ตอนที่ 427 สำหรับการกลั่นแกล้งในสำนักศึกษา ความอดทนย่อมเป็นศูนย์
หลินเว่ยเว่ยส่ายหน้าเหมือนปอล่างกู่ (กลองป๋องแป๋ง) “ไม่ว่าจะรูปร่าง หน้าตาหรือความสามารถ เจ้าก็เป็นที่หนึ่งจนข้าดูด้อยกว่าไปเลย การได้แต่งงานกับเจ้า แม้ว่าข้าจะฝันอยู่ก็ต้องหัวเราะจนตื่นจากฝันเชียวล่ะ…แต่ว่าการเป็นแม่คนตอนอายุ 16 ปี มันจะไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือ ? ข้าได้ยินท่านหมอเหลียงบอกว่าการคลอดลูกตอนที่ร่างกายและกระดูกของมารดายังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ก็จะอันตรายมาก เด็กที่คลอดออกมาก็อ่อนแอ…”
เจียงโม่หานมองนางพร้อมรอยยิ้ม “ในสมองเท่าเมล็ดถั่วของเจ้าบรรจุแต่เรื่องประหลาดไว้หรือ ? ถึงขั้นคิดเรื่องคลอดลูกแล้ว…”
หลินเว่ยเว่ยรู้สึกร้อนผ่าวบนใบหน้าขึ้นมาทันที นางรีบย่นจมูกพลางเอ่ย “ข้าก็ไม่ได้พูดเรื่องออกเรือนอยู่หรือ ? ถ้าร่างกายของพวกเราไม่มีปัญหาอะไร พอแต่งงานแล้วก็ต้องเผชิญกับการมีลูกแน่นอน…แล้วดูเป็นเรื่องประหลาดอย่างไร ? ข้าคิดว่าสมองของเจ้านั่นแหละที่ผิดปกติ ! ”
เจียงโม่หานกลัวเด็กน้อยจะอายจนโมโหจึงไม่หยอกนางอีก “หลังแต่งงานแล้วยังไม่มีลูกก็ได้ รอให้ร่างกายของเจ้าเจริญเติบโตจนเต็มที่แล้วค่อยคิดเรื่องมีลูกก็ยังไม่สาย…ในเมืองหลวงมีครอบครัวชนชั้นสูงมากมายที่มีวิธีคุมกำเนิดโดยไม่ทำร้ายร่างกาย เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก…”
หลินเว่ยเว่ยยิ้มหน้าบานทันที ทันใดนั้นนางก็เริ่มท่องบทกวีที่งดงามและ ‘โรแมนติก’ ที่เคยเห็นในโซเชียลเน็ตเวิร์คของชาติก่อนออกมา “รอจนข้าเส้นผมยาวถึงเอว ในช้าเร็วท่านค่อยแต่งกับข้า ? เจ้าสาวขึ้นสะพานสิบลี้มา ถูกอิจฉาจากบ้านใกล้เรือนเคียง รินสุราแทนคำเชื้อเชิญมิตร ญาติสนิทอวยพรอย่างเต็มเสียง ยวนยางคืนวสันต์ไม่เอนเอียง ร่วมอยู่เคียงท่านจวบวัยชรา”
เจียงโม่หานมีแววตาแสนอ่อนโยน เขาเอื้อมมือไปจับมือของนาง “รอจนเจ้าผมยาวถึงเอวแล้ว คงไม่แคล้วสามหนังสือหกวิถี ข้าเฝ้าคิดถึงวันเข้าพิธี ชีวิตนี้ไม่อาจรอจนวายชนม์ ยิ่งคบหายิ่งเมามายในความรัก ทรมานนักเฝ้ารอคอยทุกแห่งหน ออกท่องเที่ยวแดนไพรใจร้อนรน เพียงหวังจนได้อยู่ร่วมแก่ชรา…”
“ดูเด็กสองคนนี้สิ แต่ละคนช่างมีคารมคมคาย คนหนึ่งร้องอีกคนรับ ช่างเป็นคู่กิ่งทองใบหยกจริง ๆ ! ” ไม่ค่อยเข้าใจว่าทั้งสองสนทนาอะไรกันหรอก ทว่าแค่เห็นเด็กสองคนนี้จับมือกันและคุยกันเสียงอ่อนเสียงหวานก็งดงามราวกับภาพวาดแล้ว
หลินเว่ยเว่ยคลี่ยิ้มแล้วได้ใจจนลืมตัว “รอให้ข้าผมยาวถึงเอวแล้ว ท่านแม่ทัพหวนคืนมาได้หรือไม่ ? หากข้าแลตัวท่านหมายสุขใจ เหตุไฉนสนขุนเขาหรือสายชล พบคราแรกคือยามรุ่งอรุณ เมื่อสิ้นบุญลาลับตอนชรา กระบี่เย็นเฝ้าฟังเสียงนภา หอกคมตาตั้งอยู่เพียงลำพัง หากท่านยังเมามายในการรบ ก็ขอจบความคิดอย่าถือสา สายลมพาดผ่านราตรีมา แขกคุ้นตาเยือนแดนเจียงหนานเรา เชือกแดงยังผูกอยู่ที่ปลายผม ทุกข์ระทมจากการเฝ้ารอคอย”
เจียงโม่หานจับมือนางไว้แน่นและในน้ำเสียงยังแฝงไปด้วยความประหม่าและความไม่พอใจ “แม่ทัพคือผู้ใด ? เจ้าชอบวีรบุรุษผู้รบทัพจับศึกหรือ ? ” เขาครุ่นคิด หากตนไปเข้าร่วมกับกองทัพและทำหน้าที่กุนซือจะถือว่าสายไปหรือเปล่า ?
หลินเว่ยเว่ยรีบโบกมือ “เปล่า เปล่านะ ! ข้าแค่ได้ยินกวีบทนี้มาจากที่อื่น คิดว่ามันเข้ากับสถานการณ์ดี บทกวีเมื่อครู่ของเจ้าไพเราะมาก ข้าจึงอดไม่ได้ที่จะท่องกวีบทนี้ออกมา ข้าไม่ได้หมายความเป็นอย่างอื่นเลย ข้าไม่ได้ชอบคนหยาบกระด้างที่เอาแต่ฆ่าฟัน ข้าชอบแบบบัณฑิตน้อย…เจ้าลองคิดสิว่าด้วยสติปัญญาของข้า ไฉนเลยจะประพันธ์บทกวีได้เร็วขนาดนี้ ? ”
เจียงโม่หานมองเข้าไปในแววตาของนาง “รอให้เจ้าผมยาวถึงเอวแล้ว ข้าจะหวนคืนมาพร้อมกำชัย อดีตเคยควบม้าไปแดนไกล ยอดบุรุษไซร้ตั้งแต่ยังเยาว์วัย ทิวแสงของเขตแดนบูรพา ม่านหมอกหนาทะเลสาบทิศประจิม สนามรบเจิ่งนองด้วยโลหิต สาบานจิตต่อขุนเขาและสายธาร ต้องมีวันแห่งชัยชนะหาญ ร่วมสำราญคืนวันอันงดงาม เฝ้าฝันร่วมเคียงข้างแก่ชรา ไม่โศกาบุตรบริวารแวดล้อม…”
หลินเว่ยเว่ยหัวเราะอย่างโง่งม “บัณฑิตน้อย เจ้าดีมากจริง ๆ…”
เจียงโม่หานถอนหายใจเบา ๆ “ข้าคิดว่าเจ้าชอบคนแบบหมินอ๋องซื่อจื่อเสียอีก…ข้ายังคิดว่าหากตนฝึกการต่อสู้ตอนอายุ 16 ปีจะสายไปหรือเปล่า ! ”
“ไม่ต้อง ตอนนี้เจ้าก็ดีมากอยู่แล้ว ! ไม่ว่าจะเป็นรบราฆ่าฟันหรือจับพู่กันสอบขุนนางก็ทำเพื่อบ้านเมืองทั้งนั้น ! ” หลินเว่ยเว่ยจับใบหน้ารูปไข่ของตนแล้วฉายแววตาของแฟนคลับตัวน้อยออกมา
เจียงโม่หานเอื้อมมือไปลูบแก้มของนางเบา ๆ เพื่อเช็ดคราบสกปรกออกให้ จากนั้นก็เก็บมันฝรั่งที่นางปอกไว้ครึ่งหัวขึ้นมาปอกต่อ
หลินเว่ยเว่ยนั่งอยู่ข้างเขา ดวงตายังไม่ผละไปจากตัวเขา คล้ายไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่หันไปมองคนอื่น…เวลาที่บัณฑิตน้อยทำงานบ้าน ช่างดูหล่อเหลามากเหลือเกิน…
“เด็กโง่ ! ” เสียงของเจียงโม่หานฟังดูมีความสุขพอสมควร “นี่ยังไม่เที่ยงเลย เจ้าจะปอกถู่โต้วไปทำไม ? ”
“ทำของอร่อยให้เจ้ากิน…มันฝรั่งทอดกรอบรสเด็ด เวลากินจะกรอบอร่อย ! ” หลังทำตัวเป็นแฟนคลับไปแล้วหลินเว่ยเว่ยจึงนึกเรื่องที่จะทำในตอนแรกออก
มันฝรั่ง แป้งทอดกรอบ ไข่ไก่…ทอดออกมาจะได้มันฝรั่งแผ่นบาง ๆ และก็เป็นอย่างที่หลินเว่ยเว่ยพูดเอาไว้ว่ามันกรอบมากจริง ๆ ยิ่งเคี้ยวก็ยิ่งเพลินและไม่เลี่ยน ถ้าเก็บรักษาไว้อย่างถูกวิธีก็สามารถเก็บไว้กินได้ตั้งหลายวัน !
เช้าวันรุ่งขึ้น ตอนที่เจ้าหนูน้อยจะไปเรียนหนังสือ หลินเว่ยเว่ยให้เขาเอามันฝรั่งทอดกรอบไปด้วยหนึ่งห่อเพื่อให้เอาไว้กินเวลาที่หิวระหว่างเรียน…ตอนเด็กๆ ไปโรงเรียนก็ไม่ได้ชอบพกขนมไปด้วยหรือ ?
ตกเย็น เจ้าหนูน้อยกลับมาพร้อมความโมโหและไม่รอให้หลินเว่ยเว่ยถาม วังตงเฉียงก็รีบพูดแทนเขา “เจ้าหลู่ซวนน่าเกลียดมาก เขาเป็นอันธพาลในสำนักศึกษา เขาแย่งมันทอดกรอบของเอ้อร์ฮว๋าไปมากกว่าครึ่ง ! ”
หลินเว่ยเว่ยเห็นใบหน้าของเสี่ยวร่างมีรอยฟกช้ำ คิ้วจึงขมวดเข้าหากันทันที “เขายังใช้กำลังกับพวกเจ้าด้วยหรือ ? ” สำหรับการกลั่นแกล้งในสำนักศึกษา ความอดทนย่อมเป็นศูนย์
เจ้าหนูน้อยส่ายหน้า “เขาไม่ได้ใช้กำลัง แผลบนหน้าผากของเสี่ยวร่างเป็นเพราะอยากแย่งมันทอดกรอบคืนมา แต่โดนผลักไปชนขอบโต๊ะ ทว่าสิ่งชั่วร้ายที่สุดคือพอข้าบอกว่าขนมนี้เป็นฝีมือของพี่รอง เจ้าอ้วนนั่นก็ไม่เชื่อ ! ”
“ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะทำมันฝรั่งทอดกรอบรสซอสมะเขือเทศให้เจ้า พวกเจ้าสามคนกินด้วยกัน ข้าไม่เชื่อว่าพอทั้งสามคนร่วมมือกันแล้วจะยังโดนแย่งขนมได้อีก ! ” หลินเว่ยเว่ยตัดสินใจแล้วว่าในแต่ละวันจะทำของอร่อยให้น้องชายนำไปที่สำนักศึกษา จะได้ทำให้ ‘เจ้าอ้วนนั่น’ อิจฉาจนร้องไห้ไปเลย !
เจ้าหนูน้อยพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ต้องถึงมือวังตงเฉียงกับเสี่ยวร่างหรอก แค่ข้าคนเดียวก็จัดการเจ้าอ้วนนั่นได้แล้ว ! วันนี้โดนเขาโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว ประเดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะคอยระวัง ไม่มีทางปล่อยให้อีกฝ่ายทำสำเร็จแน่นอน ! ” ไม่ว่าจะพูดอย่างไรเขาก็เรียนศิลปะการต่อสู้จากพี่หลีชิงมาสองสามกระบวนท่า จึงไม่เชื่อว่าจะสู้เด็กอ้วนคนเดียวไม่ได้ !
หลินเว่ยเว่ยลูบศีรษะเจ้าถั่วงอกน้อยแล้วย่อตัวไปตรวจสอบบาดแผลที่หน้าผากของเขา เสี่ยวร่างบิดกายหนีด้วยความเขินอายและบ่นพึมพำว่า “พะ…พรุ่งนี้บ่าวจะตื่นเช้ากว่าเดิมแล้วออกไปยืดเส้นยืดสายและวิ่งกับนายน้อย…บ่าวไม่ได้เรื่องเองขอรับ ไม่เพียงช่วยเหลืออะไรไม่ได้ แต่ยังทำให้ตัวเองบาดเจ็บอีก…”
เมื่อเห็นว่าเป็นแค่รอยช้ำ หลินเว่ยเว่ยก็สบายใจขึ้น หลังได้ยินแบบนั้นนางก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ต่อไปนี้เวลาเจอเรื่องอันตรายใดก็อย่าวิ่งเข้าใส่อย่างไร้สติ ต้องรู้จักประมาณตน เข้าใจหรือไม่ ? ”
เสี่ยวร่างพูดด้วยความลังเล “แต่…ถ้ามีคนมารังแกนายน้อยล่ะขอรับ ?…รอให้นายท่านหลีชิงกลับมาเมื่อใด บ่าวจะต้องเรียนศิลปะป้องกันตัวจากเขาเยอะ ๆ ขอรับ ! ” ตัวเขานี้…บุ๋นก็ไม่ได้บู๊ก็ไม่ไหว เฮ้อ ช่างมีคุณสมบัติจะเป็นแค่เด็กรับใช้จริง ๆ…
ความขัดแย้งกันระหว่างเด็กก็คือเหตุการณ์ช่วงสั้น ๆ ช่วงหนึ่งในชีวิต ในเมื่อไม่ใช่การกลั่นแกล้งในสถานศึกษาที่เข้าข่ายอันตราย หลินเว่ยเว่ยจึงไม่อยากสอดมือเข้าไปยุ่ง นางเชื่อว่าน้องชายน่าจะมีความสามารถในการจัดการความขัดแย้งระหว่างเพื่อนร่วมห้องได้
ต่อจากนั้นสองวัน ตอนที่เจ้าหนูน้อยและเสี่ยวร่างกลับมาบ้านในยามเย็น พวกเขาก็อารมณ์ดีกันน่าดู นางจึงวางใจได้ในที่สุด