หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง – ตอนที่ 485 ดูเหมือนได้ช่วยใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่เอาไว้

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 485 ดูเหมือนได้ช่วยใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่เอาไว้

ไม่ถูกต้อง ! ม้าตัวแรกสุดดูไม่ค่อยปกติ เหมือนกำลังพยศ มันห้อตะบึงไปข้างหน้าโดยไม่สนอะไรทั้งนั้น แต่มันก็เหนื่อยจนน้ำลายฟูมปาก…ถ้ายังไม่หยุดเอาไว้ ม้าตัวนี้ต้องตายแน่ ส่วนคนที่อยู่บนหลังของมัน ขาทั้งสองข้างเกี่ยวกับท้องม้าไว้แน่น มือข้างหนึ่งจับสายบังเหียน ข้างหนึ่งกอดคอม้าเอาไว้ สภาพเหมือนกำลังจนตรอกเลยก็ว่าได้

ไม่รู้ว่าคนกับม้าคู่นี้อยู่ในสภาพเช่นนี้มานานแค่ไหนแล้ว เมื่อเข้ามาใกล้อีกหน่อยก็จะเห็นใบหน้าแสนเหนื่อยล้าของคนบนหลังม้า ถ้าไม่มีใครช่วยเหลือ เกรงว่าอีกไม่นานเขาจะตกจากหลังม้าแน่นอน…ความเร็วขนาดนี้ ถ้าไม่ตกมาตายก็ต้องพิการ

ช่วยหรือว่าไม่ช่วยดีนะ ? ระหว่างที่กำลังครุ่นคิด ม้าพยศตัวนั้นก็วิ่งมาตรงเบื้องหน้าของหลินเว่ยเว่ยแล้ว คนบนหลังม้าคาดไม่ถึงว่ากลางถนนจะมีเด็กสาวคนหนึ่งยืนอยู่ พอเห็นม้าจะวิ่งชนนาง…คนผู้นั้นจึงตะโกนออกมาว่า “หลีกไป ! ”

ตัวเองตกอยู่ในอันตราย แต่ยังเป็นห่วงความปลอดภัยของคนอื่น ยึดจากจุดนี้แล้วน่าจะไม่ใช่คนชั่ว หลินเว่ยเว่ยตัดสินใจได้ทันที…

นางโยนกระบองเหล็กในมือทิ้งพลางเดินก้าวไปข้างหน้าสองก้าว จากนั้นเบี่ยงตัวยืนหันข้างตรงริมถนน เมื่อรอให้ม้าตัวนั้นกำลังจะวิ่งผ่านตัวนางไป ในช่วงเวลาระหว่างรอยต่อนั้นเอง นางก็ใช้มือจับสายบังเหียนไว้แน่นพลางร้องตะโกนเสียงดังลั่นเพื่อออกแรงที่มือทั้งสองข้าง…ม้าที่เคยวิ่งอย่างบ้าคลั่งจึงถูกนางกระชากคออย่างกะทันหัน มันจึงล้มลงกระแทกพื้นทันที แต่เพราะวิ่งมาเร็วเกินไป มันจึงไถลไปตามพื้นได้ต่อ

ส่วนคนบนหลังม้า เพราะแรงเฉื่อยจึงทำให้ในจังหวะที่ม้าล้มลง ตัวเขาก็ลอยขึ้น หากร่วงลงมากระแทกพื้นล่ะก็ จะต้องเจ็บไม่น้อยเลย ในชั่วพริบตานั้นเองหลินเว่ยเว่ยก็ลุกขึ้นมาแล้วรีบวิ่งไปข้างหน้าสองสามก้าว จากนั้นก็จับปกคอเสื้อของอีกฝ่ายไว้ก่อนที่เขาจะตกมาได้ทันเวลา

ขณะจับปกคอเสื้อของคนผู้นั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว หลินเว่ยเว่ยก็ใช้มืออีกข้างลูบหน้าอกของตัวเอง “ฉิวเฉียดไปเลย ! ”

