ตอนที่ 468 มิติน้ำพุวิญญาณอัพเกรดแล้ว?
กลิ่นหอมของข้าวอบถั่วฝักยาวใส่หมูลอยอบอวลไปทั่ว ผู้เข้าสอบที่กำลังหุงข้าวอยู่ใกล้ ๆ ก็ได้กินแค่อาหารอย่างธรรมดาที่ตนเองนำมา พวกเขาถึงขั้นสูดลมหายใจเอากลิ่นหอมนั้นเข้าปอด ในใจก็ได้แต่อิจฉาทั้งสามคนที่กำลังกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย…เจ้าพวกนี้ไม่เหมือนผู้มาสอบเลย เหมือนมานั่งกินข้าวนอกบ้านมากกว่า !
หลังจากกินข้าวและล้างอุปกรณ์ทำครัวของตนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหล่าผู้เข้าสอบก็จะกลับไปยังที่พักของตน จนกระทั่งช่วงฟ้ามืดผู้คุมสอบก็จะมาแจกกระดาษคำถามสำหรับสนามแรก…โดยคำถามจะแบ่งเป็นคำถามจากในตำราทั้งสี่ (สี่ตำราห้าคัมภีร์) 3 ข้อ จากคัมภีร์อี้จิง (คัมภีร์ว่าด้วยหลักการเปลี่ยนแปลง) 4 ข้อ และกลอนบทห้าพยางค์แปดสัมผัสอีก 1 บท…คำถามจากตำราทั้งสี่จะต้องเขียนอธิบายอย่างน้อย 200 ตัวอักษร ส่วนคำถามจากคัมภีร์อี้จิงจะต้องเขียนบรรยายอย่างน้อย 300 ตัวอักษรขึ้นไป
พอลองคำนวณเวลาแล้ว วันแรกผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเขายังมีเวลาทำข้อสอบอีกสองคืน หลังจากที่ผู้เข้าสอบได้รับกระดาษคำถามแล้วก็ไม่กล้าชักช้าปล่อยให้เวลาเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ต่างคนต่างร่างคำตอบกันอย่างขยันขันแข็ง
เจียงโม่หานไม่ได้รีบร้อนที่จะขยับพู่กันของตน เขาเก็บกระดาษคำถามแล้วใช้ผ้ามาคลุมกระดานไม้ของตน จากนั้นก็ปูที่นอน ดับเทียนแล้วเอนกายลงนอนพลางครุ่นคิดถึงแนวทางในการตอบคำถามเหล่านี้…
ผู้ดำเนินการจัดสอบในรอบนี้ยังคงเป็นบัณฑิตหยวนจากสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน เขายังคงไม่ล้มเลิกความคิดที่จะเกลี้ยกล่อมอาจารย์ให้เข้าเมืองหลวงไปพร้อมกัน จึงเดินทางมาคุมการสอบยังสถานที่ทุรกันดารทางเหนือแห่งนี้อีกครั้ง
เขามองไปยังห้องพักของผู้เข้าสอบที่ดับเทียนอยู่เพียงห้องเดียวแล้วกล่าวกับเจ้าเมืองโหยวว่า “ผู้เข้าสอบคนนี้ประมาทเลินเล่อเกินไปแล้ว ทั้งที่เวลายังไม่ดึกแต่ก็ดับเทียนเข้านอน ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าเขานอนหลับลงได้อย่างไร ! ”
เจ้าเมืองโหยวมองไปยังห้องพักที่บัณฑิตหยวนเอ่ยถึงพลางส่ายหน้าช้า ๆ แล้วกล่าวว่า “เหตุใดจึงทำราวกับว่าการสอบเซียงซื่อไม่อยู่ในสายตาขนาดนี้ หรือเป็นเพราะเห็นว่าคำถามยากเกินไปจึงชิงตัดใจเสียก่อนขอรับ ? ”
บัณฑิตหยวนลูบเคราพลางกล่าวว่า “อาจเป็นเช่นนั้น หากไม่ชิงถอดใจก่อนก็อาจมั่นใจว่าตนทำได้กระมัง ! ”
“แต่ถึงจะมั่นใจในตนเองมากเพียงใดก็ต้องพยายามอย่างสุดความสามารถสิขอรับ ! ” เจ้าเมืองโหยวไม่ชอบพฤติกรรมของผู้เข้าสอบคนนี้เลย นึกถึงตอนที่ตนเข้าร่วมการทดสอบระดับเซียงซื่อในปีนั้น มันเป็นช่วงเวลาที่กดดันและนอนไม่หลับตลอดทั้งคืน แต่เจ้าเด็กคนนี้ พอได้กระดาษคำถามไปแล้วก็ดับเทียนเข้านอนเสียได้
เฮ้อ ! มนุษย์หนอมนุษย์ เห็นว่าตนยังหนุ่มยังแน่นจึงไม่หวงแหนโอกาสในการสอบเป็นขุนนาง หากพลาดติดอันดับไปเพียงเพราะคะแนนห่างจากคนก่อนหน้าหนึ่งหรือสองคะแนนแบบนั้น ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกเสียใจภายหลังหรือเปล่า ?
และในค่ำคืนนี้ เจียงโม่หานก็นอนหลับสบายไปถึงเช้า ในตอนเช้าตรู่ เขาทำอาหารไปด้วยพลางเรียบเรียงแนวทางคำตอบที่คิดเมื่อคืนไปด้วย หลังจากกินข้าวเสร็จแล้วเขาก็เริ่มเขียนคำตอบอย่างคล่องแคล่ว ยังไม่ทันถึงช่วงบ่ายในวันที่สาม เขาก็เขียนคำตอบเสร็จสมบูรณ์
พวกเจียงโม่หานตั้งใจทำข้อสอบอย่างขันแข็งอยู่ที่สนามสอบ ในขณะเดียวกันหลินเว่ยเว่ยที่อยู่บ้านเช่าก็ไม่ได้ทำตัวว่างงาน เพราะในยามนี้ข้าวสาลีและข้าวขาวที่นางปลูกไว้ในมิติน้ำพุวิญญาณได้เวลาเก็บเกี่ยวแล้ว
เอ่ยถึงมิติน้ำพุวิญญาณ หากหลินเว่ยเว่ยไม่ไปเอาน้ำพุวิญญาณและผลไม้ที่ปลูกไว้ในนั้น นางก็แทบจะลืมไปแล้วว่ามีมิติน้ำพุวิญญาณของตนอยู่ เพราะเวลานางต้องการอะไร ใช้แค่ความคิดเดียว ของสิ่งนั้นก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้า ดังนั้นนางจึงแทบไม่ได้เข้าไปในมิติน้ำพุวิญญาณเลย นานสุดที่เว้นช่วงเข้าไปคือหนึ่งเดือนกว่า ๆ
ครั้งนี้ที่นางเข้ามาในมิติก็ถึงขั้นตกตะลึงและแทบไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นตรงหน้า…นี่คือมิติน้ำพุวิญญาณของนางหรือ ? เหตุใดจึงมีที่ดินมากมายขนาดนี้ ?
เดิมทีมิติของหลินเว่ยเว่ยมีบ่อน้ำที่มีน้ำพุวิญญาณมาบรรจบแบ่งเป็นสองฝั่งพื้นดิน ด้านหนึ่งเป็นที่ดินอันอุดมสมบูรณ์สามหมู่ อีกด้านหนึ่งเป็นที่ดินรกร้างปกคลุมไปด้วยหญ้า เมล็ดพืชถูกปลูกในทุ่งที่อุดมสมบูรณ์สามหมู่นั้น นางใช้น้ำพุวิญญาณหล่อเลี้ยงเหล่าพืชพันธุ์ที่ปลูกไว้ ไม่ว่าจะเป็นการเพาะเมล็ด การนำมารดต้นไม้ นอกจากนี้นางยังปลูกผลไม้ที่ขุดมาจากบนภูเขาไว้รอบบ่อน้ำ โดยแบ่งเป็นต้นท้อ 3 ต้น, ต้นซิ่ง (เอพริคอต) 2 ต้น, ต้นแอปเปิล 2 ต้น, ต้นสาลี่ 2 ต้น, และเถาองุ่น 2 เถา
ทางด้านทุ่งหญ้าอีกด้านหนึ่งนั้น นางใช้เป็นสถานที่เลี้ยงสัตว์ที่ล่ามาได้…ไม่ว่าจะเป็นกระต่ายป่า ไก่ป่า แพะภูเขาหรือแม้แต่ฝูงกวาง…
ตอนนี้น่ะหรือ ? ปลายสุดของพื้นที่เพาะปลูกและพื้นที่ทุ่งหญ้านั้นไม่รู้ว่ามีพื้นที่ผืนใหญ่เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ตอนไหน ประเมินจากสายตาแล้ว…น่าจะมีพื้นที่เกือบหนึ่งร้อยหมู่ ?
นางไม่ได้เข้ามาในมิติน้ำพุวิญญาณแค่หนึ่งเดือนกว่า แต่กลับมีพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มเข้ามาผืนใหญ่ถึงเพียงนี้แล้ว ? หรือว่ามิติน้ำพุวิญญาณจะสามารถอัพเกรดได้ ? ไม่สิ ! ช่วงนี้นางก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นพิเศษ ? แล้วมิติจะอัพเกรดได้อย่างไร ?
หลังจากคิดดูแล้วนางก็เดาได้…เป็นไปได้หรือไม่ว่า…ขนาดของพื้นที่ถูกกำหนดโดยจำนวนที่ดินอุดมสมบูรณ์ที่ครอบครัวของนางเป็นเจ้าของ ?
ในตอนที่นางเพิ่งทะลุมิติมานั้น ครอบครัวเป็นเจ้าของที่นาแค่ 3 หมู่ ดังนั้นพื้นที่เพาะปลูกในมิติน้ำพุวิญญาณจึงมีแค่ 3 หมู่ แต่เมื่อต้นฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ นางและบัณฑิตน้อยร่วมกันซื้อที่ดินจำนวน 100 หมู่ พอมาตอนนี้พื้นที่ว่างเพิ่มขึ้นในมิติน้ำพุวิญญาณก็ดันบังเอิญมีเท่ากับที่ดินใหม่พอดี…หากเป็นเช่นนั้นจริง ต่อไปนี้ขอเพียงนางมีเงิน นางก็จะมีที่นาแบบคูณสอง ! ฮ่าฮ่า…เช่นนี้ความปรารถนาของนางที่จะได้เป็นเกษตรกรผู้มั่งคั่งก็ก้าวหน้าไปอีกขั้นแล้วสิ !
ทว่า…ที่ดินเยอะขนาดนี้ หากให้นางทำคนเดียวคงไม่ไหวแน่ ! หากที่ดินพวกนี้สามารถไถพรวน ปลูกพืชและเก็บเกี่ยวด้วยตัวเองได้ก็ดี…
พอนางคิดได้แบบนี้ จู่ ๆ ที่ดินใหม่ผืนนั้นก็คล้ายกับมีเครื่องจักรที่มองไม่เห็นคอยขับเคลื่อนอยู่ มันเริ่มไถพรวนด้วยตัวมันเอง แถมยังไถพรวนด้วยความเร็วที่มากอีกด้วย ทว่าที่ดินผืนนั้นเพิ่งจะไถพรวนไปได้ไม่ถึงครึ่ง นางก็รู้สึกหน้ามืดตาลายแล้ว จึงรีบดื่มน้ำพุวิญญาณและออกจากมิติ
หลินเว่ยเว่ยนึกถึงนิยายแฟนตาซีที่เคยอ่านเมื่อชาติที่แล้ว หรือว่านี่คือการใช้พลังจิตควบคุมมิติอย่างที่ในนิยายกล่าวไว้ ? มันวิเศษมาก ! อย่างไรก็ตามการทะลุมิติของนางและการมีอยู่ของมิติน้ำพุวิญญาณล้วนเป็นเรื่องลึกลับมาตั้งแต่ต้น
หลินเว่ยเว่ยใช้เวลาสามวันในการควบคุมให้มิติน้ำพุวิญญาณเก็บเกี่ยวข้าวสาลีและข้าวขาวทั้งสองหมู่จนเสร็จ จากนั้นก็ไปไถพรวนพื้นที่ใหม่อีกร้อยหมู่แล้วลงปลูกข้าวสาลีกับข้าวโพด กระทั่งพวกเจียงโม่หานกลับมาจากสนามสอบแล้วนางก็จัดการทุกอย่างเสร็จสรรพ
เดิมทีหลินจื่อเหยียนนึกว่าออกจากสนามสอบมาแล้วจะได้กินของอร่อยฝีมือพี่รอง แต่คาดไม่ถึงว่าเมื่อกลับมาถึงบ้านเช่า หม้อและกระทะยังคงว่างเปล่า เมื่อเห็นพี่รองที่เพิ่งเดินออกมาจากในบ้าน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป พร้อมถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงเป็นใยว่า “พี่รอง เหตุใดสีหน้าของท่านดูแย่ขนาดนี้ ? ท่านไม่ได้ป่วยใช่ไหม ? ”
เจียงโม่หานที่เดินตามเข้ามาก็เร่งฝีเท้าให้ยาวขึ้น เพียงสามก้าว เขาก็มาหยุดอยู่ตรงเบื้องหน้าของหลินเว่ยเว่ยแล้ว หืม ? มันผิดปกติเพราะปกตินางจะร่าเริงมีชีวิตชีวาและเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงาน แต่ในยามนี้สีหน้าของนางดูแย่ยิ่งกว่าผู้ที่เพิ่งผ่านการทดสอบมาสามวันสามคืนอย่างพวกตนเสียอีก
เขาใช้หลังมือแตะที่หน้าผากของนางแล้วถามอย่างเป็นห่วง “เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า ? เจ้าไปนอนพักในห้องเถิด ข้าจะไปเรียกหมอมาให้…”
หลินเว่ยเว่ยโบกมือปัดพลางกล่าวว่า “ข้าไม่ได้ป่วย แค่เหนื่อยไปหน่อย พักผ่อนสักประเดี๋ยวก็หายแล้ว การทดสอบสนามแรกของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ? พอทำได้หรือเปล่า ? ”
หลินจื่อเหยียนอดถามอีกครั้งด้วยความเป็นห่วงไม่ได้ “พี่รอง ท่านไม่เป็นอะไรแน่หรือ ? อย่าหลบเลี่ยงการหาหมอเพียงเพราะท่านกลัวการดื่มยาขมเลย ! ”
หลินเว่ยเว่ยได้ยินน้องชายพูดแบบนั้นก็มองเขาตาเขียวปัด “ข้าเป็นผู้ที่ชอบเอาสุขภาพของตนมาล้อเล่นหรือไร ? ”
หลินจื่อเหยียนจึงยื่นหน้าไปกระซิบถาม “หรือที่ข้าพูดไม่จริง ? ใครที่ไม่ยอมฟังคำกำชับของหมอตอนได้รับบาดเจ็บ ไม่ยอมพักผ่อนให้ดี แถมยังเที่ยวไปวิ่งลดน้ำหนักทั่วหมู่บ้านอีก ? ”
“เจ้าพูดอะไร ? กล้าพูดให้ดังกว่านี้หรือเปล่า ? ” หลินเว่ยเว่ยดึงหูของเขา…เจ้าเด็กตัวเหม็น กล้าพูดล้อเลียนพี่รอง ประเดี๋ยวเถิด ! เจ้าเด็กไม่รักดี แบบนี้ข้าต้องสั่งสอน !
“ไอโหยว พี่รอง ปล่อยข้า หูของข้า…หูของข้าจะถูกท่านดึงจนหลุดแล้ว ! ” คราวนี้หลินจื่อเหยียนจึงเชื่อได้อย่างสนิทใจว่าหลินเว่ยเว่ยไม่เป็นอะไรจริง ๆ เพราะคนป่วยที่ไหนจะมีแรงเยอะขนาดนี้ ?