ตอนที่ 526 หม่อมฉัน…หม่อมฉันกลัว
ตำหนักหมินอ๋อง เดิมทีเป็นจวนขุนนางผู้ทรงอำนาจในราชวงศ์ก่อน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมีบารมีของตนแล้วตอนที่ปรับปรุงจวน ขุนนางคนนั้นก็ต่อเติมอย่างอลังการงานสร้าง โครงสร้างดูมีความน่าเกรงขาม ตัวเรือนแต่ละหลัง โถงแต่ละโถงจะมีทางเดินเชื่อมต่อกันหมด ดูหรูหรายิ่งกว่าตำหนักชินอ๋องในราชวงศ์ไปอีกหนึ่งระดับ และขุนนางคนนั้นยังเคยคุยโวด้วยว่า “สิ่งใดที่วังหลวงมี จวนของเขาก็มีหมด สิ่งใดที่วังหลวงไม่มี ที่จวนของเขาก็ยังมี ! ”
เมื่อราชวงศ์ต้าเซี่ยถูกสถาปนาขึ้นมา ฮ่องเต้หยวนชิงก็พระราชทานจวนที่ดีที่สุดในเมืองหลวงหลังนี้ให้แก่หมินอ๋องโดยไม่ลังเล จะเห็นได้ว่าผลงานของหมินอ๋องทำให้ฮ่องเต้หยวนชิงเชื่อพระทัยและให้ความสำคัญมากเพียงใด !
“ลูกรัก ต่อไปนี้ตำหนักหมินอ๋องก็คือบ้านของเจ้า ! ” หมินอ๋องยืนอยู่หน้าประตูตำหนัก พระองค์ตรัสให้ข้ารับใช้เปิดประตูออกเพื่อต้อนรับบุตรสาวกลับบ้าน…จะเห็นได้ว่าพระองค์ให้ความสำคัญกับบุตรสาวมาก
หลินเว่ยเว่ยมองประตูตำหนักอันงดงาม ประตูสีชาด หมุดประตูที่อยู่ด้านบนเป็นสีทอง ราชสีห์เปี่ยมบารมีสองตัวยืนตระหง่านอยู่ด้านหน้าประตู หลังจากประตูถูกเปิดออก พวกข้ารับใช้ก็พากันโค้งคำนับ จำนวนที่มีก็ทำให้คนมองตาพร่าได้เลยทีเดียว เมื่อลองสำรวจเสื้อผ้าของพวกข้ารับใช้อีกรอบ มันดูดียิ่งกว่าเสื้อผ้าที่นางสวมใส่อยู่เสียอีก…เฮอะ เฮอะ ในแต่ละฤดูกาล แค่เรื่องเสื้อผ้าของข้ารับใช้ก็ต้องใช้เงินไปเท่าไรแล้วไม่รู้ !
เป็นอย่างที่คิดว่าความยากจนจำกัดจินตนาการของนางไว้จริง ๆ !
ตำหนักอ๋องมีทางเดินสามสายหลัก ประตูทางเข้าห้าแห่ง โดยแบ่งไปตามเรือนต่าง ๆ หลินเว่ยเว่ยจับแขนเสื้อของเจียงโม่หานขณะเดินเข้าไป พวกนางต้องเดินผ่านโถงทางเดินเส้นแล้วเส้นเล่า ผ่านลานบ้านที่ถูกประดับด้วยก้อนหินและไม้ล้ำค่า เหมือนได้มาเดินเล่นในสิ่งก่อสร้างโบราณไม่ผิดเพี้ยน สามก้าวคือภาพวาด ห้าก้าวคือทิวทัศน์ ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ ทิวทัศน์ที่เห็นเป็นภาพมุมเปิดและปิดจนตาแทบจะมองไม่ทันอยู่แล้ว
โดยเฉพาะไม้ที่ใช้ทำศาลาต่าง ๆ มันถูกสร้างขึ้นมาจากไม้หนานมู่เนื้อทองทั้งหลัง และยังมีการแกะสลักอย่างประณีตด้วย แค่หยิบไม้ชิ้นเล็ก ๆ ไปโลกยุคอนาคตก็มีราคาเท่ากับเมืองหลายเมืองรวมกันแล้ว ! หลินเว่ยเว่ยต้านทานความรู้สึกอยากจะเข้าไปกอดเสาทองคำไว้ด้วยความยากลำบาก…เพราะของเหล่านี้เป็นเงินมหาศาล !
เมื่อเข้ามาถึงประตูของเรือนส่วนหลัง หมินอ๋องก็หันไปทอดพระเนตรเจียงโม่หาน “พวกเจ้ารออยู่ที่เรือนส่วนหน้า หลังจากเปิ่นหวางพาเว่ยเอ๋อร์ไปหาหมู่เฟยของนางแล้ว ก็ค่อยมาจัดการพวกเจ้าทีหลัง ! ”
หลินเว่ยเว่ยที่กำลังจะเอื้อมมือไปแตะประตูไม้แกะสลักบานงาม ก็ทำตัวเหมือนกระต่ายน้อยที่รีบกระโดดเข้ามาอยู่ข้างกายเจียงโม่หานและจับแขนเสื้อเขาไว้อีกครั้ง “ไม่ได้เพคะ ! บัณฑิตน้อยต้องไปกับหม่อมฉันด้วย…หม่อมฉันมาอยู่ในสถานที่ไม่คุ้นเคย หม่อมฉันกลัว ! ”
พระชายาเป็นมารดาของบัณฑิตน้อย ภายในสภาพแวดล้อมแบบนั้นนางต้องคลอดบุตรออกมาด้วยความเสี่ยงชีวิต และยังล่อทหารกบฏออกไป นางทำเพื่อเด็กที่เพิ่งให้กำเนิดจนไม่สนใจแม้แต่ร่างกายที่เพิ่งคลอดบุตรและความปลอดภัยของตัวเอง เพื่อที่จะสร้างโอกาสให้บุตรมีชีวิตรอดต่อไป แล้วมารดาที่มีคุณธรรมเช่นนี้ นางจะทำลายความฝันในการได้พบบุตรแท้ ๆ ไปได้อย่างไร ?
“ลูกรัก เจ้ากลับมาบ้านของตนแล้ว มีอะไรให้กลัวกันอีก ? ” หมินอ๋องเกลียดความไม่เอาไหนของบุตรสาว…นางพึ่งพาคู่หมั้นมากเกินไปหน่อยหรือเปล่า ?
เจียงโม่หานพูดขึ้นมาเบา ๆ “ถึงแม้ตำหนักหมินอ๋องจะเป็นบ้านในวันหน้าของเว่ยเว่ย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่นางเข้ามาในตำหนัก ทุกอย่างหรือทุกเรื่องก็ล้วนเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับนาง หากใจวิตกกังวลและรู้สึกไม่สบายใจก็ถือว่าสมเหตุสมผลแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หลินจื่อเหยียนก็พยักหน้า “ใช่ ใช่พ่ะย่ะค่ะ ! มีคนคุ้นเคยคอยอยู่เคียงข้าง พี่รองจะได้รู้สึกปลอดภัย ! ”
หลินเว่ยเว่ยทำตาระยิบระยับเพื่อออดอ้อนหมินอ๋อง หมินอ๋องจนปัญญาในทันที จึงตรัสกับเจียงโม่หานอย่างไม่สบอารมณ์ “ได้ ! ถ้าเช่นนั้นเจ้าตามมาแล้วกัน ! ”
ต่อจากนั้นพวกนางก็ค่อย ๆ เดินไปยังทิศทางสู่สวนจื่อถง แม้ว่าจะเป็นฤดูหนาว แต่ศาลาต่าง ๆ ภูเขาหินจำลองและพวกต้นไม้ที่เขียวขจีตลอดทั้งสี่ฤดูก็ยังคงให้ทิวทัศน์ที่งดงาม
ในสองชาติภพ นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงโม่หานได้เข้ามาในตำหนักหมินอ๋อง เมื่อชาติก่อน หมินอ๋องและหมินอ๋องซื่อจื่อสิ้นชีพในสนามรบ เพราะความโศกเศร้าจึงทำให้อาการป่วยของหมินหวางเฟยหนักขึ้นกว่าเดิม นางจบชีวิตด้วยการกระโดดน้ำฆ่าตัวตายที่สระบัวหลังตำหนัก ส่วนเฝิงชิวฟานที่ขโมยชะตาชีวิตของเขาไปก็ได้เป็นนกพิราบครองรังนกสี่เชวี่ย1 กลายเป็นนายเพียงหนึ่งเดียวของตำหนักหมินอ๋อง
คนใจแคบอย่างเฝิงชิวฟานไม่สร้างปัญหาให้เขาก็ถือว่าดีเท่าไรแล้ว ดังนั้นอีกฝ่ายจึงไม่เคยเชิญเขามาเป็นแขกที่ตำหนักหมินอ๋องเลยสักครั้ง
แท้จริง ตอนที่ตำหนักหมินอ๋องเจริญรุ่งเรืองก็งดงามถึงขั้นนี้เชียวหรือ !
