พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า – บทที่ 1945 เจ้าคิดว่าควรจะลงโทษอย่างไร?

บทที่ 1945 เจ้าคิดว่าควรจะลงโทษอย่างไร?

บางคนก็พาสมาชิกครอบครัวไปด้วยคนสองคน บางคนก็พาสมาชิกครอบครัวไปด้วยเป็นสิบเป็นร้อย พาไปด้วยเป็นพันก็มี

สีของท้องฟ้าเริ่มมืดลงทีละนิด เหตุการณ์ตรงนี้ยังคงดำเนินต่อไป กลุ่มคนเริ่มแบ่งเป็นสามกลุ่ม คนที่อยู่บนที่ราบหนึ่งกลุ่ม คนที่อยู่ในป่าหนึ่งกลุ่ม คนที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้หนึ่งกลุ่ม

ฝั่งเซี่ยโห้วเฉิงอวี่ส่งข่าวกลับมาหาเหมียวอี้แล้ว ไม่ได้เจอตัวประมุขชิง ช่วงนี้ประมุขชิงไม่อยากเจอนางก็เป็นเรื่องปกติ แต่ฝั่งซ่างกวนชิงให้คำตอบเซี่ยโห้วเฉิงอวี่แล้ว เพียงยอมรับว่าสิ่งที่ฮวาอี้เทียนทำคือประสงค์ของฝ่าบาท

คนในป่าลดน้อยลงเรื่อยๆ คนที่รวมตัวกันบนที่ราบมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่อยู่ข้างหลังเหมียวอี้ก็ลดลงไม่น้อย เมื่อเทียบกับกำลังพลหลายสิบล้าน อย่างไรเสียคนที่พาครอบครัวไปด้วยก็เป็นส่วนน้อย

การเรียกชื่อยังคงดำเนินไปท่ามกลางความมืด สำหรับนักพรตกลุ่มนี้ การใช้ดวงตาอิทธิฤทธิ์ในความมืดไม่มีผลกระทบอะไร ถึงอย่างไรดวงจันทร์เก้าดวงบนศีรษะก็ยังส่องสว่างพร่างพราว สว่างกว่าแสงสว่างบนโลกตั้งเยอะ

วงล้อมของกองทัพองครักษ์ในป่ากำลังหดเล็กลงเรื่อยๆ

“ผู้ตรวจการใหญ่ เหตุใดจึงไม่เห็นนายท่านลิ่งหู?” จู่ๆ แม่ทัพคนหนึ่งก็ถ่ายทอดเสียงถามเหมียวอี้

มีหรือที่เหมียวอี้จะบอกว่าลิ่งหูโต้วจ้งถูกสังหารไปแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่บอก ตอนนี้ก็ยิ่งบอกไม่ได้ว่าตัวเองรู้ล่วงหน้าแล้ว ตอบเพียงว่า “ข้าติดต่อเขาไม่ได้”

คนของตระกูลลิ่งหูที่อยู่ในป่าก็สังเกตได้แล้วเช่นกัน เมื่อเห็นคนข้างกายเริ่มลดน้อยลงเรื่อยๆ เส้าเซียงหัวก็ค่อนข้างกระวนกระวาย คอยถามพ่อบ้านที่อยู่ข้างกายเป็นระยะ “ติดต่อท่านจอมพลได้หรือยัง?”

พ่อบ้านก็ส่ายหน้าอย่างร้อนใจเช่นกัน “ก่อนหน้านี้ท่านจอมพลบอกว่ามีธุระ แล้วหายไปในป่าภูเขาด้านหลังเงียบๆ ไม่ทราบว่าไปไหนแล้ว บ่าวติดต่อไม่ได้เช่นกันขอรับ”

คนที่ร่ายอิทธิฤทธิ์เรียกชื่ออยู่บนยอดเขาพลันหยุดเรียก สมาชิกครอบครัวที่ถูกล้อมไว้ตระหนกตกใจทันที อย่าบอกนะว่าพวกเขาคือกลุ่มคนที่มีความผิด

โชคดีที่หลังจากรอไปได้ครู่หนึ่ง การเรียกชื่อก็เริ่มขึ้นอีก เพียงแต่เปลี่ยนคนเรียกก็เท่านั้นเอง

เพียงอึดใจเดียวก็เรียกชื่อไปแล้วร้อยคน หนึ่งในนั้นมีชื่อของลิ่งหูโต้วจ้ง แต่ท่ามกลางคนที่เดินออกไปกลับไม่มีลิ่งหูโต้วจ้ง

ลิ่งหูโต้วจ้งเป็นชื่อสุดท้ายที่ถูกเรียก แต่ไม่เห็นตัวคน

ร้อยคนที่ลงไปก็ยังออกมารับสมาชิกในครอบครัวไม่ได้เช่นกัน รออยู่ในวงล้อมครู่หนึ่งก็ยังไม่เห็นว่าวงล้อมจะเปิดออก แต่กลับมีกำลังพลกลุ่มหนึ่งมาล้อมไว้ ล้อมพวกเขาเอาไว้แล้วธนูฝ่าอิทธิฤทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนเล็งมาที่พวกเขา เล็งไปที่สมาชิกในครอบครัวของพวกเขาแล้ว

คนที่อยู่ตรงนั้นหวาดหวั่นวุ่นวายทันที ผู้หญิงบางคนถึงขนาดตกใจจนกุมศีรษะร้องไห้อยู่กับคนข้างกาย

พอเหมียวอี้เห็นภาพเหตุการณ์ตรงนั้น ในใจก็พอจะมีข้อมูลบางแล้ว มีแม่ทัพหลายคนกับลิ่งหูโต้วจ้งหายไปแล้ว ล้วนเป็นคนที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับลิ่งหูโต้วจ้ง ส่วนแม่ทัพพวกนี้ที่ถูกล้อมไว้ เขาเองก็จำได้เช่นกันว่าส่วนหนึ่งมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับลิ่งหูโต้วจ้ง คนพวกนี้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับลิ่งหูโต้วจ้งกันแน่ เขาเองก็ไม่รู้แน่ชัด แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ นั่นก็คือตำหนักสวรรค์รู้สถานการณ์มากกว่าเขาแน่นอน และรู้อย่างละเอียดชัดเจนกว่าด้วย

แล้วคนพวกนี้ก็ดันถูกล้อมไว้แล้ว เขาพอจะตระหนักได้แล้วว่าประมุขชิงคิดจะทำอะไร

ไม่ใช่แค่เขา แม่ทัพบางส่วนก็พอจะตระหนักได้แล้วเช่นกัน เรื่องในวันนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา พวกเขาแค่ถูกใช้เป็นเครื่องมือทำให้คนบางส่วนสงบลงก็เท่านั้นเอง ตอนนี้สุดแผนที่ปรากฏมีดสั้น[1]แล้ว!

“ลิ่งหูโต้วจ้งอยู่ที่ไหน?” ฮวาอี้เทียนพลันตะโกนถามอยู่บนฟ้า

ตรงนั้นไร้คนตอบกลับ เส้าเซียงหัวที่ถูกล้อมไว้กลับตะโกนเสียงดังพูดกับเหมียวอี้ “ผู้ตรวจการใหญ่หนิว พวกเรามาขอพึ่งพาด้วยความจริงใจ เจ้าทำแบบนี้มีจุดประสงค์อะไร? หรือคิดจะข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพานทิ้ง?” เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว เห็นได้ชัดว่านางตระหนักได้ว่าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล

เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ อยู่ต่อหน้าลูกน้องมากมายขนาดนี้ เหมียวอี้ไม่มีทางทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นได้ ตะโกนถามฮวาอี้เทียนด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวโกรธทันที “ผู้ตรวจการใหญ่ฮวา เจ้าทำแบบนี้หมายความว่าอะไร? เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาแตะต้องคนของข้า หรือว่าเป็นประสงค์ของฝ่าบาท?”

ฮวาอี้เทียนหันขวับมามองเขา พ่นเสียงทางจมูกเย้ยหยัน แล้วบอกว่า “ผู้ตรวจการใหญ่หนิว เจ้าจำไว้นะ กำลังพลหลายสิบล้านนี้คือกำลังพลของตำหนักสวรรค์ ไม่ใช่กำลังพลของใครคนใดคนหนึ่ง!”

ใครบางคนที่ว่า นอกจากลิ่งหูโต้วจ้งแล้วยังจะเป็นใครได้อีก? พูดประโยคเดียวก็เปิดเผยเจตนาของประมุขชิงแล้ว นี่คือความประสงค์ที่เข้าใจได้โดยไม่ต้องพูดออกมา!

เหมียวอี้ใบหน้าตึงเครียด เขาเข้าใจแล้ว ว่าขอเพียงแค่มีโอกาส ประมุขชิงก็จะไม่ปล่อยลิ่งหูโต้วจ้งไป ถ้าเขาเดาไม่ผิด โอกาสนี้เป็นเขาเองที่มอบให้ประมุขชิง การลงโทษที่เขารายงานขึ้นไปทำให้ประมุขชิงมองเห็นโอกาสในการลงมือ ไม่อย่างนั้นจะต้องกระตุ้นให้ลิ่งหูโต้วจ้งนำกำลังทหารสู้ตายแน่นอน แบบนั้นประมุขชิงก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นกัน

ฮวาอี้เทียนไม่รอให้เขาพูดอะไร ตะโกนสั่งแล้วว่า “นำตัวคนพวกนี้ไป! ใครขัดขืน ฆ่าได้เลย!”

ทัพใหญ่มีกำลังพลออกมาตัดวงล้อมไว้ทันที เส้าเซียงหัวตะโกนบอกเหมียวอี้ด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ผู้ตรวจการใหญ่ นายท่านของข้ามาขอพึ่งพาด้วยความจริงใจ กลายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าแล้ว ทำไมเจ้าถึงไม่ทำอะไรเลย?” ความหมายแฝงในคำพูดก็คือให้เหมียวอี้ช่วยชีวิตพวกเขา

“แม่ทัพใหญ่เหิง…”

“แม่ทัพใหญ่เหิง…”

แม่ทัพที่ถูกล้อมไว้ถูกปลดอาวุธในมือแล้ว แต่ก็ไม่มีใครกล้าลงมือ ยังไม่ต้องพูดถึงความแตกต่างของพลัง ฝั่งนี้มีสมาชิกในครอบครัวจำนวนมากที่อยู่ภายใต้ดาบของกองทัพองครักษ์ จะต่อต้านได้อย่างไร? ทำได้เพียงฝากความหวังไว้ที่คนของตัวเอง พากันตะโกนบอกคนที่พาครอบครัวของตัวเองไป ตะโกนร้องขอให้ช่วยชีวิตเช่นกัน

เหมียวอี้มองซ้ายมองขวา แม่ทัพที่อยู่ข้างกายบ้างก็ก้มหน้า บ้างก็หน้าตึงทนมองตรงๆ ไม่ได้ เราก็มองกำลังพลที่อยู่บนพื้นที่ราบกับครอบครัวอีก พวกนั้นหวาดกลัวไม่กล้าพูดอะไร ไม่มีท่าทีว่าจะลงมือสู้เลย

เหมียวอี้แอบถอนหายใจยาวๆ จบกัน! เจตจำนงในการต่อต้านของคนพวกนี้พังทลายโดยสิ้นเชิง ประการแรก พวกเขาเป็นสุนัขไร้บ้านที่หวาดระแวงกลัวเพราะอิ๋งจิ่วกวงรบตาย เดินมาเจอทางตันแล้วจึงมาขอพึ่งพาที่นี่ แล้วก็ถูกวิธีการอันชั่วร้ายของฝั่งนี้ทำลายโครงสร้างของลิ่งหูโต้วจ้ง จนกระทั่งมาเจอฉากตรงหน้า ภายใต้การโดนกระทำซ้ำไปซ้ำมา หัวใจคนกระจัดกระจายหมดแล้ว คนที่รอดชีวิตมาได้ตอนนี้คงไม่ขออะไรมาก ขอเพียงให้ตัวเองมีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ ก็พอ

กำลังพลสายตรงของลิ่งหูโต้วจ้งอะไรพวกนั้น สมาชิกที่มีพลังในการปลุกระดมถูกควบคุมไว้แล้ว บทจะพังก็พังเลย เหมียวอี้รู้สึกขำ แต่ในใจกลับยิ่งเดือดดาล กำลังพลหลายสิบล้านเผชิญหน้ากับกองทัพองครักษ์สิบล้าน ไม่น่าเชื่อว่าจะคล้อยตามจนไม่กล้าแม้แต่จะต่อต้าน ได้แต่มองดูอีกฝ่ายจับคนของตัวเองไปอย่างนี้ ตั้งแต่เขาบัญชาการทหารมา ยังไม่เคยผ่านประสบการณ์อันน่าอัปยศเช่นนี้มาก่อน แต่ไหนแต่ไรมาเขาใช้คนจำนวนน้อยสู้กับคนจำนวนเยอะ เรื่องที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ นับว่าเป็นเรื่องน่าอับอายขายหน้าจริงๆ!

แต่ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าก็ชัดเจนแล้ว เขาสามารถปลุกระดมคนพวกนี้ได้ด้วยหรือ? เจตจำนงในการต่อต้านของคนพวกนี้ถูกทำลายด้วยมือของเขาเอง!

มิหนำซ้ำก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะถ่ายทอดคำสั่งให้ต่อต้านตำหนักสวรรค์ในเวลานี้

เหมียวอี้เม้มริมฝีปากแน่น กำลังมองคนที่ถูกล้อมทยอยถูกจับกับตาตัวเอง

เส้าเซียงหัวถูกบ่าวไพร่คุ้มครองอยู่ตรงกลาง ขณะมองกองทัพองครักษ์ประชิดเข้ามา ในมือชักกระบี่ออกมาแล้ว ใบหน้าซีดเผือด สุดท้ายก็ยังไม่มีความกล้าที่จะออกคำสั่งต่อต้าน ที่สำคัญคือไม่รู้เลยว่าลิ่งหูโต้วจ้งไปอยู่ไหนแล้ว หรือสังเกตได้ว่าสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล จึงทิ้งครอบครัวหนีไปแล้ว?

บ่าวไพร่ที่ร้องปกป้องนางไว้ถูกจับตัวไปชั้นแล้วชั้นเล่า สุดท้ายคมทวนก็จ่ออยู่บนตัวนาง มีบางคนใช้ทวนตีบนข้อมือนาง ทำให้กระบี่วิเศษในมือนางตกลงพื้น ไม่นานก็มีคนหลายคนกรูกันเข้าไป ฮูหยินจอมพลผู้สง่าภูมิฐานถูกผู้ชายตัวใหญ่หลายคนกดให้คุกเข่าบนพื้น ดึงมวยผมแล้วกดศีรษะไว้ ถูกควบคุมไว้ตรงนั้นแล้ว

เส้าเซียงหัวที่กำลังคุกเข่าน้ำตาไหลหยดลงพื้น บ่าวไพร่ที่ถูกควบคุมอยู่ข้างกันร้องไห้ไม่หยุด “ฮูหยิน ฮูหยิน…”

มีคนชรา มีผู้หญิง มีเด็กน้อย เด็กน้อยบางคนตกใจจนร้องไห้ ทั้งยังมีเด็กทารกบางคนที่หลับตานอนหลับสนิท ไม่รู้เลยว่าภายนอกเกิดอะไรขึ้น

ผ่านไปไม่นาน คนที่ถูกล้อมไว้ก็หายไปหมดแล้ว คนหมื่นกว่าคนถูกจับไปอย่างนี้แล้ว

ฮวาอี้เทียนไม่พูดอะไรทั้งนั้น เพียงชำเลืองมองเหมียวอี้แวบเดียว แล้วโบกมือนำทัพใหญ่ขอขึ้นฟ้าไป เหลือเพียงแสงจันทร์กระจ่างดุจน้ำสีเงินที่สาดส่องบนตัวพวกเหมียวอี้ ตรงนั้นเงียบงันไร้ที่เปรียบ มีเพียงเสียงลมพัดวูบ ทุกอย่างเหมือนจะผ่านไปอย่างนี้แล้ว

ฮวาอี้เทียนถึงขั้นไม่สนใจเหวินเจ๋อที่ถูกจับตัวไว้ หนีไปอย่างนี้แล้ว กองทัพองครักษ์ร้อยกว่าคนที่เหวินเจ๋อพามาด้วยก็ยังอยู่ที่นี่ สามารถถูกเหมียวอี้ลงโทษได้ทุกเมื่อ

ทหารคนหนึ่งของกองทัพองครักษ์เหาะมากมุหมัดคารวะตรงหน้าเหมียวอี้ “ผู้ตรวจการใหญ่ ควรจะปล่อยขุนพลเหวินไปได้แล้วใช่มั้ยขอรับ เรื่องลดยศตำแหน่งยังไม่จบ จะดำเนินต่อไปหรือไม่?”

“ไสหัวไป!” เหมียวอี้กล่าวเสียงเย็น

ทหารคนนั้นหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก คิดในใจว่าเจ้าจะโมโหเหมือนเด็กทำไม นี่คือเรื่องดีของเจ้านะ แต่ก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของเหมียวอี้ได้ เขาถลันตัวกลับไปรอ คาดว่าช้าเร็วเหมียวอี้ก็คงจะคิดได้

“แม่ทัพหวง!” เหมียวอี้พลันจ้องแม่ทัพคนหนึ่งที่เฝ้าอยู่ข้างกายคนในครอบครัวข้างล่าง

คนผู้นี้ชื่อว่าหวงลี่ พอได้ยินดังนั้นก็หันกลับมาพยักหน้าให้คนในครอบครัว ดึงมือออกจากมือฮูหยินที่จับมือตัวเองไว้แน่น บอกใบ้ว่าไม่มีเรื่องอะไร เหาะขึ้นมาบนฟ้าแล้วกุมหมัดคารวะ “ผู้ตรวจการใหญ่!”

เหมียวอี้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าวว่า “พวกเขากระจายกำลังเฝ้าด้านนอก เมื่อเห็นคนบุกเข้ามา แม้แต่สถานการณ์ก็ไม่รู้แน่ชัดด้วยซ้ำ ไม่น่าเชื่อว่าจะปล่อยเข้ามาโดยตรง แม่ทัพหวง เจ้าคิดว่าควรจะลงโทษอย่างไร?”

ที่จริงหวงลี่ก็เข้าใจความรู้สึกของคนพวกนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นเขา เกรงว่าคงไม่กล้าขัดขวางพวกฮวาอี้เทียนเช่นกัน ตอนนี้ฐานะของทุกคนอยู่ที่นี่ เมื่อกองทัพองครักษ์จะฝืนบุกเข้ามา จะให้ต้านทานอย่างไรล่ะ? เขาทำสีหน้าลำบากใจทนัที ไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไร ถ้าพูดถึงกฎทหาร ก็เกรงว่าจะไม่มีจุดจบที่ดีสักเท่าไร

สถานที่ตรงนั้นเงียบงัน ไม่มีใครพูดอะไร

เมื่อเห็นเขาไม่พูดอะไร เหมียวอี้ก็ไม่ได้บังคับเขา หันกลับมาตะคอกสั่งว่า “พาคนพวกนั้นมาหาข้า!”

มีคนเอ่ยรับคำสั่งแล้วไปทันที เหมียวอี้นำทัพใหญ่ทั้งหมดเหยียบลงพื้นแล้ว

ใช้เวลาไม่นาน กำลังพลกลุ่มเล็กจำนวนหนึ่งพันที่เฝ้าอยู่นอกดาวจันทร์อี่ก็ถูกพาตัวมา แต่ละคนยืนก้มหน้าอย่างกระวนกระวาย ไม่กล้ามองเหมียวอี้

เหมียวอี้เองก็ขี้คร้านจะมองพวกเขาเช่นกัน บอกประโยคเดียวว่า “ลงโทษ!”

สวีถังหรานสีหน้าดุร้าย โบกมืออย่างไม่ลังเล ข้างหลังมีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามาล้อมกำลังพลกลุ่มนี้ไว้ทันที แล้วจับกุมกดลงพื้นเอาไว้ตรงนั้น

“ผู้ตรวจการใหญ่ พวกเราสำนึกผิดแล้ว!”

“ผู้ตรวจการใหญ่ พวกเราถูกบีบจนหมดทางเลือกเหมือนกัน!”

“ผู้ตรวจการใหญ่ พวกเขาดึงดันจะบุกเข้ามาให้ได้…”

สมาชิกที่คุกเข่าอยู่บนพื้นขอร้องและแก้ตัวด้วยความหวาดกลัว

“หุบปาก!” เหมียวอี้ตะคอกตัดบท ชี้พวกเขาพร้อมหัวเราะประชดความโกรธ “ทัพใหญ่แดนรัตติกาลไม่กี่หมื่นยังเฝ้าจวนหัวหน้าภาคไม่ให้ใครบุกรุกตามอำเภอใจ มีสถานการณ์อะไรก็สามารถเตือนล่วงหน้าให้ทัพใหญ่เตรียมพร้อมรับมือตั้งแต่เนิ่นๆ ได้ แต่ดูพวกเจ้าสิ กำลังพลหลายสิบล้านเชียวนะ ไม่น่าเชื่อว่าจะมีไว้ประดับเฉยๆ ไม่น่าเชื่อว่าจะปล่อยให้กำลังพลที่มีเจตนาไม่แน่ชัดบุกตรงเข้ามา ทำให้ผู้สำเร็จราชการคนนี้ไม่เข้าใจสถานการณ์! รอจนกว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร คนก็มาถึงหน้าประตูบ้านข้าแล้ว ดาบแทบจะมาจ่อคอข้าแล้ว ข้าถึงได้รู้ว่าเกิดเรื่องอะไร! ตั้งแต่หนิวผู้นี้บัญชาการทหารมา ยังไม่เคยได้ยินได้เห็น กำลังพลหลายสิบล้านไม่มีการเตรียมพร้อมป้องกันเลยสักนิด ได้แต่มองดูคนในครอบครัวตัวเองกลายเป็นตัวประกัน ได้แต่มองกำลังพลจำนวนน้อยแค่นั้นทำตามอำเภอใจ หน้าอับอายขายขี้หน้า อัปยศอดสูนัก! ถ้านี่เป็นสองทัพกำลังคุมเชิงกัน ผลที่ตามมาจะเป็นยังไง?”

ตรงนั้นมีเสียงคำรามอย่างเดือดดาลของคนคนเดียว คนที่เหลือเงียบงันไม่พูดอะไร คนที่ถูกกดคุกเข่าบนพื้นก็เงียบเช่นกัน บางทีในใจอาจจะรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม

…………………………

[1] สุดแผนที่ปรากฏมีดสั้น 图穷匕见 เมื่อเหตุการณ์ดำเนินมาจนถึงจุดสิ้นสุด ข้อเท็จจริงย่อมปรากฏออกมา

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

พิชิตสวรรค์ ทะยานฟ้า

เหมียวอี้ เด็กหนุ่มธรรมดาแต่มีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา!

เขาคือเด็กกำพร้าที่ถูกเพื่อนบ้านตราหน้าว่าเป็น ‘ตัวหายนะ’

เพราะพ่อแม่บุญธรรมที่รับเลี้ยงเขาล้วนมีจุดจบอยู่ในกองเพลิงทั้งสิ้น

เขาจึงต้องเติบโตมากับน้องๆ ต่างสายเลือดอีกสองคนตามลำพัง

ไร้เงิน ไร้อำนาจ ไร้ความสามารถ ซ้ำยังเป็นตัวซวย โลกนี้มันช่างอยู่ยากเสียจริง!

หนทางที่จะลบคำครหาของชาวบ้านและก้าวพ้นชีวิตที่ยากไร้ไปได้ก็คือการสำเร็จเป็นเซียน

แม้ความปรารถนาจะอยู่สูงเกินเอื้อม แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถึงจะลำบากและอันตรายเพียงใด

ก็ขอทะยานไปให้สุดขอบฟ้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท