ตอนที่ 569 ระดับของเพดาน
หนิงอ๋องหวนนึกถึงครั้งแรกที่ได้เจอกับฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน อีกฝ่ายมีดวงพักตร์ซูบผอม สีพระพักตร์ไร้เลือดฝาด เวลาประทับบนบัลลังก์มังกรยังเอาพระหัตถ์กุมพระอุทร (ท้อง) ไว้เป็นระยะ ช่วงนี้แม้ว่าหนิงอ๋องจะไม่ได้เข้าวังไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่าทรงประชวรตรงไหน หรือจะเป็นอย่างที่องค์หญิงเจียวเจียวตรัสว่าเพราะชาผลไม้นี้ ?
โม่ชิงหลีพูดด้วยรอยยิ้ม “องค์หญิงเจียวเจียวยังตรัสว่าอาหญิงหลินเป็นดาวนำโชคตัวน้อย หลังจากนางมาถึงเมืองหลวงแล้วก็ได้ช่วยฝ่าบาทไว้ถึงสองครั้งติดต่อกัน แถมพระพลานามัยของฝ่าบาทและหมินหวางเฟยก็ดีขึ้นด้วย…ลูกคิดว่าองค์หญิงเจียวเจียวตรัสได้มีเหตุผล ฟู่หวางเพคะ พวกเราขึ้นเรือลำเดียวกับอาหญิงหลินมายังเมืองหลวง ระหว่างทางอาการประชวรของฟู่หวางก็ไม่กำเริบเลยสักครั้ง พอมาถึงเมืองหลวงแล้วก็ป่วยน้อยมาก ลูกคิดว่าเป็นเพราะเราได้โชคดีจากอาหญิงหลินเพคะ ! ”
หนิงหวางเฟยครุ่นคิด “เหมือนจะจริง…ท่านอ๋องลองดื่มชาผลไม้สักสองสามวัน หากร่างกายดีขึ้นก็หมายความว่าหลินกู่เหนียงคือผู้มีพระคุณของตำหนักหนิงอ๋องเพคะ ! ”
โม่ชิงหลีพูดอย่างมีความสุข “อาหญิงหลินยังชวนลูกไปร่วมพิธีปักปิ่นของนางด้วยเพคะ ! หน้าที่ผู้ทำพิธี ลูกไม่อาจแย่งมาจากองค์หญิงเจียวเจียวได้ จึงอาสาเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมพิธี อาหญิงหลินก็อนุญาตแล้วเพคะ ! ”
“หืม ? พิธีปักปิ่นของหลินกู่เหนียงจะจัดขึ้นเมื่อใด ? ” หนิงหวางเฟยคิดว่าในคลังสมบัติมีอะไรดี ๆ อยู่บ้าง จะได้นำไปแสดงความยินดีในพิธีปักปิ่นขององค์หญิงเว่ยเว่ย เพราะอย่างน้อยก็ต้องให้ของที่ดีกว่าคนอื่นหน่อย…
“วันที่ยี่สิบหก เดือนสิบสองเพคะ ใกล้จะถึงสิ้นปีเลย ! ” โม่ชิงหลีกลับคิดว่าอาหญิงหลินตัวสูงขนาดนั้นแต่เพิ่งเข้าพิธีปักปิ่น นางมองช่วงขาสั้น ๆ ของตน…ถ้านางเหมือนอาหญิงหลินที่ตัวสูงก็คงจะดี !
หลังได้ยินเสียงบ่นของบุตรสาวแล้ว หนิงหวางเฟยก็อดไม่ได้ที่จะแย้มโอษฐ์ “หมินอ๋องตัวสูง ในบรรดาสตรีแล้ว หมินหวางเฟยก็ไม่ถือว่าตัวเตี้ย ดังนั้นซื่อจื่อและองค์หญิงเว่ยเว่ยตำหนักหมินอ๋องจึงดูโดดเด่นกว่าบรรดาคนเพศเดียวกัน ฟู่หวางของพวกเจ้าก็ไม่ถือว่าเตี้ย แต่แม่กลับเป็นตัวถ่วงของพวกเจ้าแล้ว ! ”
หนิงหวางเฟยเป็นสตรีแดนใต้อย่างแท้จริง ตัวเล็กแสนน่ารักและยังดูอ่อนโยนนุ่มนิ่ม…
หลังจากโม่ชิงหลีได้ยินแบบนั้นก็รีบพูดว่า “เหมือนหมู่เฟยก็ดีออกเพคะ ! เห็นแล้วรู้สึกเอ็นดู น่ารัก น่าทะนุถนอม ใช่หรือไม่เพคะฟู่หวาง ? ”
หนิงอ๋องดื่มชาผลไม้อึกสุดท้ายจนหมด หลังได้ยินบุตรสาวพูดแบบนั้นก็รีบพยักดวงพักตร์อย่างไม่ลังเล ทำให้พระพักตร์ที่ขาวผ่องของหนิงหวางเฟยแดงเรื่อทันที นางหันไปถลึงดวงเนตรใส่พระสวามีแล้วหันมาดุบุตรสาว “เจ้าไปได้ยินคำพูดเหล่านี้มาจากผู้ใด ? ถ้ายังพูดจาเหลวไหลอีก แม่จะตีมือเจ้า ! ”
โม่ชิงหลีรีบเข้าไปหลบหลังบิดา ก่อนจะโผล่ศีรษะน้อย ๆ ออกมา “สามคำนี้มีปัญหาอะไรเล่าเพคะ ? มันไม่ได้อธิบายความงามของสตรีหรอกหรือ…หมู่เฟยโปรดพระทัยเย็นก่อน วางไม้ลง ลูกสำนึกผิดแล้วเพคะ ! ” ผู้รู้สถานการณ์คือผู้มีสติปัญญาเป็นเลิศ โม่ชิงหลี เจ้าเปลี่ยนโทนเสียงได้เร็วเสียจริง !
วันนี้หมินหวางเฟยให้คนไปที่เรือนหลินเว่ยเว่ยล่วงหน้าเพื่อบอกให้นางอย่าออกไปไหน เพราะวันนี้มีกำหนดการวัดตัวเพื่อตัดเสื้อผ้าชุดใหม่
หลินเว่ยเว่ยวิ่งมาที่สวนจื่อถงตั้งแต่เช้าตรู่ เพื่อมาขอกินอาหารมื้อเช้าที่เรือนของบิดามารดา นางกินเกี๊ยวกุ้งไปหนึ่งคำ ทันใดนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วหัวแม่มือให้เหมยหยิง “เกี๊ยวกุ้งนี้ทำได้ไม่เลว ถือเป็นเพดานของโลกแห่งเกี๊ยวนึ่ง ! ”
“เพดาน ? จวิ้นจู่ เพดานคืออะไรเจ้าคะ ? ” หยี่ซวงถามด้วยความงุนงง
หลินเว่ยเว่ยชี้ไปที่ฝ้าเพดานเหนือศีรษะ “มันก็คือการปิดหลังคาด้วยแผ่นไม้ต่อกันให้เรียบ ระดับของเพดานก็เท่ากับว่าได้มาตรฐานสูงสุด ! ”
หลังได้ยินแบบนั้น หมินหวางเฟยก็อดไม่ได้ที่จะคีบมาชิม พระนางก็พยักดวงพักตร์เห็นด้วย “รสชาติไม่เลวจริง ๆ ฝีมือของเหมยหยิงพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว ! ”
เหมยหยิงรีบพูด “หม่อมฉันได้แรงบันดาลใจมาจากเกี๊ยวน้ำของจวิ้นจู่เพคะ เกี๊ยวกุ้งนี้นอกจากใส่เห็ดแล้วยังใส่ซุปก้อนแช่แข็งที่แสนเข้มข้นเอาไว้ ตัวกุ้งให้หนึ่งตัวเต็ม ๆ เพื่อเพิ่มรสสัมผัสในเกี๊ยวและทำให้เกี๊ยวกุ้งมีรสชาติมากขึ้นกว่าเดิมเพคะ ! ”
“เหมยหยิง เก่งมาก ! เรียนรู้แล้วประยุกต์ใช้ ถือว่าฉลาดมาก ! ” หลังชมจบแล้วหลินเว่ยเว่ยยังกินฟองเต้าหู้นึ่งไปอีกหนึ่งชิ้น “อื้ม ! อันนี้ก็อร่อย ด้านในมีเนื้อหมู หน่อไม้และเห็ด ปรุงรสออกมาได้กำลังดี หมู่เฟยก็ลองชิมสิเพคะ ! ”
ต่อจากนั้นเมื่อนางวิพากษ์วิจารณ์อาหารเสร็จแล้ว หมินหวางเฟยก็ไม่ทันรู้ตัวว่าได้เสวยอาหารเช้ามากกว่าปกติ ทำให้นางกำนัลและแม่นมที่รับใช้อยู่ด้านข้างยิ้มออกทันที…ตั้งแต่จวิ้นจู่กลับมาอยู่ตำหนัก อาการประชวรของพระชายาก็ไม่กำเริบอีกและจวิ้นจู่ยังชอบเกลี้ยกล่อมให้พระชายาเสวยโน้นนี่ให้มากกว่าเดิม
นี่เพิ่งผ่านไปไม่ถึงครึ่งเดือน ร่างกายของพระชายาก็เปลี่ยนไปมากแล้ว ตอนนี้พระนางสามารถเดินรอบห้องได้ 2-3 รอบทุกวัน สภาพจิตใจก็ดีขึ้นตลอด ท่าทางไม่ต่างจากคนปกติเลยสักนิด !
จวิ้นจู่นิสัยดีมาก ทั้งร่าเริงสดใส ชอบทำให้พระชายามีความสุขเสมอ หมอหลวงบอกว่าอาการประชวรทางใจของพระชายาหายแล้ว ร่างกายก็ดีขึ้นทุกวัน !
นึกถึงก่อนหน้านี้ที่ร่างกายของพระชายาผ่ายผอมลงทุกวันและอาการประชวรที่กำเริบมักกินระยะเวลานานขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้พวกนางกลัวมาก กลัวว่าพระชายาจะอยู่ไม่ถึงวันที่ตามหาบุตรเจอ โชคดีที่สวรรค์เมตตาให้จวิ้นจู่กลับมาอยู่ข้างกายพระชายา เหมือนการเติมพลังชีวิตและทำให้ดวงพักตร์ของพระชายากลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง…
หลังรับประทานอาหารเช้าเสร็จได้ไม่นาน หลงจู๊ร้านตัดผ้าหนีฉางและร้านเครื่องประดับเจิ้นเป่าก็นำม้วนผ้าและเครื่องประดับชนิดดีที่สุดของร้านเข้ามา ทันใดนั้นหลินเว่ยเว่ยก็กลายเป็นหุ่นกระบอก ถูกคนอื่นทำโน้นทำนี่ตามใจชอบ หรือจะพูดให้ตรงก็คือกลายเป็นตุ๊กตาบาร์บี้เพื่อสนองความปรารถนาในการแต่งตัวบุตรสาวของหมินหวางเฟย
“หมู่เฟย พระองค์เลือกผ้าไปห้าแบบ เครื่องประดับอีกสามชุด ยังไม่พออีกหรือเพคะ ? ” ตอนนี้บนศีรษะของหลินเว่ยเว่ยเต็มไปด้วยเครื่องประดับและยังมีแบบที่ไม่เหมือนกันด้วย บนคอก็เต็มไปด้วยสร้อยชนิดต่าง ๆ หยกงามที่ประดับอยู่ด้านบนแวววาวจนตาแทบจะบอด ! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงข้อมือทั้งสองข้างเลย แต่ละข้างเต็มไปด้วยกำไล 3-5 วง ทอง หยก มรกต หยกฝังทอง…หลินเว่ยเว่ยรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้กำลังใส่กำไลข้อมืออยู่ แต่ใส่กุญแจมือเสียมากกว่า !
พับผ้าตรงเบื้องหน้า เรียกได้ว่ามีทั้งสีสันและความเปล่งประกาย ผ้าไหม ผ้าไหมย่น ผ้าปักดิ้นทองดิ้นเงิน ผ้าไหมมัดหมี่ ผ้าแพร…ในสายตาของหลินเว่ยเว่ยไม่มีอะไรต่างกัน ! พอเอามาวางทาบบนตัวนางแล้วก็เทียบได้กับต้นคริสต์มาส !
“ยังไม่พอ แค่พิธีปักปิ่นก็ต้องเปลี่ยนตั้งหลายชุดแล้ว ! ยังมีเครื่องประดับเหล่านี้…ประเดี๋ยวก็จะปีใหม่ เราต้องเข้าวังไปร่วมงานเลี้ยงฉลองส่งท้ายปี เดิมทีเจ้าก็มีเครื่องประดับอยู่ไม่กี่ชิ้น ใส่ซ้ำกันอยู่อย่างนั้น คนอื่นจะเข้าใจผิดว่าตำหนักหมินอ๋องของพวกเรายากจน ไม่มีเงินซื้อเครื่องประดับให้บุตรสาว ! ”
หมินหวางเฟยถอยออกมาหนึ่งก้าวเพื่อทอดพระเนตรบุตรสาวจากชนบทคนนี้อย่างละเอียด…หน้าตาของเด็กคนนี้ไม่โดดเด่นสักเท่าไร แต่ถ้ามองรวม ๆ แล้วดูเป็นมิตรมากกว่าปกติ โดยเฉพาะดวงตาเสี้ยวพระจันทร์คู่นั้น ดูอารมณ์ดีมาก แล้วก็ร่างกายที่สูงโปร่ง เกิดมาเหมือนไม้แขวนเสื้อชัด ๆ ไม่ว่าจะใส่อะไรก็สวยไปหมด !
ทว่าด้วยนิสัยของเด็กน้อย ใส่เสื้อผ้าที่มีสีสันจะโดดเด่นกว่า ! ดังนั้นหมินหวางเฟยจึงเลือกสีแดง ชมพู ม่วง…และยังเลือกผ้าอีกหลายพับ จากนั้นก็สั่งให้ร้านตัดผ้าหนีฉางตัดเสื้อผ้าแบบใหม่ล่าสุดและเป็นที่นิสัยมากที่สุด แต่ทำให้ซับซ้อนกว่าปกติหน่อย !
หลงจู๊ร้านตัดผ้าหนีฉางมีความสุขจนตากลายเป็นขีดเดียว แม้จะบอกว่าร้านพวกตนไม่เคยขาดการสนับสนุนจากชนชั้นสูง แต่ตำหนักหมินอ๋องที่มีฐานะเหนือกว่านั้นเลือกเชิญพวกตนมาที่ตำหนักเป็นครั้งแรก ! คิดไปแล้วก็สมเหตุผล เพราะเมื่อก่อนฮูหยินผู้เฒ่าของตำหนักหมินอ๋องมีใจใฝ่ธรรมะ ไม่สนเรื่องทางโลก หมินหวางเฟยก็ยังประชวร วันทั้งวันได้แต่พักผ่อนอยู่บนแท่นบรรทม แม้จะตัดชุดใหม่ก็ไม่มีโอกาสได้ใส่…