หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง – ตอนที่ 426 ปกป้องเหมือนไข่ในหิน

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 426 ปกป้องเหมือนไข่ในหิน

หลินเว่ยเว่ยส่ายหน้า ก่อนจะเดินเข้าครัวเพื่อทำอาหารเช้า ด้านเจ้าหนูน้อยที่แต่งตัวเสร็จแล้วก็มานั่งมองตัวอ่อนหนอนไหมในกระด้งไม้ไผ่ระหว่างรอกินอาหารเช้า

เจ้าหนูน้อยพูดกับเสี่ยวร่าง “ตัวอ่อนหนอนไหมน่าเกลียดมาก เหมือนตัวอะไรบนเขาไม่มีผิด ตัวสีดำแต่ไม่มีขา…เหมือนแมลงสีดำตัวหนึ่งเท่านั้น ! พอมันเติบโตแล้วจะพ่นใยไหมได้จริงหรือ ? ”

เสี่ยวร่างส่ายหน้า “ไม่รู้ขอรับ ! แต่ในเมื่อนายหญิงรองบอกว่าทำได้ก็ต้องได้แน่นอน ! ”

เจ้าหนูน้อยพยักหน้า “ถูกต้อง ! พี่รองรอบรู้ที่สุด สิ่งที่นางพูดจะต้องไม่ผิดเพี้ยน ! ”

หลิวต้าซวนที่ต้องเข้าไปส่งสินค้าในเขตเริ่นอันก็ขับรถม้ามาจอดรอหน้าบ้านแล้ว เขาและบุตรชายคนโตช่วยกันยกตะกร้าเนื้อแผ่นขึ้นรถม้า นอกจากนี้ยังมีเมล็ดสนอีกหลายกระสอบ…

หลังจากรับประทานอาหารเช้าฝีมือพี่รองด้วยความพึงพอใจแล้ว เจ้าหนูน้อยก็ขึ้นรถม้าไปสำนักศึกษา เสี่ยวร่างก็ถือกระเป๋าหนังสือของนายน้อยตามไปด้วย หลินเว่ยเว่ยนำเนื้อตากแห้งสิบชิ้นสำหรับคารวะอาจารย์ยกให้หลิวต้าซวนเพื่อให้ช่วยเป็นธุระในการสมัครเรียนของเสี่ยวร่าง

หลังส่งพวกเขาออกเดินทางไปแล้วหลินเว่ยเว่ยก็เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เพิ่งมีแสงอาทิตย์โผล่มาจากหลังภูเขา อย่างมากสุดตอนนี้ก็เป็นยามเหม่า (05.00-06.59 น.) การเดินทางเข้าตัวเมืองด้วยรถม้าต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งชั่วยามกว่า ๆ ตอนไปถึงสำนักศึกษาก็ล่วงเลยเข้ายามเฉิน (07.00-08.59 น.)…เฮ้อ ไม่ว่ายุคอดีตหรือยุคอนาคต พวกเด็กนักเรียนก็ไม่สุขสบาย !

หลินเว่ยเว่ยกลับไปที่ห้องเพาะเลี้ยงหนอนไหมที่แยกออกมาให้พี่สาวโดยเฉพาะ ก่อนจะพูดกับพี่สาวที่เอาแต่นอนดูกระด้งไม้ไผ่ว่า “เจ้าจะดูพวกมันอยู่แบบนี้ตลอดเลยหรือ ? ”

พี่สาวคนโตตอบอย่างไม่วางใจ “หากข้าไม่คอยดูไว้แล้ว พวกมันอาจคลานหนีไปได้…”

“หมายความว่าเจ้าจะไม่ทำอะไรตั้งแต่เช้าจรดเย็นเพื่อเฝ้าตัวอ่อนหนอนไหมอยู่อย่างนี้ ? ” หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยน้ำเสียงไม่อยากเชื่อ

บุตรสาวคนโตตระกูลหลินขมวดคิ้วแล้วหันไปมองนาง “ถ้าเช่นนั้น…เจ้าเห็นว่าควรทำอย่างไร ? ”

หลินเว่ยเว่ยตอบ “ผ้าขาวบางที่เจ้าทอเมื่อไม่กี่วันก่อนอยู่ที่ใด ? เอาผ้าคลุมไว้ มันก็หนีไม่ได้แล้ว”

“แบบนั้น…ตัวอ่อนจะหายใจไม่ออกจนตายหรือเปล่า ? ” ในใจของพี่สาวคนโตคำนึงถึงเพียงหนอนไหมเหล่านี้ นางหวังว่าพวกมันจะพ่นใยได้ในเร็ววัน แล้วโรงปั่นด้ายของนางจะถูกสร้างขึ้นมาสักที

หลินเว่ยเว่ยพยายามย้อนนึกถึงวิธีการเลี้ยงหนอนไหมในชาติก่อน แต่ก็จำได้ว่าใช้แผ่นฟิล์มคลุมและไม่เคยได้ยินว่าหนอนจะหายใจไม่ออกจนตาย น่าจะ บางที อาจจะ…ไม่มีปัญหากระมัง ? ในชาติที่แล้วตัวนางก็เคยเลี้ยงหนอนไหมอยู่สองสามตัว ส่วนหนอนไหมสกุลแอนทีเรีย1…นางเองก็มืดแปดด้าน เอาเป็นว่าค่อยเป็นค่อยไปก็แล้วกัน !

พวกนางแบ่งตัวอ่อนหนอนไหมที่เพิ่งฟักออกจากไข่วันนี้เป็นสามกระด้ง หลังปูใบโอ๊กลงไปแล้ว พวกตัวอ่อนหนอนไหมก็คลานเข้าไปอยู่ใต้ใบไม้ จากนั้นพวกนางก็ใช้ผ้าขาวบางที่พี่สาวคนโตทอมาคลุมด้านบนไว้

พี่สาวคนโตเข้ามาเปิดดูตัวอ่อนเป็นระยะเพื่อให้แน่ใจว่าพวกมันไม่ได้เป็นอะไร หลินเว่ยเว่ยรู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาทันที “เจ้าอย่าทำตัวไร้สาระได้หรือเปล่า ? ตัวอ่อนหนอนไหมต้องเปลี่ยนใบโอ๊กให้วันละ 2 ครั้ง ส่วนเจ้า…จะทำอะไรก็ไปทำ ! ”

พี่สาวคนโตเกาศีรษะแต่ก็ยังหันกลับมามองตัวอ่อนหนอนไหมแวบหนึ่งแล้วถึงจะกลับไปที่ห้องทอผ้า หลินเว่ยเว่ยครุ่นคิดแล้วพูดขึ้นมาอีกครั้ง “บัณฑิตน้อย เจ้าเคยบอกว่าประเดี๋ยวสหายร่วมห้องของเจ้าจะให้ไปดูโรงทอผ้าของตระกูลเขา พอถึงเวลานั้นเจ้าให้เหล่าเผิงไปด้วยสิ”

พี่สาวคนโตรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันที นางหันไปกลอกตาใส่น้องสาว “เหล่าเผิงอะไรกัน ? เขาแก่กว่าเจ้าแค่สี่ห้าปีไม่ใช่หรือ ? แก่มากเลยหรือไร ? ”

หลินเว่ยเว่ยพยักหน้าพลางกะพริบดวงตากลมโตสองสามครั้งแล้วย้อนถามพร้อมรอยยิ้ม “ไม่เรียกเหล่าเผิงแล้วจะให้เรียกเสี่ยวเผิงหรืออย่างไร ? ”

พี่สาวคนโตถลึงตาใส่นางทันที “ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ อย่างไร…เจ้าก็น่าจะเรียกเขาว่าพี่เผิง ? ”

“ฮ่าฮ่าฮ่า ผู้หญิงมีใจเอนเอียงไปนอกบ้านจริง ๆ นี่ยังไม่ทันออกเรือนก็ปกป้องเหมือนไข่ในหินเสียแล้ว เฮ้ย ท่านแม่ต้องเสียแรงเปล่าที่เลี้ยงบุตรสาวคนนี้…” หลินเว่ยเว่ยถอนหายใจพลางส่ายหน้าไปมา

พี่สาวคนโตรู้ว่านางกำลังล้อเลียนอีกแล้วจึงถลึงตาจนกลมโตแล้วเถียงกลับทันที “บุตรสาวอย่างเจ้าไม่ได้เลี้ยงเสียข้าวสุกหรือไร ? เจียงโม่หานเดินไปไหน เจ้าก็เดินตาม แทบจะมัดตัวเองไว้กับเข็มขัดของเขาอยู่แล้ว…”

หลินเว่ยเว่ยส่ายนิ้วชี้ไปมา “เจ้าพูดผิดแล้ว ต้องเป็นข้าไปไหน เขาก็เดินตามจนแทบอยากจะมัดข้าติดไว้กับเข็มขัดต่างหาก…”

พี่สาวครุ่นคิด อืม เหมือนจะเป็นแบบนั้นจริง ๆ น้องสามไปสอบเซี่ยนซื่อ น้องรองตามไปดูแล ทว่าบัณฑิตเจียงก็ตามไปด้วย พอถึงคราน้องสามไปสอบฝู่ซื่อที่ตัวเมืองจงโจว บัณฑิตเจียงก็ตามไปอีก…แม้ว่าตัวเขาก็ต้องไปสอบเยวี่ยนซื่อที่ตัวเมือง แต่ก็ไปก่อนเวลาสอบตั้งครึ่งเดือน…

“เฮ้ ! เจียงอั้นโฉ่วเป็นห่วงจื่อเหยียนและเผิง…สหายร่วมชั้นเรียน เจ้าอย่าคิดไปเองหน่อยเลย ! ” พี่สาวพยายามหาข้ออ้างมาเถียง

หลินเว่ยเว่ยยืนอยู่หน้าห้องทอผ้าพลางตะโกนถามเจียงโม่หานที่กำลังเดินไปมาในลานบ้านพร้อมตำราเล่มหนึ่งในมือ “บัณฑิตน้อย เจ้าพูดมา ที่เจ้าตามข้าออกไปข้างนอกทุกครั้งเป็นเพราะห่วงข้าใช่หรือเปล่า ? ”

เจียงโม่หานเหลือบมองนางแล้วพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เจ้าคิดว่าอย่างไร ? ข้าต้องตามไปเพราะเจ้าชอบก่อเรื่องซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากข้าไม่ไปด้วยแล้ว เจ้าจะไม่บินขึ้นฟ้าไปเลยหรือ ? ”

“ตอนนี้ข้าก็บินขึ้นฟ้าได้…ขี่หลังมังกรแบบเจ้าขึ้นไปไงเล่า ! ” หลินเว่ยเว่ยยักคิ้วหลิ่วตาใส่ บัณฑิตน้อย เจ้าอย่าเฉไฉหน่อยเลย เป็นห่วงข้าก็บอกว่าห่วงสิ ต้องใช้น้ำเสียงรังเกียจแบบนั้นทำไม แม้จะรังเกียจทว่าอย่างไรก็เป็นสิ่งที่เจ้าเลือกเอง ! ชาตินี้เราสองโดนผูกติดไว้ด้วยกันแล้ว คิดจะแก้ก็แก้ไม่ได้หรอก…

เจียงโม่หานเผยรอยยิ้มทรงเสน่ห์และส่ายหน้า จากนั้นก็เดินเข้ามาหาเด็กน้อยแล้วลูบศีรษะนางเบา ๆ…เด็กตัวแสบ ! คิดอะไรก็แทบจะเขียนไว้บนใบหน้าหมด ไร้เดียงสาเกินไปแล้ว เขาจะไม่อยู่ปกป้องนางได้อย่างไร ?

ฟ้าเพิ่งสาง แม่ซัวถัวและหยาเอ๋อร์ก็เข้ามาทำเนื้อแผ่นและเนื้อกระต่ายเส้นแล้ว ขณะมองทั้งสองคนสนทนากันอย่างเป็นธรรมชาติ พวกนางก็หันไปพูดกับนางเฝิงว่า “หนุ่มสาวคู่นี้รักกันมากจริง ๆ รอให้จัดงานแต่งของคนพี่เสร็จก็คงถึงคราวคนน้องแล้วสิท่า ? ”

หลินเว่ยเว่ยพูดอย่างไร้ยางอาย “ข้ากับบัณฑิตน้อยยังเด็กอยู่เลย รอให้บัณฑิตน้อยสอบฮุ่ยซื่อ (ระดับเมืองหลวง) ของปีหน้าเสร็จเมื่อใด ค่อยคุยเรื่องแต่งงานก็ยังไม่สาย ! ”

ปีหน้า นางจะมีอายุ 16 ปี ส่วนเขาอายุ 17 ปี…ยังเป็นเด็กวัยมัธยมศึกษาตอนปลายอยู่เลย เร็วเกินไปหรือเปล่า ? ถ้า…บัณฑิตน้อยรอได้ก็กำหนดไว้ตอนนางอายุ 18 ปีจะดีหรือไม่ ?

ไม่ได้สิ การเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ของสตรีโบราณถูกกำหนดไว้ที่อายุ 15 ปี นั่นไม่ใช่หลังเดือนสิบสองของปีนี้หรอกหรือ แบบนั้นนางก็เข้าสู่ช่วงอายุที่สามารถออกเรือนได้แล้ว ? สวรรค์ ! ร่างกายของนาง ประจำเดือนเพิ่งจะมาได้ยังไม่ถึงปีก็ต้องแต่งงานเป็นภรรยาแล้วหรือ ? เป็นร่างกายที่น่าสงสารเหลือเกิน !

นางเฝิงหันไปมอง ‘บุตรชาย’ ของตนพลางคิดว่าเด็กทั้งสองคุยเรื่องนี้และตกลงกันเรียบร้อยแล้ว นางจึงพูดออกมาว่า “ใช่ ! ต้องรอให้หานเอ๋อร์สอบได้จิ้นซื่อ (สอบหน้าพระที่นั่ง เป็นการสอบขุนนางครั้งสุดท้าย) แล้วได้ลาหยุดมาสักหนึ่งเดือนครึ่งก็จะจัดงานแต่งให้เด็กสองคนนี้ เราจะได้มีเรื่องมงคลซ้อนมงคล ! ”

หลินเว่ยเว่ยโยนมันฝรั่งที่ปอกอยู่ในมือไปที่เจียงโม่หานแล้วถามเขาเบาๆ ว่า “ปีหน้าตอนที่เจ้าสอบจิ้นซื่อได้ ข้าเพิ่งอายุ 16 ปีเอง มันจะไม่เร็วไปหน่อยหรือ ? ”

เจียงโม่หานหันไปมองนาง “อายุสิบหกปี ? ตอนนั้นเจ้าก็ย่างสิบเจ็ดปีแล้วนี่ สตรีที่แต่งงานไปก่อนเจ้าก็เป็นแม่คนกันหมดแล้ว…ทำไมหรือ ? เจ้าไม่อยากแต่งงานกับข้าเร็ว ๆ หรือไร ? ”

เจียงโม่หานรีบทบทวนตัวเองทันที…หรือมีตรงไหนที่เขายังทำได้ไม่ดีพอจึงทำให้เด็กคนนี้รู้สึกไม่ปลอดภัย ? ทำให้เด็กสาวที่หลงใหลในหน้าตาของเขามาโดยตลอดอยากจะถอยหลังกลับเสียอย่างนั้น ?

[i]

1 หนอนไหมสกุลแอนทีเรีย คือ หนอนไหมป่า เรียกอีกอย่างว่าหนอนไหมทาซาร์ กินใบมะกอกหรือใบโอ๊กเป็นอาหาร

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

Status: Ongoing
นักศึกษาเรียนดีจากวิทยาลัยเกษตรทะลุมิติมาเป็นเด็กสาวชาวนาผู้โง่เขลาและมีนิสัยป่าเถื่อน บิดาก็ตาย มารดาก็อ่อนแอ น้องชายดันมาตีตัวออกห่าง ส่วนพี่สาวก็มักจะคิดว่าเธอเป็นภาระเสมอ แต่โชคดีที่เธอมีมิติน้ำพุวิญญาณอยู่ในมือ เธอทั้งกลายเป็นนักล่าหมูป่า ทำให้ฝูงหมาป่าตกใจ ใช้น้ำพุวิญญาณมาปลูกพืชพันธุ์จนได้ผลผลิตดีงาม ทำสวนก็ได้ผลผลิตดี เลี้ยงสัตว์ก็เติบโต ไหนจะเสน่ห์ปลายจวักอีก เด็กโง่เขลาคนนี้นี่แหละจะนำพาทั้งครอบครัวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองเอง ! ทว่าบัณฑิตหนุ่มหน้าหวานจอมหยิ่งคนข้างบ้านเนี่ย คิดว่าตัวเองหล่อแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือไง ? คิดว่าเป็นขุนนางแล้วใครจะทำอะไรไม่ได้หรือ ? สุดท้ายก็ถูกเด็กโง่คนนี้กำราบไม่ใช่หรือไง ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท