หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง – ตอนที่ 478 ทำดีย่อมได้ดี

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 478 ทำดีย่อมได้ดี

หลังกลับชาติมาเกิดใหม่และได้รับอิทธิพลจากเด็กน้อยแล้ว เจียงโม่หานก็รู้สึกว่าตนเปลี่ยนเป็นคนใจอ่อนได้ง่าย…เฮ้อ ไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันแน่

ตกเย็น หลินเว่ยเว่ยซื้อปลาสองตัวมาจากลูกเรือแล้วนำมาทำแกงปลา ทั้งยังนึ่งซาลาเปาอีก 2 ซึ้ง หลังจากได้เห็นสาวใช้ของห้องโดยสารข้าง ๆ ซื้ออาหารเย็นจากแม่ครัวบนเรือด้วยใบหน้าอมทุกข์ นางก็นึกถึงคำพูดของบัณฑิตน้อยขึ้นมาได้ หลินเว่ยเว่ยจึงแบ่งแกงปลาและซาลาเปาหนึ่งซึ้งไปให้อีกฝ่าย

ตอนที่นางกำลังจะเคาะประตูห้องข้าง ๆ หนิงอ๋องกำลังเกลี้ยกล่อมบุตรชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “อย่างน้อยก็ฝืนกินเข้าไปบ้างเถิด ไม่อย่างนั้นตอนกลางคืนจะหิวจนนอนไม่หลับ”

โม่ชิงหยูทำท่าทางจะร้องไห้ “ฟู่หวาง ลูกกินไม่ลงจริง ๆ…”

โม่ชิงหลีพูดด้วยความโมโห “ฟู่หวางเพคะ อาหารนี้รสชาติแย่เกินไปจริง ๆ อย่าว่าแต่น้ำมันเยอะมากเลย แม้แต่เกลือก็ไม่ใส่ แล้วเจ้าแป้งทอดนี่อีก แข็งจนจะเป็นอาวุธลับสังหารคนตายได้อยู่แล้ว ! ”

หนิงหวางเฟยเทน้ำแกงลงในถ้วยเล็ก ๆ จากนั้นก็บิแผ่นแป้งทอดให้มีขนาดเล็ก หลังแช่ในน้ำแกงจนนุ่มแล้วก็ดันไปตรงเบื้องหน้าของหนิงอ๋อง…ท่านอ๋องมีระบบย่อยอาหารไม่ดี หากเสวยของที่แข็งเกินไปก็จะทำให้มีอาการปวดท้องจนถึงขั้นทรมาน

เฮ้อ ! การเดินทางไปเมืองหลวงครานี้ต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนกว่า ๆ พระสวามีจะทนไหวหรือเปล่า ? หนิงหวางเฟยทำสีหน้าเศร้าหมองพลางมองพระสวามีด้วยความกังวล

“ถ้าอย่างไร…ให้เงินแม่ครัวเยอะขึ้นอีกหน่อยแล้วยืมเตามาต้มโจ๊กกินเอง ดีหรือไม่เพคะ ? ” หนิงหวางเฟยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

โม่ชิงหลีพูดด้วยความโมโหอีกรอบ “แม่ครัวคนนั้นชั่วร้ายจะตายไปเพคะ ! เงินก็จ่ายตามที่นางบอก แต่พอถึงเวลาจะยืมเตาทำอาหารแล้ว นางก็มักหาข้ออ้างไปเรื่อย คราวก่อนตอนที่เราให้เงินนางทำอาหาร นางทำอย่างไรเพคะ ? อาหารที่ยกมาให้พวกเราก็ไม่ต่างจากของคนอื่น แถมยังเล่นลิ้นบอกว่าบนเรือมีข้อจำกัดด้านวัตถุดิบ…น่าโมโหนัก ! ดั่งคำที่ว่า พยัคฆ์ร่วงสู่พื้นราบ ย่อมโดนสุนัขรังแก1…”

“ถ้าอย่างนั้น…แม่จะบากหน้าไปขอยืมเตาจากห้องด้านข้างดีหรือไม่ ? ” หนิงหวางเฟยไม่เคยมีประสบการณ์ในการเดินทางมาก่อน ไฉนเลยจะรู้ว่าเวลาออกนอกตำหนักต้องพกหม้อ เตาและถ่านมาด้วย…

หนิงอ๋องส่ายดวงพักตร์ “ถ่านที่พวกเขานำมาด้วยก็มีจำกัดเหมือนกัน อย่างไรก็อย่า…”

“โอ้ว…กินข้าวกันอยู่หรือ ? ” หลินเว่ยเว่ยเห็นครอบครัวนี้มีสีหน้ามืดมน นางจึงรีบพูดว่า “เย็นนี้ข้าทำแกงปลาเยอะไปหน่อยจึงแบ่งมาให้พวกท่านหนึ่งชาม ขออย่าได้รังเกียจกันเลย…”

รอให้นางยกแกงปลามาวางบนโต๊ะแล้วหนิงอ๋องก็ก้มมอง ชามเดียวที่ไหนกัน ? เห็นอยู่ชัด ๆ ว่ามีปริมาณครึ่งหม้อ ! แกงปลาเนื้อขาวดั่งหิมะเต็มชาม ปลาที่อยู่ข้างในก็คงใช้ตั้งหนึ่งตัวเต็ม ๆ แล้วยังซาลาเปานั่นอีก มีด้วยกันสิบกว่าลูก พวกเขาทั้งครอบครัวยังไม่รู้ว่าจะกินหมดหรือเปล่า

“จะทำแบบนั้นได้อย่างไร ? ” หนิงอ๋องรีบปฏิเสธ

หลินเว่ยเว่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “ทำไมจะไม่ได้ ? คู่หมั้นและน้องชายของข้าบอกว่าตำราไม่กี่เล่มที่ท่านให้พวกเขา มีประโยชน์กับพวกเขามาก อย่าว่าแต่แกงปลาชามเดียวหรือซาลาเปาไม่กี่ลูกเลย แม้จะรวมส่วนของพวกเราทั้งสองครอบครัวเข้าด้วยกันแล้วก็มีมูลค่าไม่เท่าตำราเหล่านั้น…ข้าแซ่หลิน คู่หมั้นของข้าแซ่เจียง ไม่ทราบว่าพวกท่านแซ่อะไร ? ”

“ข้าแซ่โม่…” หนิงอ๋องยังหาวิธีว่าจะปฏิเสธอย่างไร

หลินเว่ยเว่ยพูดต่อ “ที่แท้ก็นายท่านโม่…” แต่งงานมีลูกแล้วยังดูอ่อนเยาว์มาก แต่เรียก ‘นายท่าน’ ก็ไม่น่าจะผิดกระมัง ?

“ใครต่างก็บอกว่าต้องใช้เวลา 10 ปี ถึงจะได้ลงเรือลำเดียวกัน การที่เราได้นั่งเรือลำเดียวกันตอนนี้ก็ถือเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง นายท่านโม่ไม่ต้องเกรงใจ อันที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรมากหรอก เป็นของธรรมดาที่ทำกินกันบ่อย ๆ อยู่แล้ว หรือนายท่านโม่รังเกียจอาหารของคนชนบทอย่างพวกเรา ? ”

เกรงว่าครอบครัวหนิงอ๋องทั้งสี่คนรวมหัวกันคิดแล้วก็ยังสู้คารมของนางไม่ได้

หนิงหวางเฟยดึงชายฉลองพระองค์ด้านหลังของพระสวามีเบา ๆ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ต้องขอบใจหลินกู่เหนียงแล้ว…ท่านเองก็บอกว่าพบกันถือเป็นวาสนา เรียก ‘นายท่านโม่’ ดูจะห่างเหินเกินไปหน่อย อย่างไรก็เรียก ‘พี่ใหญ่โม่’ ดีกว่า ! ”

ถ้ามีแค่นางคนเดียว ไม่ว่าจะต้องทุกข์ทรมานขนาดไหนก็ไม่มีวันรับของจากคนแปลกหน้าง่าย ๆ หรอก แต่ข้างกายยังมีพระสวามีร่างกายอ่อนแอและลูก ๆ ที่ยังเล็ก ดังนั้นจึงไม่มีที่ให้นางมัวทะนงตนได้อีก

“ยังเป็นพี่สะใภ้ที่คุยง่าย ! ” ตอนอยู่หน้าประตู หลินเว่ยเว่ยได้ยินเด็กทั้งสองเรียกบุรุษท่านนี้ว่า ‘ฟู่หวาง’ ในจังหวะนั้นนางก็รู้สึกเหมือนเก็บสมบัติได้โดยบังเอิญ ! ทำดีย่อมได้ดีจริง ๆ !

หลินเว่ยเว่ยเข้าสังคมไม่เก่ง โดยเฉพาะกับคนที่อ่อนโยนอ่อนหวาน หลังวางอาหารไว้บนโต๊ะแล้ว นางก็เดินออกมาทันที

โม่ชิงหลีหัวเราะคิกคัก “พี่สาวคนนั้นน่าสนใจจริง ๆ พวกเราไม่ใช่เสือหรือหมาป่าสักหน่อย ไม่เห็นต้องรีบร้อนออกไปขนาดนั้นเลยเพคะ ? ”

หลังตักแกงปลาให้พระสวามีแล้วได้ยินบุตรสาวพูดแบบนั้น หนิงหวางเฟยก็หันไปถลึงตาใส่ทันที “พูดอะไร ! หลินกู่เหนียงเรียกฟู่หวางของเจ้าว่า ‘พี่ใหญ่โม่’ เจ้ากับหยูเอ๋อร์ก็ควรเรียกนางว่าอาหญิง”

โม่ชิงหลีมุ่ยปาก “นางกับน้องชายดูมีอายุมากกว่าลูกแค่ไม่กี่ปีเองเพคะ แค่ผ่านไปครู่เดียวก็เลื่อนลำดับอาวุโสแล้ว…” โม่ชิงหลีเผยท่าทางไม่พอใจ

หนิงอ๋องยื่นซาลาเปาให้นางหนึ่งลูก ก่อนจะแย้มพระสรวลออกมาเบา ๆ “ไม่ให้เรียกพ่อว่าพี่ใหญ่โม่ หรือจะให้นางเรียกพ่อว่าท่านลุงโม่ ? อีกฝ่ายจะคิดอย่างไร ? ”

“จะคิดอย่างไรล่ะเพคะ ? หากพระองค์เปิดเผยฐานะออกไป ผู้คนย่อมยินดีเป็นหลานชายหรือหลานสาวอยู่แล้ว ! ” อ๋องก็คือฮ่องเต้ซึ่งปกครองที่ดินศักดินาของพระองค์ โม่ชิงหลีย่อมรู้ดีแก่ใจ

หนิงอ๋องถอนหายใจเบา ๆ “หลีเอ๋อร์ หยูเอ๋อร์ พอไปถึงเมืองหลวงแล้วอย่าพูดจาไม่คิดเช่นนี้อีก การกระทำหรือคำพูดที่ไม่ระวัง อาจทำให้คนอื่นจับไปเป็นจุดอ่อนได้”

แม้พระองค์จะมีศักดิ์เป็นอ๋อง แต่สถานะช่างน่าลำบากใจ…ไม่รู้ว่ากลับเมืองหลวงในคราวนี้จะเป็นเรื่องถูกต้องหรือผิดพลาดกันแน่ หวังว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันจะเห็นแก่ที่พระองค์เสนอยกที่ดินศักดินาคืนไป แล้วจะมีเมตตากับบุตรและพระชายาด้วยเถิด

โม่ชิงหลีก็หาใช่เด็กที่ไม่รู้ความ เย็นวันหนึ่งนางไม่ทันระวังจึงแอบได้ยินบทสนทนาของฟู่หวางและหมู่เฟย จึงได้รู้ว่าสถานการณ์ของครอบครัวเป็นอย่างไร แววตาของนางจึงดูมืดมนขึ้นทันที…เมืองหลวงก็ไม่ดีไปกว่าตะวันตกเฉียงเหนือ ต่อไปนางจะไม่ทำตัวเย่อหยิ่งอีก ไม่อย่างนั้นจะเป็นการนำภัยร้ายมาสู่ตัวแน่นอน…

หนิงหวางเฟยตักชิมแกงปลา อืม อร่อยมาก ฝีมือของกู่เหนียงน้อยคนนี้ดีกว่าแม่ครัวแห่งตำหนักอ๋องเสียอีก เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นใบหน้าของบุตรชายเต็มไปด้วยคราบมันเยิ้ม ทั้งน่าขบขันและน่าปวดใจ นางอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “หยูเอ๋อร์ กินช้าๆ หน่อย ประเดี๋ยวก็สำลักเอาหรอก ! ”

“หมู่เฟย ซาลาเปาไส้เนื้ออร่อยมากเลยพ่ะย่ะค่ะ ! ” หลังจากโม่ชิงหยูกลืนอาหารในปากจนหมดแล้วถึงพูดออกมาด้วยสีหน้าพึงพอใจ

หนิงอ๋องใช้ผ้าเช็ดใบหน้าให้บุตรชาย “ถ้าอร่อยก็กินเยอะ ๆ ซาลาเปายังมีอีกหลายลูก มาเถิด กินแกงปลาสักคำ”

ตอนอยู่ในตำหนัก มีของอร่อยชนิดใดที่บุตรชายไม่เคยกินบ้าง นี่เพิ่งออกเดินทางได้ไม่กี่วัน แค่การกินซาลาเปาก็ทำให้ดีใจแล้ว เฮ้อ ! คนเป็นบิดาช่างไม่เอาไหนเลยจริง ๆ !

จากนั้นก็หยิบซาลาเปาขึ้นมาหนึ่งลูกแล้วแบ่งออกเป็นสองส่วน นำไส้ข้างในให้บุตรชายและบุตรสาวคนละครึ่งโดยไม่ลำเอียง ส่วนแป้งซาลาเปาที่เหลือก็กัดกินเองคำเล็ก ๆ…หืม ? ไม่รู้ว่าไส้เนื้อปรุงด้วยอะไร หอมอร่อยจนรสชาติซึมเข้าตัวแป้งชนิดที่ไม่เคยเสวยมาก่อน

“ฟู่หวาง ไส้เนื้อนี้พระองค์เสวยเองเถิด ไม่ต้องแบ่งให้พวกเราหรอกเพคะ” ขณะมองร่างกายที่ซูบผอมเพราะน้ำหนักลดฮวบของฟู่หวาง โม่ชิงหลีก็รู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที ช่วงหลายวันมานี้สิ่งใดที่ฟู่หวางคิดว่าเป็นของดีที่สุดก็จะเก็บไว้ให้หมู่เฟยและพวกนางสองพี่น้อง จนไม่สนพระทัยร่างกายของตนเลย ไม่ว่าหมู่เฟยจะพูดอย่างไร ฟู่หวางก็รับปากแต่การกระทำยังเหมือนเดิม

[i]

1 พยัคฆ์ร่วงสู่พื้นราบ ย่อมโดนสุนัขรังแก หมายถึง ผู้มีอำนาจหากตกอยู่ในสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปจากเดิม ชะตากรรมก็อาจเปลี่ยนตามไปด้วย

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

Status: Ongoing
นักศึกษาเรียนดีจากวิทยาลัยเกษตรทะลุมิติมาเป็นเด็กสาวชาวนาผู้โง่เขลาและมีนิสัยป่าเถื่อน บิดาก็ตาย มารดาก็อ่อนแอ น้องชายดันมาตีตัวออกห่าง ส่วนพี่สาวก็มักจะคิดว่าเธอเป็นภาระเสมอ แต่โชคดีที่เธอมีมิติน้ำพุวิญญาณอยู่ในมือ เธอทั้งกลายเป็นนักล่าหมูป่า ทำให้ฝูงหมาป่าตกใจ ใช้น้ำพุวิญญาณมาปลูกพืชพันธุ์จนได้ผลผลิตดีงาม ทำสวนก็ได้ผลผลิตดี เลี้ยงสัตว์ก็เติบโต ไหนจะเสน่ห์ปลายจวักอีก เด็กโง่เขลาคนนี้นี่แหละจะนำพาทั้งครอบครัวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองเอง ! ทว่าบัณฑิตหนุ่มหน้าหวานจอมหยิ่งคนข้างบ้านเนี่ย คิดว่าตัวเองหล่อแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือไง ? คิดว่าเป็นขุนนางแล้วใครจะทำอะไรไม่ได้หรือ ? สุดท้ายก็ถูกเด็กโง่คนนี้กำราบไม่ใช่หรือไง ?

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท