ตอนที่ 519 อาการของหมินหวางเฟยกำเริบอีกแล้ว
หลินเว่ยเว่ยนึกถึงกิมตุ้งในกล่องใบเล็ก “พวกเราก็ไม่ได้เสียเปรียบ ! หมินอ๋องเป็นถึงผู้ที่ฮ่องเต้เชื่อพระทัยที่สุดและยังเป็นเทพสงครามแห่งต้าเซี่ย เป็นแม่ทัพที่มีบารมีสูงส่ง คนอื่นอยากประจบสอพลอยังทำไม่ได้เลย ! ทว่าเขามาหาเราถึงที่ เจ้ายังจะรังเกียจอีกหรือ ? ”
หลินจื่อเหยียนขมวดคิ้ว “แต่ว่าหมินอ๋องเป็นขุนนางฝ่ายบู๊ ! ไม่มีประโยชน์กับอนาคตของพี่เขยรองสักหน่อย…”
เจียงโม่หานเลิกคิ้ว ‘อนาคตของโฉวฝู่อย่างข้ายังต้องให้ผู้อื่นช่วย ? ’
หลินเว่ยเว่ยจิ้มหน้าผากน้องชาย “เจ้าโง่หรือไร ! มีหมินอ๋องคอยหนุนหลัง ผู้อื่นอยากจะวางอุบายใส่บัณฑิตน้อยก็ยังต้องคิดดูก่อน นี่เรียกว่าพึ่งพาบารมี ! เป็นเรื่องที่แม้แต่คนอื่นก็ยังไม่กล้าฝันถึง เราไม่ต้องถึงขั้นไปขอความช่วยเหลือจากเขาหรอก แต่อย่างไรก็ไม่เสียเปรียบ ! ”
จนถึงตอนนี้หลินจื่อเหยียนถึงได้คลายคิ้วที่ขมวดออกแล้วพยักหน้าเบา ๆ…ที่แท้การเป็นขุนนางก็ไม่ได้ใช้แค่ความรู้ความสามารถแล้วจะแสดงศักยภาพออกมาได้อย่างเต็มเปี่ยม หลักของการยืนพิงต้นไม้ใหญ่แล้วได้ร่มเงา เขาเองก็เพิ่งประจักษ์วันนี้
หมินอ๋องให้องครักษ์ที่ติดตามมาด้วยนำกระต่ายย่างสมุนไพรตัวหนึ่งกลับไปที่ตำหนัก ส่วนอีกตัวก็ถือมันเข้าวัง
ณ ห้องทรงพระอักษร ฮ่องเต้หยวนชิงเสวยมื้อกลางวันเสร็จแล้ว บัดนี้กำลังสะสางงานราชกิจบนโต๊ะ ทันใดนั้นก็ได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของบางสิ่งบางอย่าง…เผ็ดหอม สดชื่น ช่างกระตุ้นความอยากอาหารได้ดีเหลือเกิน
“เต๋อฉวน เจ้าได้กลิ่นหรือไม่ ? นี่คือกลิ่นอะไร ? ” ฮ่องเต้หยวนชิงวางพู่กันในพระหัตถ์แล้วหันไปตรัสถามหัวหน้าขันทีที่กำลังช่วยฝนหมึกอยู่ด้านข้าง
เต๋อฉวนเริ่มสูดดมกลิ่น ก่อนจะขมวดคิ้วพลางทูลตอบ “กระหม่อมได้กลิ่นแล้ว ! ประเดี๋ยวกระหม่อมจะออกไปดูว่าเป็นกลิ่นของอะไรพ่ะย่ะค่ะ” ใครหน้าไหนช่างใจกล้าเพียงนี้ ถึงขั้นกล้าแอบกินอาหารนอกห้องทรงพระอักษร ! อยากโดนสั่งสอนสิท่า !
ในจังหวะที่เต๋อฉวนเปิดประตูออกไป หมินอ๋อง ‘ผู้อยากโดนสั่งสอน’ ก็ก้าวเข้ามาพอดี จึงชนกันเข้าอย่างจัง หมินอ๋องรีบเข้าไปประคองเต๋อฉวนที่กำลังจะหงายหลังลงไป “ตาเฒ่าคนนี้ รีบร้อนจะวิ่งออกไปที่ใด ? ”
ทันใดนั้นกลิ่นหอมก็เริ่มเข้มข้นขึ้น หลังกลับมายืนได้อย่างมั่นคงอีกครั้ง เต๋อฉวนก็เห็นห่อกระดาษน้ำมันในพระหัตถ์ของหมินอ๋อง น้ำมันสีแดงที่ไหลออกมาพร้อมกลิ่นหอมหวน…นี่ไงเล่า หาที่มาของกลิ่นหอมได้แล้ว !
ก็จริงอยู่ นอกจากหมินอ๋องที่กล้านำอาหารมายังห้องทรงพระอักษรแล้ว ยังมีผู้ใดกล้าทำตามอำเภอใจต่อเบื้องหน้าพระพักตร์ของฝ่าบาทอีก ?
“ทูลฝ่าบาท หมินอ๋องมาพ่ะย่ะค่ะ ! ”
หมินอ๋องมีสิทธิ์เข้าออกพระราชวังโดยไม่ต้องรายงานก่อน การปรากฏตัวอย่างไม่คาดคิดของอีกฝ่าย ฮ่องเต้หยวนชิงก็ชินชากับมันตั้งนานแล้ว !
“ไปขอข้าวกินจากนางหนูหลินมาอีกแล้วหรือ ? เจ้าไม่กลัวจะกินจนบุตรสาวไม่มีกินบ้างหรือ ? ” ฮ่องเต้หยวนชิงหยุดขยับพู่กันแล้วทอดพระเนตรสหายด้วยรอยยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม
หมินอ๋องถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เมื่อก่อนนี้กระหม่อมคิดไม่รอบคอบเองพ่ะย่ะค่ะ วันนี้จึงเอากิมตุ้งไปให้นางหนึ่งกล่อง คาดไม่ถึงว่าจะได้กินหัวกระต่ายผัดเผ็ดและกระต่ายย่างสมุนไพร รสชาติชา เผ็ด สดชื่น แล้วก็หอมมาก สุดยอดไปเลย ! นี่ยังแบ่งมาให้พระองค์ด้วยพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“ช้าก่อน ! ” หมินอ๋องกะพริบดวงเนตรอย่างคนที่ความรู้สึกช้า “ฝ่าบาท เมื่อครู่พระองค์ตรัสว่าอย่างไร ? บุตรสาว ? ยืนยันฐานะของนางได้แล้วหรือ ? กระหม่อมคิดถูกจริง ๆ สุดท้ายนางก็เป็นบุตรสาวที่พลัดพรากไปนานกว่าสิบห้าปีคนนั้น ? ”
ฮ่องเต้หยวนชิงส่งสายพระเนตรให้เต๋อฉวนซึ่งรีบก้าวขึ้นไปข้างหน้าแล้วรับกระต่ายย่างจากหมินอ๋องมาถือไว้ จากนั้นนำมาวางที่โต๊ะทรงพระอักษรของฮ่องเต้
“ใช่ ! ข่าวส่งมาแล้วว่านางหนูหลินคือเลือดเนื้อเชื้อไขของเจ้ากับเสวี่ยเอ๋อร์ ! ” ฮ่องเต้หยวนชิงไม่ได้อยากปิดบังอีกฝ่าย แต่หมินอ๋องผู้นี้เป็นคนตรงไปตรงมา ถ้าปล่อยให้รู้ความจริง ต่อไปอีกไม่นานผู้อื่นก็จะพลอยรู้ฐานะแท้จริงของเจียงโม่หานไปด้วย
เจียงโม่หานจะกลายเป็นทั้งมือซ้ายและขวาให้แก่องค์รัชทายาท หลังฝึกฝนไปสักสองสามปีก็ต้องเผชิญสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง กลายเป็นเสาหลักแท้จริงของต้าเซี่ย การตัดสินใจนี้ถือว่าดีต่อฮ่องเต้ เจียงโม่หานและตำหนักหมินอ๋อง ดังนั้น…ต้องให้พระสหายคนนี้ทนรับความอยุติธรรมสักเล็กน้อย !
อย่างไรก็ตาม ฐานะบุตรเขยนี้ ถ้าคิดให้ดีก็ถือเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของหยูอันด้วยเช่นกัน ! ไม่ถูกหรืออย่างไร ?
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…” หมินอ๋องแย้มพระสรวลอย่างบ้าคลั่ง (มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่กล้าเสียมารยาทเช่นนี้ต่อหน้าฮ่องเต้) “กระหม่อมก็ว่าแล้ว ! ความจริงไม่ต้องสืบก็ได้ กระหม่อมรู้ตั้งนานแล้วว่าเว่ยเว่ยเป็นบุตรสาวของกระหม่อมกับเสวี่ยเอ๋อร์ นี่เรียกว่าอันใด ? พลังแห่งสายเลือดไม่มีทางผิดพลาด เป็นอย่างไรบ้าง ? ไอโหยว ประเดี๋ยวกระหม่อมต้องกลับไปรับบุตรสาวเข้าตำหนักแล้ว อาการป่วยที่เป็นมานานหลายปีของเสวี่ยเอ๋อร์ก็จะหายสักที ! ”
หลังจากตรัสจบ ก็กำลังจะวิ่งออกไป ฮ่องเต้หยวนชิงรีบกลืนเนื้อกระต่ายแล้วเรียกเอาไว้ “หยุดก่อน ! เจ้ารีบร้อนออกไปแบบนี้ ไม่กลัวทำให้บุตรสาวตกใจหรือ ? เจิ้นคุยกับคู่หมั้นของนางแล้ว เจ้าให้นางได้เตรียมใจหน่อยเถิด”
หมินอ๋องมุ่ยพระโอษฐ์ “มีสิ่งใดให้ต้องเตรียมใจพ่ะย่ะค่ะ ? บุตรสาวก็เหมือนกระหม่อม ใจใหญ่พอกัน นางไม่ตกใจหรอก ! แต่พระองค์ก็ตรัสถูก คนเป็นบิดาต้องรู้จักเข้าใจและถนอมบุตรสาว ถ้าเช่นนั้นกระหม่อมไปที่บ่อน้ำพุร้อนก่อนก็ได้ จะได้เล่าข่าวดีให้เสวี่ยเอ๋อร์ฟัง ! ”
หลังออกจากวังหลวงไปแล้ว พระองค์ก็เร่งควบอาชาตรงไปที่บ่อน้ำพุร้อนทันที
ฮ่องเต้หยวนชิงยังฉีกเนื้อกระต่ายอีกชิ้นเข้าโอษฐ์ “เจ้าหยูอัน ยังมีนิสัยใจร้อนไม่เปลี่ยน ! ”
เต๋อฉวน ‘องค์เหนือหัว! กระต่ายย่างนี้มีสีแดงฉาน ท่าทางจะเผ็ดมาก พระองค์เสวยให้น้อยหน่อยเถิด ประเดี๋ยวจะปวดพระอามาศัยขึ้นมาอีก…’
ณ สวนดอกเหมย กำลังบังเกิดความโกลาหลเพราะ…อาการของหมินหวางเฟยกำเริบอีกแล้ว !
“ลูกของข้า ! ลูกของข้ากำลังรอให้ไปช่วยอยู่ ! พวกเจ้าปล่อยข้า ! หยี่ซวงรีบลากพวกนางออกไปแล้วไปตามหาปิงเจี๋ยกับลูกของข้าด้วยกัน ! ” ความทรงจำที่สับสนของหมินหวางเฟยหรือหลินน่งเสวี่ยปรากฎขึ้นอีกครั้ง ขณะนี้นางเหมือนได้ย้อนกลับไปวันที่คลอดบุตรก่อนกำหนด คนรอบข้างเข้ามาอารักขานางที่เพิ่งคลอดบุตรเสร็จแล้วอย่างสุดชีวิต แต่กลับทำให้บุตรของนางหายตัวไป
รอบข้างเต็มไปด้วยความโกลาหล ด้านหน้าเป็นทหารกบฏของต้าโจว ด้านหลังก็เป็นพวกกบฏ แล้วสาวใช้ที่ไร้วรยุทธกับทารกที่เพิ่งคลอดจะรอดไปจากสงครามอันวุ่นวายได้อย่างไร ? ไม่ได้ ! อย่างไรนางก็ต้องตามหาพวกนางให้พบ !
“พระชายา ได้สติเถิดเพคะ โปรดได้สติทีเถิด ! ” หยี่ซวงมีน้ำตานองหน้า บุตรของพระชายาหายตัวไปนานกว่า 15 ปีแล้ว ในช่วง 15 ปีนี้ ที่ใดพอจะหาได้ พวกนางก็ออกไปตามหาหมดแล้ว แต่ไม่ได้ข่าวใดกลับมา ไม่รู้ว่าปิงเจี๋ยและเด็กคนนั้นจะยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า…
“ไม่ ข้าจะไปตามหาลูก พวกเจ้าปล่อยข้า ! ” หมินหวางเฟยเป็นผู้มีวรยุทธ หมินอ๋องจึงหาสาวใช้ที่มีวรยุทธมาให้นางสี่คน เพราะกลัวว่าเวลานางอาการกำเริบแล้วจะวิ่งออกไปข้างนอก พวกสาวใช้กังวลว่าจะทำให้นางบาดเจ็บ จึงไม่กล้าออกแรงมากจนมีหลายต่อหลายครั้งที่นางเกือบจะดิ้นหลุดไปได้
ในเวลานี้เอง หมินอ๋องก็วิ่งเข้ามาจากด้านนอก พอเห็นเหตุการณ์ในห้องโถงของสวนดอกเหมยแล้วพระองค์ก็รู้ทันทีว่าสมองของพระชายากลับมาสับสนอีกครั้ง พระองค์เจ็บปวดหทัยและรีบพุ่งเข้าไปกอดตัวหลินน่งเสวี่ยไว้แน่น แม้จะใช้มือทุบตีหรือเตะ พระองค์ก็ไม่ปล่อย
“เสวี่ยเอ๋อร์ ไม่ต้องกลัว ข้าอยู่นี่แล้ว ! ” หมินอ๋องปวดปลายนาสิก ดวงเนตรก็ร้อนผ่าว
“ท่านพี่ พวกเราไม่เป็นแม่ทัพแล้วดีกว่า เราออกไปตามหาลูกกันเถิด ดีหรือไม่เพคะ ? ” มีเพียงตอนที่อาการกำเริบเท่านั้น เสวี่ยเอ๋อร์ถึงจะเผยความไม่พอใจในตัวพระสวามีออกมา เพราะคิดเสมอว่าหากไม่ใช่เพราะเขาไปติดตามฮ่องเต้ และหากนางไม่ทำเพื่อช่วยฮองเฮาเอาไว้ นางจะสูญเสียบุตรคนนั้นไปได้อย่างไร ?