านขอรับ ! ” รองแม่ทัพทนไม่ไหว เขารีบพับแขนเสื้อเพื่อจะทำให้เด็กไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงได้สำนึก !
แม่ทัพหลินห้ามเขาไว้ด้วยรอยยิ้ม นางหนูคนนี้ขี้โมโหใช้ได้ ! เขาค่อย ๆ ผลักความรู้สึกคุ้นเคยที่มีต่อเด็กสาวออกไป…แม้ว่าเหยียนเหนียงของเขาจะหนีออกจากหมู่บ้านได้ทันก็ไม่มีทางหนีมาอยู่ฝั่งชายแดนได้หรอก ส่วนทางฝั่งบ้านเกิด เขาก็ได้ส่งคนไปสืบข่าวแล้ว ทว่าไม่มีข่าวใดเกี่ยวกับพวกนางเลย
นี่ก็ผ่านมาเกือบ 6 ปี เหยียนเหนียงกับพวกเด็ก ๆ จะยังสบายดีหรือไม่ ? เขาจะต้องตามหาพวกนางให้พบ !
สามวันต่อจากนั้นพวกหลินเว่ยเว่ยก็เข้ามาในหมู่บ้านฉือหลี่โกวพร้อมปลาเต็มคันรถม้า คนทั้งหมู่บ้านตกใจมาก…ต้าฮว๋าของบ้านตระกูลหลินไปสอบหรือว่าไปซื้อปลากันแน่ ?
เจ้าหนูน้อยพาเหล่าสหายมาโห่ร้องและกระโดดไปมารอบรถม้า เขาชี้ไปที่ปลาเจ๋อลั่วตัวใหญ่ที่สุด “ปลาตัวใหญ่มาก ถ้าเอามาแขวนมันอาจสูงกว่าตัวข้าเสียอีก ! ”
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “นางหนูรอง เจ้าซื้อปลามามากมายขนาดนี้จะกินหมดหรือ ? ไปเจอพ่อค้าขายปลาที่อำเภอมาหรืออย่างไร ? ”
นางหวงได้ยินเสียงจึงเดินออกมาต้อนรับ “พวกเจ้าหนอพวกเจ้า สอบเสร็จแล้วก็ไม่รู้จักกลับบ้าน ต้องวิ่งไปชายแดนให้ได้ ไม่กลัวเจอพวกโจรตงหูบ้างหรือ ! ”
หลินจื่อเหยียนปากไว “เหตุใดจะไม่เจอขอรับ ? พี่รองซัดลูกศรไม้ไผ่ใส่พวกมันจนตายไปตั้งหลายสิบคน ! ”
“ว่าอย่างไรนะ ? ” นางหวงยกมือทาบอกและมีสีหน้าซีดเผือดทันที
หลินเว่ยเว่ยหันไปถลึงตาใส่หลินต้าฮว๋าแล้วรีบลงไปประคองมารดา “อย่าฟังที่ต้าฮว๋าพูดเหลวไหลเจ้าค่ะ ที่ตลาดการค้าข้ามเขตแดนมีทหารรักษาการณ์ตั้งหลายพันนาย ไฉนเลยจะมีที่ให้ข้าแสดงฝีมือ ? ก็แค่ไปมองพวกเขาสู้รบกัน แต่เราไม่เป็นอะไรกันเลยเจ้าค่ะ ! ”
หลินจื่อเหยียนลูบจมูก มารดามีร่างกายอ่อนแอ เขาไม่น่าพูดความจริงออกไปให้นางเป็นกังวลเลย เขารีบพูดต่อ “ใช่ขอรับ ! มีหมินอ๋องซื่อจื่อนำกำลังทหารมาช่วยได้ทันเวลา คราวนี้พวกเราจึงแค่ตกใจ…จริงสิ พวกเราเอาแกะมาด้วยสองสามตัว ตัวอวบ ๆ ทั้งนั้น หนึ่งในนั้นกำลังตั้งท้องอยู่ด้วย พวกเราสามารถเก็บไว้เลี้ยงแล้วค่อยกินก็ได้ ! ”
นางหวงตรวจร่างกายของทั้งสองคน เมื่อเห็นว่าไม่มีบาดแผลใดก็สบายใจขึ้นมาก แต่พอเห็นปลาแช่แข็งอัดแน่นเต็มรถม้าก็กลับมากังวลอีกครั้ง “เจ้ารอง นี่เจ้าคิดจะไปขายปลาที่เขตหรือไร ? ”
หลินเว่ยเว่ยหยิบปลาเจ๋อลั่วตัวยาวหนึ่งหมี่ขึ้นมาแล้วเดินไปหลังบ้าน “ขายปลาจะได้เงินสักเท่าไหร่กันเชียว ? ข้าตั้งใจว่าจะเก็บไว้กินเองเจ้าค่ะ ในห้องใต้ดินของบ้านเราไม่ได้มีน้ำแข็งอยู่เยอะหรอกหรือ ? ปลาแช่แข็งเหล่านี้สามารถเก็บไว้กินได้อีกนาน ! ”
นางคำนวณไว้แล้วว่าให้บ้านสกุลเผิงสองสามตัว ยังมีหุ้นส่วนของนางอย่างหนิงตงเซิ่ง ทุกครั้งที่เดินทางไปทุ่งหญ้าแล้ว เขาจะนำของขวัญกลับมาให้ คราวนี้นางจะตอบแทนไปเป็นพวกปลา…อย่างไรให้มาก็ต้องให้กลับ เพื่อไม่เป็นการเสียมารยาท !
แล้วก็ยังมีผู้อาวุโสเซวีย…ช่างเถิด เซวียจื้อเฉียนทำอาหารได้รสชาติธรรมดา รอให้นางทำลูกชิ้นปลาและห่อเกี๊ยวปลาเสร็จแล้วค่อยส่งไปให้เขาแล้วกัน นอกจากนี้ยังมีอาจารย์ฟ่านอีกหนึ่งคน ต้องส่งปลาไปให้สองสามตัวแล้วก็ลูกชิ้นปลาอีกสักสองสามชั่ง…
อ้อ ใช่ ยังมีป้ากุ้ยฮวา แม่ซัวถัว ท่านปู่ผู้ใหญ่บ้าน ท่านหมอเหลียง…พอมาลองคิดแล้วก็เริ่มรู้สึกว่าซื้อปลามาน้อยไปด้วยซ้ำ !
วันรุ่งขึ้น หลินเว่ยเว่ยก็เอาปลาเจ๋อลั่วยาวหนึ่งหมี่ออกมาเพื่อเตรียมทำเกี๊ยวปลาและลูกชิ้นปลา พอได้ยินว่าพวกนางกลับมาแล้ว ป้ากุ้ยฮวาและแม่ซัวถัวก็มาหา พอเห็นนางกำลังทำงานชนิดหัวหมุนอยู่ที่ลานบ้านจึงเข้ามาช่วย
เมื่อปลาหนึ่งตัวที่มีน้ำหนัก 70-80 ชั่งถูกเลาะก้างออกแล้วก็สามารถทำเกี๊ยวปลาได้ 20 ชั่ง ลูกชิ้นปลา 30 ชั่ง หลินเว่ยเว่ยแบ่งเกี๊ยวปลาให้คนที่มาช่วยงานคนละ 2 ชั่งและลูกชิ้นปลาอีก 3 ชั่ง
มื้อเที่ยง บ้านตระกูลหลินกินเกี๊ยวปลา ลูกชิ้นปลาผักพริกเกลือและซุปลูกชิ้นปลา ทุกจานมีรสชาติอร่อยมากจึงทำให้ทุกคนพอใจกันสุด ๆ โดยเฉพาะเด็กอย่างเจ้าหนูน้อยและเสี่ยวร่าง ลูกชิ้นปลาไร้สารปรุงแต่งใด ๆ ย่อมดีต่อร่างกายของเจ้าตัวน้อย !
วันต่อมา หลินเว่ยเว่ยยังทำลูกชิ้นปลากับเกี๊ยวปลาแล้วให้บัณฑิตน้อยนำไปส่งให้ผู้อาวุโสทั้งสองที่เขตเริ่นอัน (อาจารย์ฟ่าน ‘อย่างมากข้าก็แค่อยู่ในวัยกลางคน แล้วจะอยู่ในรุ่นเดียวกับผู้อาวุโสเซวียได้อย่างไร ? )
เจียงโม่หานไปบ้านอาจารย์ฟ่านก่อน เมื่อวางปลาแช่แข็งและผลิตภัณฑ์จากปลาลงไปแล้วก็นั่งสนทนากับอาจารย์ฟ่านที่ถามเขาว่า “ที่อำเภอเกิดคดีทุจริตขึ้น มีความเกี่ยวข้องกับเจ้าหรือไม่ ? ”
เจียงโม่หานตอบ “นายอำเภอพาเจ้าหน้าที่ไปพบตอนพวกเขายื่นซองกระดาษข้อสอบกันเอง แล้วจะเกี่ยวข้องกับศิษย์ได้อย่างไรขอรับ ? ”
อาจารย์ฟ่านมองเขาแล้วพูดว่า “ฮ่องเต้ให้ความสำคัญต่อคนมีความสามารถ ถึงขั้นส่งผู้ตรวจการมาคุมการสอบเป็นพิเศษ โม่หาน สิ่งที่เจ้ากังวลในการสอบเยวี่ยนซื่อคราวนี้น่าจะไม่เกิดขึ้นแล้ว อาจารย์หวังในตัวเจ้ามาก จงตั้งใจสอบให้ดี ! ”
“ขอบพระคุณในความเชื่อมั่นของอาจารย์ที่มีต่อศิษย์ขอรับ ! ” ความทะเยอทะยานของเจียงโม่หานไม่ได้หยุดอยู่แค่การสอบเยวี่ยนซื่ออย่างแน่นอน
ชาติก่อน การทุจริตถูกพบในการสอบระดับเยวี่ยนซื่อ หรือบางทีอาจพบพิรุธบางอย่างตั้งแต่การสอบเซี่ยนซื่อและฝู่ซื่อ เพียงแต่ในเวลานั้นอู๋ปัวยังไม่ขาดแคลนเงินจึงทำการซื้อขายข้อสอบอย่างระมัดระวัง ไม่มีใครพบเห็นก็เท่านั้นเอง ไม่อย่างนั้นด้วยสมองระดับอู๋ปัว ไฉนเลยจะสอบผ่านจนถึงระดับเยวี่ยนซื่อได้?
ในชาตินี้ การทุจริตถูกพบในการสอบระดับเซี่ยนซื่อ ทางราชสำนักยังส่งคนมาตรวจการล่วงหน้า ดังนั้นการสอบเยวี่ยนซื่อของเมืองจงโจวจึงไม่เกิดเรื่องที่ทำให้เขาต้องกังวลอีก
อาจารย์ฟ่านยังถามหยั่งเชิงเจียงโม่หานอีกสองสามคำถามและพอใจในคำตอบของเขามาก เจียงโม่หานเป็นศิษย์ที่มีไหวพริบและเปี่ยมศักยภาพมากที่สุดในสำนักศึกษา มีความสามารถของบัณฑิตระดับสูง แต่เขาเย่อหยิ่งไปหน่อย คนที่มีนิสัยแบบนี้มักมีชีวิตไม่ค่อยราบรื่นในเส้นทางขุนนาง
ทว่าในช่วงมากกว่าครึ่งปีที่ผ่านมานี้ นิสัยของเด็กหนุ่มได้รับการขัดเกลาไปในทิศทางที่ดีขึ้นมาก…ศักดิ์ศรียังคงมีอยู่ แต่ความทะนงหายไป บางทีเจียงโม่หานอาจเดินบนเส้นทางขุนนางได้ไกลกว่าเดิม !