ตั้งแต่ประตูหลักมาจนถึงสวนจื่อถงต้องใช้เวลาหนึ่งเค่อเต็ม ๆ ในระหว่างนั้นหมินอ๋องยังถามหลินเว่ยเว่ยว่าจะนั่งเกี้ยวหรือเปล่า หลินเว่ยเว่ยถึงได้ตระหนักว่าสิ่งที่เขียนลงในนิยายเหล่านั้นไม่ใช่เรื่องเกินจริง พวกสตรีสูงศักดิ์ในตำหนักต้องเดินไกลถึงขนาดนี้กว่าจะถึงเรือนของตน ถ้าไม่นั่งเกี้ยวก็คงได้เหนื่อยจนตายแน่นอน…
แต่นางไม่จำเป็นต้องใช้เกี้ยวจริง ๆ เพราะตอนอยู่ที่หมู่บ้านฉือหลี่โกว นางวิ่งขึ้นเขาและเดินอยู่ในป่าทุกวัน ดังนั้นพละกำลังแค่นี้นางยังมีเหลือเฟือ หลินเว่ยเว่ยหันไปมองเจียงโม่หาน…ถ้าอย่างไร……เจ้านั่งเกี้ยวดีหรือไม่ ?
เจียงโม่หาน “…”
เขาไม่ใช่บัณฑิตอ่อนแอที่ลมพัดมาแล้วก็จะล้มทันที อย่าคิดว่าเขาอ่อนแอถึงขนาดนั้นได้หรือเปล่า ?
เมื่อมาถึงสวนจื่อถงแล้ว หมินอ๋องก็หันมาเพื่อจะตรัสอะไรสักอย่างกับเจียงโม่หาน แต่พอเห็นบุตรสาวกำแขนเสื้อเจ้าหน้าขาวไว้แน่น พระองค์ก็กลืนคำพูดกลับไปอีกครั้ง
“เสวี่ยเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าไม่นอนพักสักหน่อย ? ” พอเข้ามาในเรือนหลังและผ่านเข้าประตูห้องบรรทมแล้ว หมินอ๋องก็เห็นพระชายากำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนแท่นบรรทม พระองค์จึงรีบเดินเข้าไปถามด้วยความห่วงใย
หยี่ซวงที่อยู่ด้านข้างทูลด้วยรอยยิ้ม “ทูลท่านอ๋อง พระชายาได้ยินว่าท่านหญิงมาถึงแล้วจึงดีพระทัยเพคะ ไม่ว่าหม่อมฉันจะพูดอย่างไร พระนางก็ไม่ยอมบรรทม เพราะกลัวว่าจะพลาดโอกาสได้เจอท่านหญิงเป็นครั้งแรก เมื่อครู่พระชายาก็ยังเสวยเค้กพุทราแดงที่คุณหนูชิงหลวนซื้อมาหนึ่งชิ้นด้วยเพคะ ! ”
พอหมินอ๋องได้ยินแบบนั้นก็ดีพระทัยมาก “อยากอาหารบ้างก็ดีแล้ว ! เสวี่ยเอ๋อร์ ข้าพาเว่ยเว่ยมาหาแล้ว เจ้าอย่าตื่นเต้นเกินไป แค่นอนอยู่เฉย ๆ ก็พอ ! หลินเว่ยเว่ยเป็นชื่อของบุตรสาวพวกเรา มีแซ่เหมือนเจ้า นางเป็นบุตรที่เจ้าเสี่ยงชีวิตคลอดออกมา เพราะนางจึงทำให้เจ้าต้องทนลำบากมาหลายปี ชื่อนี้พวกเราไม่ต้องเปลี่ยนดีกว่า ต่อไปก็ให้แซ่เดียวกับเจ้า ! ”
หลินเว่ยเว่ยถือว่าได้มาเปิดโลก นางเข้าใจแล้วว่าอะไรที่เรียก ‘หลอมเหล็กร้อยครั้งจนอ่อนนุ่มพันรอบนิ้ว’ เมื่ออยู่ต่อหน้าพระชายาแล้ว หมินอ๋องที่เคยดุร้ายเหมือนหมาป่าก็เปลี่ยนเป็นลูกสุนัขตัวโตที่อ่อนโยนและเอาใจใส่ทันที แม้แต่น้ำเสียงก็ยังอ่อนโยน เพราะกลัวจะทำให้พระชายาตกใจ
“เว่ยเว่ยรีบเข้ามาสิ มาคารวะหมู่เฟยของเจ้า” หมินอ๋องประทับลงข้างแท่นบรรทมแล้วโบกพระหัตถ์เรียกหลินเว่ยเว่ย
หมินหวางเฟยที่อยู่บนแท่นบรรทมมีผิวเรียบเนียนงดงาม ดวงเนตรกลมโต นาสิกโด่งได้รูป แต่ผิวดูซีดไปหน่อย พระวรกายก็ผอมบางสุด ๆ เมื่อเทียบกับหมินอ๋องที่มีร่างกายกำยำแล้วถือว่าดูตัวเล็กจนผิดปกติ
แม้ว่าหมินหวางเฟยจะประชวรหนัก แต่ดวงเนตรที่มองมากลับดูแจ่มใส่ยิ่งกว่าอะไร ราวกับว่าได้มองทะลุชั้นผิวหนังของหลินเว่ยเว่ยจนเห็นก้นบึ้งของหัวใจแล้ว
สตรีผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้คือมารดาแท้ ๆ ของบัณฑิตน้อย หลินเว่ยเว่ยไม่ได้หลบสายตาอีกฝ่ายเพราะเป็นตัวปลอม ตรงกันข้ามคือเข้าไปหาอย่างใจเย็นและมองอีกฝ่ายด้วยความชื่นชม…นี่คือแม่สามีของนาง ต่อไปนางจะกตัญญู รักและอยู่เป็นเพื่อนแทนบัณฑิตน้อย !
หมินอ๋องเฝ้ามองปฏิกิริยาของพระชายาด้วยความเคร่งขรึม กลัวนางจะทำเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมาคือจู่ ๆ ก็คลุ้มคลั่งไล่คนออกไป แต่แล้วก็เริ่มคิดว่าจะเครียดไปเพื่ออะไร ? เมื่อไม่กี่ครั้งก่อน ๆ เป็นเพราะพระองค์หาตัวปลอมมาเอง แต่ครั้งนี้ที่พากลับมาคือบุตรสาวตัวจริง !
“ลูกรัก เข้ามาให้แม่ดูเจ้าใกล้ ๆ หน่อย ! ” หมินหวางเฟยยกยิ้มที่มุมโอษฐ์และโบกพระหัตถ์เรียกหลินเว่ยเว่ย
หลินเว่ยเว่ยรีบก้าวเข้ามาหาสองก้าว นางหยุดอยู่ที่ข้างแท่นบรรทม จากนั้นก็ค่อยๆ นั่งลงแล้วเงยหน้ามองหมินหวางเฟยด้วยดวงตาเป็นประกาย…พระนางงดงามมาก ! มารดาผู้ให้กำเนิดบัณฑิตน้อยที่หล่อเหลาราวเทพเซียนออกมา จะแตกต่างกันได้อย่างไร ?
[i]
1 นกพิราบครองรังนกสี่เชวี่ย หมายถึง เข้าครอบครองบ้านหรือที่ดินของผู้อื่นโดยพลการ