ฮ่องเต้หยวนชิงตกตะลึงโดยพลัน ไม่คิดไม่ฝันว่าพระองค์จะมีวันถูกคนอื่นยกพระวรกายค้างไว้เช่นนี้ บรรดาผู้ที่ควบอาชาตามมาก็เริ่มเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ พระองค์ไม่ปรารถนาให้พวกข้าราชบริพารและราชองครักษ์มาเห็นนายเหนือหัวในสภาพน่าอับอายเช่นนี้ พระองค์จึงกระแอมไอออกมาเบา ๆ แล้วทอดพระเนตรเด็กสาวที่ช่วยชีวิตเอาไว้ “แม่หนู วางข้าลงได้หรือยัง ? ”

หลินเว่ยเว่ยนำมืออีกข้างมาช่วยพยุงแขนเขาไว้ หลังจากรอให้เขายืนได้อย่างมั่งคงแล้ว นางถึงจะถอยออกมาพลางใช้ดวงตากลมโตแสนบริสุทธิ์มองอีกฝ่าย ห่างออกไปไม่ไกล เจียงโม่หานและหลินจื่อเหยียนกำลังยืนหันหลังให้พวกนาง ทำทีเป็นยุ่งอยู่กับการเก็บของขึ้นรถม้า ราวกับว่า…ไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น

“ฝ่า…ใต้เท้าหวง ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมขอรับ ! ” ราชองครักษ์และข้าราชบริพารที่ตามมาก็ได้เห็นฮ่องเต้ยืนอยู่ริมถนนโดยไร้บาดแผล พวกเขาจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก หากฮ่องเต้ได้รับบาดเจ็บขึ้นมา ศีรษะของพวกตนคงรักษาไว้ไม่ไหว !

“ไม่เป็นไร แม่หนูน้อยคนนี้ช่วยข้าไว้…หืม ? แม่หนู จี้หยกอันนี้ของเจ้า จะให้เจิ้น…ข้าดูได้หรือไม่ ? ” สายพระเนตรของฮ่องเต้หยวนชิงหยุดอยู่ที่ลำคอของนาง

หลินเว่ยเว่ยก้มหน้ามอง ที่แท้ตอนช่วยคนจากอันตรายเมื่อครู่ จี้หยกแทนใจที่บัณฑิตน้อยให้นางไว้ก็หลุดออกมาจากสาบเสื้อ นางถอดมันออกอย่างระมัดระวังแล้วตรวจดูอย่างละเอียด…โชคยังดี ไม่ได้เสียหายอะไร

“แม่หนู เจ้าได้จี้หยกชิ้นนี้มาจากที่ใดหรือ ? ” ระหว่างที่นางถอดออกมาดู ฮ่องเต้หยวนชิงก็ได้เห็นลวดลายบนหยกอย่างชัดเจน นี่เป็นของที่พระองค์มอบให้หมินอ๋องเพื่อเป็นของขวัญในการทำศึกครั้งแรกของอีกฝ่าย จี้หยกชิ้นนี้อยู่กับพระองค์มาตั้งแต่ทรงพระเยาว์จนเจริญชันษา ด้านบนยังมีรูขนาดเล็ก ๆ ที่เกิดจากความประมาทของพระองค์เอง ฮ่องเต้หยวนชิงไม่มีทางจำผิดแน่นอน !

หมินอ๋องเป็นผู้ที่รักภรรยายิ่งกว่าตัวเอง พอได้ยินว่าหยกนี้สามารถให้ความอบอุ่นแก่ผู้สวมใส่ได้ ระหว่างที่หมินหวางเฟยตั้งครรภ์รอบที่สอง หมินอ๋องจึงยกจี้หยกนี้ให้นางพกติดกาย ต่อมาในช่วงวิกฤติ หมินหวางเฟยที่ใกล้คลอดก็สวมฉลองพระองค์ของฮองเฮาเพื่อหลอกล่อทหารกบฏออกไป หลังจากคลอดบุตรก่อนกำหนดแล้ว นางก็ยกทารกน้อยให้สาวใช้คนสนิทที่ไว้ใจที่สุด…

จากนั้นไม่นาน หมินหวางเฟยได้รับการช่วยเหลือ แต่สาวใช้กับทารกคนนั้นหายตัวไปท่ามกลางภัยสงคราม เวลาผ่านพ้นไปเกือบ 15 ปีก็ยังไร้ข่าวคราว จี้หยกชิ้นนี้หมินหวางเฟยยัดใส่ผ้าห่อตัวทารกน้อย มันจึงพลอยหายสาบสูญไปด้วย

ฮ่องเต้หยวนชิงคาดไม่ถึงว่าจี้หยกที่หายไปนานกว่า 15 ปี จะมาปรากฏขึ้นอีกครั้งตรงเบื้องหน้าพระพักตร์ ต่อจากนั้นก็เลื่อนสายพระเนตรกวาดมองใบหน้าน้อย ๆ ของเด็กสาวที่ช่วยชีวิตเอาไว้…ดูเหมือนเด็กสาวคนนี้จะมีอายุประมาณสิบห้าสิบหกปี หรือว่า…

“แม่หนูน้อย เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว ? ” ฮ่องเต้หยวนชิงทอดพระเนตรเด็กสาวด้วยรอยแย้มพระโอษฐ์ พยายามทำให้สีพระพักตร์ดูเป็นคนใจดีที่สุด

“ข้าหรือ ? ท่านไม่รู้หรือว่าการถามอายุสตรีเป็นพฤติกรรมที่ไร้มารยาท ? ” หลินเว่ยเว่ยมองบุรุษผู้มีประกายประหลาดตรงหน้าด้วยความหวาดระแวง…ทำไม ? คงไม่ได้ให้นางมาเจอฉากลวนลามสตรีหรอกกระมัง ? หรือจะเปลี่ยนเป็นบทสาวงาม ? หรือกำลังจะเปิดตัวละครเอกอีกหนึ่ง ? หรือจะให้ดำเนินชีวิตเหมือนแมรี่ซู1 ?

เจียงโม่หานจดจำฮ่องเต้หยวนชิงได้ตั้งนานแล้ว เขาจึงลากหลินจื่อเหยียนไปเก็บของขึ้นรถม้า ทำให้ฮ่องเต้หยวนชิงเข้าพระทัยว่าพวกตนไม่ได้เห็นสภาพน่าอับอายของเจ้าแผ่นดิน

ฮ่องเต้หยวนชิงจำจี้หยกของเขาได้ แต่เหมือนจะเข้าใจฐานะของเด็กน้อยผิดไป ระหว่างครุ่นคิด เขาก็คิดว่าเข้าใจผิดก็ดีเหมือนกัน สร้างชาติกำเนิดอันสูงศักดิ์ให้เด็กน้อยเสียหน่อย ตอนอยู่ในเมืองหลวงจะได้ไม่โดนดูถูกและรังแก ด้วยนิสัยไม่กลัวฟ้ากลัวดินของนาง ถ้าไม่มีคนหนุนหลังอันแข็งแกร่ง ไม่ช้าก็เร็วจะต้องตกอยู่ในเงื้อมมือคนชั่ว แม้เขามั่นใจว่าสามารถปกป้องนางได้ แต่มันไม่ได้แปลว่านางจะไม่ต้องเผชิญกับความเย็นชาและความอยุติธรรมในสังคม ! อีกอย่างคือตำหนักหมินอ๋องมีชีวิตชีวามากพออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เขาไปเติมสีสันให้อีกคนก็ได้ !

เมื่อได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของเด็กน้อยแล้ว เจียงโม่หานก็เหงื่อตกทันที บอกว่านางไม่กลัวฟ้ากลัวดิน นางก็หมิ่นพระเกียรติฮ่องเต้หยวนชิงเสียแล้ว…

“เว่ยเอ๋อร์ ! เจ้าจะเสียมารยาทไม่ได้! ใต้เท้า คู่หมั้นของบัณฑิตมักถูกตามใจเป็นประจำ หากพูดอะไรแล้วทำให้ท่านขุ่นเคือง ต้องขอให้ใต้เท้าอภัยด้วยเถิดขอรับ” ชาติก่อนเจียงโม่หานเคยติดตามฮ่องเต้หยวนชิงอยู่ระยะหนึ่ง จึงรู้ว่าสำหรับคนที่ไว้วางพระทัยและโปรดปรานแล้ว ความอดทนของพระองค์จะไม่มีที่สิ้นสุด…อย่างเช่น ครอบครัวของหมินอ๋อง

ส่วนคนที่พระองค์ไม่โปรดปรานย่อมไม่มีจุดจบที่ดีสักคน ยกตัวอย่างเช่น ตัวเขาในอดีตชาติ เขาไม่อยากให้คู่หมั้นโดนจดทะเบียนขึ้นบัญชีดำตั้งแต่เพิ่งเจอกับฮ่องเต้หยวนชิง

หลินเว่ยเว่ยหันไปมองหน้าบัณฑิตหนุ่ม ไม่ว่าเจอเชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์อย่างหนิงอ๋อง องค์ชายเจ็ดและหมินอ๋องซื่อจื่อ เขาจะยังดูใจเย็นอยู่เสมอ แต่พอเจอกับชายตรงหน้าคนนี้แล้ว เขากลับดูเคร่งเครียดและประหม่าไม่น้อย…หรือว่า…ชายที่เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจแปลก ๆ คนนี้ จะมีฐานะสูงกว่าองค์ชายเจ็ดเสียอีก ?

“ฝ่า…ใต้เท้า รู้สึกเจ็บปวดตรงไหนหรือไม่ขอรับ ? ” ถ้าไม่มีพวกหลินเว่ยเว่ยอยู่ด้วย ราชองครักษ์และข้าราชบริพารที่ปลอมตัวมากับฮ่องเต้ก็คงลงไปคุกเข่าและหมอบกราบขอรับโทษแล้ว

“ไม่เป็นไร” นอกจากฝ่าพระหัตถ์ที่ถูกสายบังเหียนบาด ฮ่องเต้หยวนชิงก็ไม่ได้บาดเจ็บตรงไหนอีก…สำหรับบุรุษที่ออกรบมาทั้งเหนือจรดใต้อย่างพระองค์ บาดแผลแค่นี้เป็นเรื่องเล็กน้อย โชคดีที่ได้บุตรสาวของหมินอ๋องผู้นี้ช่วยเหลือไว้ ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้นอย่างแท้จริง !

ใต้เท้าหวง ? หลินเว่ยเว่ยที่เคยดูละครมาหลายเรื่องในชาติก่อนก็เข้าใจได้ทันที สุดยอดจริง ๆ นี่ยังไม่ทันได้เข้าเมืองหลวงก็ได้เจอ ‘บอส’ ใหญ่ที่สุดในแผ่นดินแล้ว แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นโชคดีหรือโชคร้ายของนางกันแน่ ?

[i]

1 แมรี่ซู หมายถึง ตัวละครที่มีลักษณะอุดมคติ เป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเติมเต็มความรู้สึก ความฝัน หรือจินตนาการบางอย่างของผู้เขียนและผู้อ่าน โดยไม่คำนึงถึงหลักเหตุผลและความเป็นจริงหลายประการ

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

Status: Ongoing
นักศึกษาเรียนดีจากวิทยาลัยเกษตรทะลุมิติมาเป็นเด็กสาวชาวนาผู้โง่เขลาและมีนิสัยป่าเถื่อน บิดาก็ตาย มารดาก็อ่อนแอ น้องชายดันมาตีตัวออกห่าง ส่วนพี่สาวก็มักจะคิดว่าเธอเป็นภาระเสมอ แต่โชคดีที่เธอมีมิติน้ำพุวิญญาณอยู่ในมือ เธอทั้งกลายเป็นนักล่าหมูป่า ทำให้ฝูงหมาป่าตกใจ ใช้น้ำพุวิญญาณมาปลูกพืชพันธุ์จนได้ผลผลิตดีงาม ทำสวนก็ได้ผลผลิตดี เลี้ยงสัตว์ก็เติบโต ไหนจะเสน่ห์ปลายจวักอีก เด็กโง่เขลาคนนี้นี่แหละจะนำพาทั้งครอบครัวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองเอง ! ทว่าบัณฑิตหนุ่มหน้าหวานจอมหยิ่งคนข้างบ้านเนี่ย คิดว่าตัวเองหล่อแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือไง ? คิดว่าเป็นขุนนางแล้วใครจะทำอะไรไม่ได้หรือ ? สุดท้ายก็ถูกเด็กโง่คนนี้กำราบไม่ใช่หรือไง ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท