ตอนที่ 407 เรื่องใหญ่สองเรื่องของบ้านสกุลหลิน
น่าเสียดายที่ในช่วงฤดูหนาว มู่เกินเอ๋อร์ไม่อาจใช้แรงงานเพื่อแลกเนื้อมาได้ อาหารที่มารดาทำก็มีเนื้อเป็นส่วนประกอบน้อยสุด ๆ เห็นอยู่ว่าซื้อเนื้อเข้าบ้านแต่ยังตระหนี่ เนื้อที่ได้กินทุกครั้งยังไม่พอให้ขัดฟันด้วยซ้ำไป นอกจากนี้เนื้อที่ท่านแม่ทำมักจะมีรสชาติสู้บ้านตระกูลหลินไม่ได้ ด้วยเหตุนี้สภาพอากาศอันอบอุ่นของฤดูใบไม้ผลิจึงเป็นช่วงที่มู่เกินเอ๋อร์ตั้งตารอที่สุด เพราะบ้านสกุลหลินจะกลับมาเลี้ยงกระต่ายอีกครั้ง…และเขาก็จะได้กินเนื้อ !
เจ้าหนูน้อยหัวเราะ “กระต่ายแม่พันธุ์พ่อพันธุ์ที่บ้านข้าเก็บไว้มีห้าตัวท้องโตแล้ว ! ”
เสี่ยวถู่โต้วตาโตทันที “หมายความว่าอีกไม่นานคอกกระต่ายบ้านเจ้าก็จะมีลูกกระต่ายเพิ่มอีกหลายสิบตัวน่ะสิ ? ข้าขอแบ่งไปเลี้ยงสักตัวได้หรือไม่ ? ข้าจะตั้งชื่อดี ๆ ให้มันแน่นอน ! ”
เมื่อปีกลาย วังตงเฉียงหลานชายของผู้ใหญ่บ้านนึกอยากเลี้ยงกระต่ายหิมะขึ้นมา เขาตั้งชื่อมันว่า ‘วังเอ้อร์เฉียง’ และป้อนหญ้าสดให้มันกินทุกวัน เลี้ยงจนตัวอวบอ้วน พอเชือดแล้วก็ทำเนื้อกระต่ายเส้นและยังห่อมาให้เขาด้วย !
วังตงเฉียงร้องไห้ไปพลางเพลิดเพลินกับเนื้อกระต่าย ‘เอ้อร์เฉียง’ ของตน สภาพแบบนั้นอย่าให้พูดเลยว่ามันน่าหัวเราะขนาดไหน ! สหายคนอื่นพากันอิจฉาที่เขาได้เนื้อเส้นไปกิน เพราะนั่นเป็นของกินเล่นแสนล้ำค่าที่หากนำไปขายจะได้ราคาชั่งละตั้งหลายตำลึง ! เอ้อร์ฮว๋ารับปากพวกเขาว่าหลังช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิแล้วจะแบ่งกระต่ายให้พวกตนเลี้ยงคนละตัว !
วันเวลาต่อจากนั้นพวกเด็ก ๆ ก็เอาแต่สังเกตการเจริญเติบโตและการเปลี่ยนแปลงของหญ้าทุกวัน ส่วนพี่สาวคนโตตระกูลหลินก็ไปดูต้นโอ๊กที่ปลูกไว้ตรงเนินเขาหลังบ้าน ตั้งแต่เดือนสามเป็นต้นมา นางก็จะไปที่นั่นแทบทุกวัน พอต้นโอ๊กยังไม่ถึงเวลางอกเงย นางก็สงสัยว่าตอนเคลื่อนย้ายต้นโอ๊กเกิดไม่ระวังจนรากของมันเสียหายหรือเปล่า มันอาจจะตายไปแล้ว
หลินเว่ยเว่ยกลอกตาใส่ “ช่วงเวลาเหมาะสมที่สุดให้หนอนไหมฟักตัวคือช่วงปลายเดือนสี่ เจ้าจะไปดูต้นโอ๊กเร็วขนาดนี้เพื่ออะไร ? ใจร้อนเกินไปจะอดกินของดี ช่วยอดทนหน่อยได้หรือไม่ ? ”
เมล็ดข้าวสาลีเริ่มถูกหว่านลงแปลงนา หลินเว่ยเว่ยยังพลิกหน้าดินบนเชิงเขาอีก 2 หมู่ จากนั้นก็โรยดินที่มีสารอาหารอุดมสมบูรณ์ไปอีกประมาณ 2 ฉื่อ รดน้ำด้วยน้ำจากมิติน้ำพุวิญญาณแล้วเริ่มหยอดเมล็ดข้าวโพดลงหลุม
ยังไม่ทันรู้ตัวก็เข้าเดือน 4 แล้ว บ้านสกุลหลินมีสองเรื่องใหญ่ให้จัดการ เรื่องแรกคือบัณฑิตน้อยหลินจื่อเหยียนต้องไปสอบระดับฝู่ซื่อที่ตัวเมืองจงโจว หากสอบผ่านฝู่ซื่อแล้วรายชื่อออกทันก็ต้องสอบระดับเยวี่ยนซื่อรอบพิเศษต่อ กว่าผลสอบของระดับเยวี่ยนชื่อจะออกก็เกือบเข้ากลางเดือน 5 ไปแล้ว แต่ถ้าไม่ผ่านฝู่ซื่อก็…
เรื่องใหญ่อีกเรื่องคือเรื่องกิจการเพาะพันธุ์หนอนไหมของพี่สาวคนโต การฟักตัวของหนอนไหมจะอยู่ในช่วงกลางเดือนสี่ถึงปลายเดือนสี่ ต้องเลี้ยงพวกมันไว้ในบ้านสักพักหนึ่งแล้วถึงจะย้ายไปอยู่บนต้นโอ๊กนอกบ้าน…
ก่อนหน้านี้หมู่บ้านฉือหลี่โกวไม่เคยเลี้ยงหนอนไหมมาก่อน พี่สาวคนโตจึงรู้สึกไม่มั่นใจ นางอยากให้น้องรองอยู่ที่บ้านเพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหนอนตัวน้อย นางจะได้มีคนที่สามารถปรึกษาได้
แต่พอลองคิดแล้วการสอบจอหงวนของน้องชายสำคัญกว่า พี่สาวคนโตจึงไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไรออกมา
หลินเว่ยเว่ยมองออกถึงความกังวลของอีกฝ่ายจึงเข้าไปตบบ่าพี่ใหญ่แล้วพูดว่า “ไม่ต้องกังวล ตอนที่หนอนไหมพวกนี้ฟักตัว อากาศจะเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว ตอนเลี้ยงในห้องก็แค่ทำให้ห้องมีอากาศถ่ายเทและแห้ง ในแต่ละวันก็คอยเก็บใบต้นโอ๊กสด ๆ มาเปลี่ยนให้พวกหนอน ส่วนขี้หนอนไม่ต้องโยนทิ้ง จงไปถามท่านหมอเหลียงว่าจะเอาไว้ทำยาหรือเปล่า ถ้าเขาไม่เอาก็นำไปตากแห้งแล้วทำเป็นนุ่นยัดไส้หมอนได้ ธาตุเย็นช่วยลดความร้อน ดีต่อทั้งกายและใจ…”
หลังได้ยินน้องสาวพูดแบบนั้น พี่สาวคนโตก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันที แต่ทันใดนั้นใบหน้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นรังเกียจแทน “จริงหรือ ? ใช้ขี้หนอนมาทำนุ่น ไม่คิดว่ามันน่ารังเกียจหรือไร ? ”
“เจ้าจะเข้าใจอะไร ? ในตำรายาเปิ๋นเฉ่ากังมู่1กล่าวไว้ว่าขี้หนอนมีคุณสมบัติไล่ลมและความร้อน บรรเทาความปั่นป่วนในท้องไส้ ช่วยบำรุงสายตาและความดันโลหิต สำหรับโรคทางตาก็ช่วยลดอาการอักเสบได้และยังช่วยรักษาอาการใจสั่น เส้นประสาทอ่อนแรง นอนไม่หลับ โรคปวดศีรษะจากความเครียด (ไมเกรน) ความดันโลหิตสูง ตับอักเสบ อาหารไม่ย่อย โรคข้ออักเสบและโรคอื่น ๆ ” หลินเว่ยเว่ยมีหลักฐานยืนยันว่าไม่ได้พูดเหลวไหล
พี่สาวคนโตมุ่ยปาก “เจ้าสนใจด้านการแพทย์ตั้งแต่เมื่อใด ? หรือเจ้าคิดจะฝากตัวเป็นศิษย์ท่านหมอเหลียง ? ”
หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ถ้าข้าเรียนวิชาแพทย์ วันหน้าจะต้องเป็นดาวดวงใหม่ของวงการหมอแน่นอน ทว่าความทะเยอทะยานของข้าไม่ได้อยู่ตรงนั้น…”
“แล้วความทะเยอทะยานของเจ้าอยู่ที่ใด ? ” เสียงของเจียงโม่หานดังขึ้นทางด้านหลัง
“กินจนกลายเป็นด้วง…” หลินเว่ยเว่ยหลุดปากพูด
เจียงโม่หาน “…” ดูท่าแล้วต่อไปเขาต้องขยันกว่าเดิม เพราะด้วงตัวนี้ไม่ได้เลี้ยงง่าย !
หลินเว่ยเว่ยหัวเราะแห้ง “คำพูดนี้ตัดออก เอาใหม่ เอาใหม่ ! ”
นางกระแอมไอแล้วทำท่าทางของเยาวชนยุคสังคมนิยมที่มากด้วยอุดมการณ์และการแสวงหาความรู้ “อุดมการณ์ของข้าคือการสร้างเมล็ดพันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง ทำให้ชาวบ้านได้กินอิ่มท้อง บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองและแข็งแกร่ง ใต้หล้าสงบสุข ! ”
เจียงโม่หาน “…” อุดมการณ์สูงส่งใช้ได้ หรืออาจเป็นเพียงความเพ้อฝันของคนที่ยากจนมาทั้งชีวิต ทว่าหากมันเป็นความตั้งใจของนางจริง ๆ ไม่ว่าเขาต้องลำบากสักเพียงใดก็จะพยายามช่วยผลักดันให้นางไปถึงฝั่งฝัน !
หลินเว่ยเว่ยหันไปมองพี่สาวอย่างไม่สบอารมณ์ “นั่นคือสีหน้าอะไรของเจ้า ? ไม่เชื่อหรือ ? ปีที่แล้วภัยแล้งรุนแรง ข้าวสาลีของบ้านเราได้ผลผลิตเกือบ 400 ชั่ง ปีนี้มีปุ๋ยคอกให้ใช้อย่างเพียงพอ น้ำก็มี รวมกับเมล็ดพันธุ์ชั้นดีที่ได้จากปีที่แล้ว การได้ผลผลิตถึง 500 ชั่งก็ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน ! แล้วก็ข้าวโพดอีก ปีนี้ถ้าพยายามมากพอก็อาจขึ้นไปถึง 700 ชั่ง…แต่เป้าหมายของข้าคือ 1,000 ชั่ง ! ”
พี่สาวเข้ามาแตะหน้าผากนาง “ไม่มีไข้ เหตุใดจึงพูดจาเหลวไหลได้เล่า ? ”
หลินเว่ยเว่ยสะบัดมือนางออกแล้วหันไปพูดกับเจียงโม่หาน “บัณฑิตน้อย เจ้าคิดว่าข้าพูดจาเหลวไหลหรือไม่ ? ”
เจียงโม่หานส่ายหน้า “คนอื่นอาจจะบอกว่านั่นเป็นแค่ความคิดเพ้อฝัน แต่ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่ใช่คนพูดจาเรื่อยเปื่อย ข้าสนับสนุนเจ้า ! ”
หลินเว่ยเว่ยทำหน้าตาซาบซึ้ง “บัณฑิตน้อย ชาติก่อนข้าต้องช่วยกอบกู้โลกไว้แน่ สวรรค์จึงให้ข้ามาพบเจ้า ! ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวัง ! ”
พืชผลในมิติน้ำพุวิญญาณเริ่มสุกงอมอีกครั้งแล้ว ผลผลิตของข้าวสาลีพุ่งไปถึง 500 ชั่ง ข้าวโพดก็พุ่งไปถึง 800 ชั่งต่อหมู่ ดังนั้นเป้าหมายของนางไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน มันสามารถเป็นจริงได้ !
คนอื่นล้วนเข้าใจว่านางแค่พูดจาเหลวไหล มีเพียงบัณฑิตน้อยคนเดียวที่ยอมเชื่อโดยไร้เงื่อนไขและสนับสนุนนาง ได้สามีดีแบบนี้ยังจะต้องการอะไรอีก ?
“บัณฑิตน้อย เหตุใดเจ้าถึงดีขนาดนี้ ! ” ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลอาบหน้าของหลินเว่ยเว่ย นางเข้าไปกอดเอวเจียงโม่หาน…ว้าว ! เอวของบัณฑิตน้อยเล็กจัง กอดแล้วรู้สึกดีมาก ชอบสุด ๆ…ฮ่าฮ่า !
นางเฝิงเดินออกมาจากบ้านแล้วเห็นฉากนี้เข้าพอดี นางจึงรีบหมุนตัวหันหน้าหนีแล้วลากนางหวงที่อยู่ข้างหลังกลับเข้าบ้าน…ฮ่าฮ่า ตอนแรกนางเฝิงยังกังวลอยู่ว่าบุตรชายจะควบคุมตัวเองไม่ได้แล้วลวนลามเสี่ยวเว่ย แต่มองจากตอนนี้แล้วใครจะลวนลามใครก็ยังไม่รู้ !
พี่สาวคนโตทนมองไม่ได้ นางจึงรีบยกมือปิดหน้าที่แดงไปถึงลำคอแล้วเดินออกไปทันที
หลินจื่อเหยียนถือบทความออกมาให้เจียงโม่หานดู หลังเห็นฉากนี้เข้าแล้วก็รีบทำเป็นมองไม่เห็นทันที “ข้าไม่เห็นเลย สงสัยว่าข้าจะอ่านตำรานานเกินไป ตาจึงเป็นอะไรไม่รู้ มองไม่เห็นสักอย่าง…”
เจ้าดำนั่งอยู่ตรงเบื้องหน้าของพวกเขา มันเงยหน้ามองคนโน้นทีคนนี้ที ก่อนจะยื่นอุ้งเท้าไปแตะเจ้านาย…มันเองก็อยากโดนกอดเช่นกัน
เจ้าหงส์แดงเริ่มพูดเหลวไหล “ไอโยวโยว ! กอดกันแล้ว ! หยาหยาหยา จูบกันแล้ว ! อ๊าก ขึ้นเตียงแล้ว…”
[i]
1 ตำรายาเปิ๋นเฉ่ากังมู่ คือ ตำรารวบรวมยาสมุนไพรกว่า 1,892 ชนิด เรียบเรียงจากตำรากว่า 800 เล่มโดย หลี่สือเจิน