หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง – ตอนที่ 546 สตรีแกร่งมักไม่ชำนาญในเรื่องเหล่านี้

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

ตอนที่ 546 สตรีแกร่งมักไม่ชำนาญในเรื่องเหล่านี้

หลินเว่ยเว่ยโดนองค์หญิงน้อยตรัสชมจนเขิน “องค์หญิงตรัสชมเกินไปแล้วเพคะ! เรื่องที่หม่อมฉันทำไม่เป็นยังมีอีกมาก อย่างเช่น ดีดฉิน เดินหมาก วาดภาพ ประพันธ์กวีอะไรทำนองนั้น…สิ่งที่สตรีในเมืองหลวงทำได้ หม่อมฉันทำไม่ได้ทั้งนั้น…”

“ไอหยา ! จะทำเรื่องพวกนั้นเป็นเพื่ออะไร ? หิวแล้วจะใช้มันหากินได้ ? เวลาคนชั่วมาหาเรื่องแล้วจะเอาฉินหรือกระดานหมากฟาดพวกมันได้หรือ ? แน่นอนว่าเรื่องที่พี่เว่ยเว่ยทำได้ย่อมมีประโยชน์มากกว่า ! ” องค์หญิงน้อยก็ไม่ชอบศาสตร์เหล่านั้นเช่นกัน แต่ฟู่หวงและหมู่โฮ่วบังคับให้พระองค์เรียนรู้

หลินเว่ยเว่ยครุ่นคิด ก่อนจะพูดเบา ๆ ว่า “หม่อมฉันยังตัดเย็บเสื้อผ้าและปักลวดลายต่าง ๆ ไม่เป็น…ตอนที่มารดาของหม่อมฉันสอนเย็บกระเป๋าเงิน นิ้วทั้งห้าของหม่อมฉันโดนเข็มแทงจนเป็นรูพรุนไปหมด และเจ้ากระเป๋าใบนั้นก็ย้อมไปด้วยเลือดของหม่อมฉัน…ประเด็นสำคัญคือมันน่าเกลียดยิ่งกว่าอะไรดีเพคะ ! ”

“ฮ่าฮ่า ! ” องค์หญิงเจียวเจียวแย้มพระสรวลอย่างไม่ห่วงภาพลักษณ์ เมื่อเห็นหลินเว่ยเว่ยดูหงุดหงิด นางก็รีบตรัสปลอบ “ไม่เป็นไร ! เสื้อผ้าและกระเป๋าเงินเหล่านั้น ต่อไปก็ให้พวกสาวใช้ทำ ไฉนเลยจะให้พวกเราต้องลำบากกับเรื่องพวกนี้เอง ? ข้าก็เย็บปักถักร้อยไม่เป็นเช่นกัน ข้าจะแอบบอกท่าน ได้ยินว่าหมินหวางเฟยและหมู่โฮ่วของข้าก็ไม่ชำนาญในเรื่องพวกนี้ ! ฮ่าฮ่า…”

หลินเว่ยเว่ยระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันที “สรุปแล้วสตรีแกร่งมักไม่ชำนาญด้านเย็บปัก ! ”

ติงหลิงเอ๋อร์ผู้ชำนาญในงานเย็บปัก “…” เอาเถิด เหมือนนางจะเป็นดั่งอิสตรีทั่วไป ไม่จัดว่าเป็นหญิงแกร่งจริง ๆ นั่นแหละ !

องค์รัชทายาทควบอาชาอยู่ด้านหน้าก็ได้ยินเสียงหัวเราะของพวกเด็กสาวดังมาจากรถม้าคันหลัง จึงอดไม่ได้ที่จะแย้มพระโอษฐ์ออกมา คาดไม่ถึงว่าเจียวเจียวผู้ไม่ค่อยสนใจสตรีในเมืองหลวงจะสามารถสนทนากับเว่ยเว่ยจวิ้นจู่ตำหนักหมินอ๋องได้ออกรสขนาดนี้ !

ผ่านไปไม่นาน รถม้าก็หยุดจอดอยู่ที่หน้าประตูวัดต้าเจวี๋ย หลินเว่ยเว่ยกระโดดลงจากรถม้า ก่อนจะหันไปช่วยประคองเด็กสาวทั้งสองลงจากรถม้า ขณะมองประตูอันสูงตระหง่านของวัดต้าเจวี๋ย นางก็พูดพร้อมรอยยิ้ม “โชคดีที่วัดต้าเจวี๋ยไม่ได้อยู่บนเขา ไม่อย่างนั้นแค่เดินขึ้นเขาในวันที่หิมะตกเช่นนี้ก็คงลดจำนวนผู้ศรัทธาไปกว่าครึ่ง”

องค์หญิงเจียวเจียวสวมหมวกที่เย็บติดด้านหลังของเสื้อคลุม หลังจากรับที่อุ่นพระหัตถ์มาจากนางกำนัลแล้วก็คลี่ยิ้มพลางตรัส “คาดไม่ถึงว่าในวันที่หิมะตกจะมีคนมาวัดต้าเจวี๋ยมากมายเพียงนี้ ! โชคดีที่พวกเราส่งคนมาจองอาหารเจของวัดไว้แล้ว…พี่เว่ยเว่ย อาหารเจของวัดต้าเจวี๋ยขึ้นชื่อมาก โดยเฉพาะทุกวันที่ห้าของสัปดาห์จะได้ท่านเจ้าอาวาสเป็นคนดูแลเอง ทุกครั้งที่จัดจึงมีคนเต็มวัดตลอด ถ้ามาช้าเพียงนิดก็จะไม่เหลือให้จองแล้ว ! ”

“ถ้าเช่นนั้น…หม่อมฉันกับน้องหลิงเอ๋อร์ก็ขอหน้าด้าน ต้องขอยืมบารมีจากฮองเฮา องค์รัชทายาทและองค์หญิงแล้วเพคะ ! ” เพราะหิมะตก รถม้าจึงแล่นได้ไม่เร็ว ตอนมาถึงวัดต้าเจวี๋ยก็เป็นเวลาเกือบเที่ยงวันแล้ว ละแวกนี้ยังไม่มีร้านอาหารอยู่ ขนมไม่กี่ชิ้นที่พวกนางเอามาด้วยจึงไม่เพียงพอให้ได้ขัดฟันด้วยซ้ำ !

องค์รัชทายาทเสด็จพร้อมฮองเฮาเพื่อไปสักการะองค์พระพุทธ ส่วนองค์หญิงเจียวเจียวนั่งไม่ติดจึงลากหลินเว่ยเว่ยและติงหลิงเอ๋อร์ออกไปชมดอกเหมยที่หลังเขา…

พูดว่าหลังเขา ก็เป็นเพียงเนินเขาเล็ก ๆ เท่านั้น สภาพเหมือนมีเนื้อที่ประมาณ 20-30 หมู่ได้ ดอกเหมยของวัดต้าเจวี๋ยจะบานเร็วกว่าที่อื่นทุกปี เหล่าสตรีและปัญญาชนในเมืองหลวงจึงหลั่งไหลมาเที่ยวชมที่นี่อย่างไม่ขาดสาย

ขณะมองสาวใช้หยิบโถเล็ก ๆ ออกมาเก็บดอกเหมย หลินเว่ยเว่ยก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหตุการณ์ในปีก่อนที่นางและบัณฑิตน้อยขึ้นเขาไปเก็บดอกเหมยด้วยกัน

“พี่เว่ยเว่ย ท่านกำลังคิดอะไรอยู่ ? เรียกตั้งหลายรอบก็ไม่ขานรับสักครั้ง” องค์หญิงเจียวเจียวเอนวรกายไปหาดอกเหมยแล้วสูดดมกลิ่นหอมจากมันเบา ๆ

หลินเว่ยเว่ยอดไม่ได้ที่จะเล่าเรื่องการขึ้นเขาไปชมดอกเหมยแล้วเกิดเหตุการณ์โดนเสือโจมตีให้พวกนางฟัง หลังจากเด็กสาวทั้งสองได้ยินก็ร้องอุทานด้วยความตกใจทันที พอองค์หญิงเจียวเจียวได้ยินว่าอีกฝ่ายสังหารเสือจนตาย เลือดในกายก็พลุ่งพล่านขึ้นมา พระองค์แทบอยากทะลุไปอยู่ในช่วงเวลานั้นเพื่อให้ได้เห็นฉากที่น่าสะพรึงด้วยสองเนตร…

ทั้งสามสนทนาไปพลางเดินเข้าไปในป่าดอกเหมย เพราะไม่อยากโดนคนอื่นรบกวน เวลาเห็นว่ามีคนเดินมาดูดอกเหมยตรงไหน ก็จะเดินอ้อมออกมาให้ไกลจากอีกฝ่าย

หลินเว่ยเว่ยใช้โอกาสที่ไม่มีคนอยู่รอบข้างหักกิ่งเหมยที่ชอบลงมาแล้วยัดใส่แขนเสื้อตัวเอง (ห้วงมิติน้ำพุวิญญาณ) องค์หญิงเจียวเจียวก็เลียนแบบ คือหักลงมาหนึ่งกิ่งแล้วซ่อนไว้ในแขนฉลองพระองค์ที่แสนจะกว้างขวาง ทั้งสองทำตัวเหมือนโจร หันไปมองรอบข้างเป็นครั้งคราว ก่อนจะหันมายิ้มและสบตากัน

หลังออกมาจากป่าดอกเหมยแล้ว ทั้งสามก็เดินไปยังห้องปฏิบัติธรรมที่ฮองเฮากำลังพักผ่อนอยู่ จากนั้นองค์หญิงเจียวเจียวก็นำกิ่งเหมยออกมาแล้วถวายให้หมู่โฮ่วราวกับเป็นสมบัติล้ำค่า ฮองเฮาตรัสด้วยรอยยิ้ม “กิ่งดอกเหมยที่เนินเขาหลังวัดต้าเจวี๋ยไม่อนุญาตให้เด็ด เจ้านี่นะ ! ซนอีกแล้ว ! ประเดี๋ยวไปจุดธูปบูชาต่อหน้าองค์พระพุทธ ไม่อย่างนั้นท่านจะตำหนิเจ้าได้ ! ”

องค์หญิงเจียวเจียวตรัสเสียงเบา “ก็แค่กิ่งเหมยกิ่งเล็ก ๆ เท่านั้น องค์พระพุทธใจกว้าง ไม่ถือสาลูกหรอกเพคะ…เฮ้อ ช่างเถิด ประเดี๋ยวลูกบริจาคน้ำมันงาให้มากหน่อย แล้วก็ทำเรื่องดีให้มากขึ้น ท่านจะต้องอภัยให้ลูกแน่นอนเพคะ ! ”

อาหารเจวัดต้าเจวี๋ยสมคำร่ำลือจริง ๆ เนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาวแล้วอาหารเจจึงไม่มีอะไรให้เลือกเยอะ แต่ท่านเจ้าอาวาสก็ยังทำอาหารเจที่มีทั้งสีสันและรสชาติออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ หลินเว่ยเว่ยกินอย่างออกรส มีอาหารสองอย่างที่นางให้ความสนใจมาก ๆ จึงใช้เวลาครุ่นคิดกับพวกมันอยู่นาน นางคิดจะเอากลับไปทำให้หมินหวางเฟยเสวย

อาหารเจของวัดต้าเจวี๋ยอร่อย แต่ราคาของอาหารเจหนึ่งโต๊ะก็ไม่ใช่ราคาที่ชาวบ้านทั่วไปจะจ่ายไหว ทว่าคนที่มากินอาหารเจที่นี่ล้วนไม่ขาดเงินและพวกเขายังถือว่ามาบริจาคน้ำมันงาให้วัดด้วย

อาหารในมื้อนี้ ติงหลิงเอ๋อร์กินด้วยความเคร่งเครียดและตื่นเต้น แม้ฝันก็ไม่กล้าฝันว่าจะมีวันหนึ่งที่ตนได้มานั่งร่วมโต๊ะอาหารกับฮองเฮา องค์หญิงและยังมีองค์รัชทายาทอีกด้วย นางตื่นเต้นจนแทบถือตะเกียบไว้ไม่อยู่

ต่อมา หลินเว่ยเว่ยเป็นฝ่ายให้กำลังใจนาง จึงสามารถสงบจิตใจได้ในที่สุด พี่หลินก็เพิ่งเคยเจอฮองเฮาและองค์หญิงครั้งแรกเหมือนกัน แต่สามารถรับมือและทำจิตใจให้สงบได้ เมื่อเทียบกับนางแล้ว นางดูอ่อนแอกว่ามาก !

วันนี้แม่นมหวังก็ผ่านไปอย่างมึนงงเช่นกัน เดิมทีคิดว่าแค่ออกมาเป็นเพื่อนคุณหนูพบจวิ้นจู่เท่านั้น ในสายตานางก็เป็นบุคคลสูงศักดิ์ที่เอื้อมไม่ถึงแล้ว คาดไม่ถึงว่าความคิดชั่ววูบของคุณหนูที่จะพากันมาวัดต้าเจวี๋ย กลายเป็นได้บังเอิญเจอกับฮองเฮา องค์รัชทายาทและองค์หญิงระหว่างทาง ไอโหยว นางช่างมีบุญวาสนาจริง ๆ ! แค่วันเดียวก็ได้พบผู้ทรงอำนาจมากมายขนาดนี้แล้ว !

“ว่าอย่างไรนะ ? หลิงเอ๋อร์ได้พบฮองเฮา องค์รัชทายาทแล้วยังมีองค์หญิงเจียวเจียวอีกด้วย ? ” ผ้าเช็ดหน้าในมือติงฝูเหรินร่วงลงพื้น นางพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “หลิงเอ๋อร์ เจ้าไปทำตัวเสียมารยาทต่อหน้าพระพักตร์ฮองเฮาหรือเปล่า ? ไม่ได้พูดอะไรผิดใช่หรือไม่ ? ”

ติงหลิงเอ๋อร์ย้อนคิดด้วยความจริงจัง จากนั้นก็ส่ายหน้าด้วยความมั่นใจ “ฮองเฮาตรัสถามข้าแค่สองประโยค เวลาส่วนใหญ่จะชวนพี่หลินสนทนามากกว่า ข้ากับองค์หญิงเจียวเจียวคุยกันค่อนข้างมาก แต่หัวข้อก็เกี่ยวกับพี่หลินในตอนอยู่ที่ฉือหลี่โกวทั้งสิ้น…ท่านแม่วางใจได้ ข้าระวังตัวมาก ๆ ไม่สร้างหายนะให้บ้านเราหรอกเจ้าค่ะ ! ”

“ถ้าเช่นนั้น…จวิ้นจู่ตำหนักหมินอ๋องปฏิบัติต่อเจ้าอย่างไร ? ” ติงฝูเหรินข่มความรู้สึกตื่นเต้นในใจเอาไว้แล้วถามออกมา นางรู้ว่าวันนี้บุตรสาวได้รับบารมีจากจวิ้นจู่ !

ติงหลิงเอ๋อร์ฉีกยิ้มกว้าง “พี่หลินยังปฏิบัติต่อข้าเหมือนเมื่อก่อนไม่ผิด แถมนางยังเอาขนมมาให้ข้าหนึ่งกล่อง ! แต่ขนมที่พี่หลินทำอร่อยเกินไป ฮองเฮาและองค์หญิงเจียวเจียวจึงแบ่งกันเสวยจนหมดแล้ว ! พี่หลินยังนัดหมายข้าไปทำขนมที่ตำหนักด้วย ! พอถึงเวลานั้นข้าค่อยเอากลับมาให้ท่านแม่ชิมใหม่นะเจ้าคะ ! ”

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

หลินเว่ยเว่ยสาวน้อยจอมพลัง

Status: Ongoing
นักศึกษาเรียนดีจากวิทยาลัยเกษตรทะลุมิติมาเป็นเด็กสาวชาวนาผู้โง่เขลาและมีนิสัยป่าเถื่อน บิดาก็ตาย มารดาก็อ่อนแอ น้องชายดันมาตีตัวออกห่าง ส่วนพี่สาวก็มักจะคิดว่าเธอเป็นภาระเสมอ แต่โชคดีที่เธอมีมิติน้ำพุวิญญาณอยู่ในมือ เธอทั้งกลายเป็นนักล่าหมูป่า ทำให้ฝูงหมาป่าตกใจ ใช้น้ำพุวิญญาณมาปลูกพืชพันธุ์จนได้ผลผลิตดีงาม ทำสวนก็ได้ผลผลิตดี เลี้ยงสัตว์ก็เติบโต ไหนจะเสน่ห์ปลายจวักอีก เด็กโง่เขลาคนนี้นี่แหละจะนำพาทั้งครอบครัวไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองเอง ! ทว่าบัณฑิตหนุ่มหน้าหวานจอมหยิ่งคนข้างบ้านเนี่ย คิดว่าตัวเองหล่อแล้วจะทำอะไรก็ได้หรือไง ? คิดว่าเป็นขุนนางแล้วใครจะทำอะไรไม่ได้หรือ ? สุดท้ายก็ถูกเด็กโง่คนนี้กำราบไม่ใช่หรือไง ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท