ตอนที่ 652 กระเป๋าเงินจะสะอาดกว่าใบหน้าได้อย่างไร?
สุราองุ่นที่เจียวเจียวเรียนหมักจากเว่ยเว่ยนั้นทำออกมาได้ดีมาก ! กลิ่นหอมเข้มข้น รสหวานสดชื่น รสเลิศยิ่งกว่าสุราบรรณาการของตะวันตกเสียอีก !
ฮ่องเต้หยวนชิงชี้ไปที่ฎีกา “เจ้าเด็กนี่ใช้ ‘สินค้าแปลกประหลาด’ ของตนมายกตัวอย่าง โดยเขียนกำไรของสินค้าแต่ละชนิดมาอย่างละเอียดและยังบอกข้อดีของการทำการค้ากับต่างแดนด้วย นอกจากนี้ยังเสนอให้จัดตั้ง ‘กรมการค้า’ ขึ้นมา เพื่อไว้ใช้ติดต่อกับชาวต่างแคว้นโดยเฉพาะ…เขายังได้รู้จากปากชาวต่างชาติว่าทางตะวันตกมีอาวุธชนิดหนึ่งที่ยิงได้ไกลกว่าหน้าไม้อีก แถมแสนยานุภาพยังมากกว่า หลังจากราชสำนักทำเงินได้จากต่างแดนจนพอใจแล้วก็ค่อยเอากำไรไปแลกกับอาวุธของพวกตะวันตก เรียนรู้จากคนเถื่อนเพื่อควบคุมคนป่าเถื่อน ! พูดได้ดีจริง ๆ ! ! ”
ฮองเฮาเหนียงเหนียงตรัสด้วยรอยยิ้ม “สมกับที่เป็นสายเลือดของหยูอัน ในสายเลือดมีความจงรักภักดีและไม่เห็นแก่ตัวไหลเวียนอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ‘สินค้าแปลกประหลาด’ ที่เขาพูดถึง เขาเองก็จะขายต่อไม่ได้แล้วสิเพคะ ? ”
ฮ่องเต้หยวนชิงแย้มพระสรวล “เจ้าเด็กคนนี้ใช่ว่าไม่เห็นแก่ตัวเสียทีเดียวหรอก ! เจ้าดูนี่สิ เขาเสนอให้สินค้าแปลกประหลาดของตนกลายเป็นแหล่งทำเงินของราชสำนัก สินค้าที่กรมการค้าติดต่อลงทุนกับคนต่างแดนล้วนมาจากฝีมือเขา แค่ปันผลส่วนเดียวที่เขาได้รับก็สร้างเม็ดเงินมหาศาลได้แล้ว ! ”
ฮองเฮาพยักดวงพักตร์ “หม่อมฉันคิดว่าดีเพคะ ! ราชสำนักได้กินเนื้อ แต่จะให้คนต้นคิดอย่างเขาดื่มแต่น้ำแกงก็ไม่ได้ ? อย่างไรเราจะให้อาชาวิ่งอย่างเดียวโดยไม่กินหญ้าเลยก็ไม่ได้ใช่หรือไม่เพคะ ! ”
วันรุ่งขึ้น ฮ่องเต้ก็เริ่มตรัสถึงความเป็นไปได้ของข้อเสนอจากรองผู้ตรวจการเจียงในท้องพระโรง ราชวงศ์ต้าเซี่ยสถาปนามาได้ 10 ปีแล้ว ฮ่องเต้หยวนชิงทำอะไรเด็ดขาดมาโดยตลอด ทำให้ขุนนางในราชสำนักต้องกดข่มความคิดไม่ดีของตนเอาไว้ โดยเฉพาะการให้ฝ่ายตรวจการเก็บรวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับขุนนางแต่ละฝ่ายเอาไว้ ส่งผลให้ขุนนางในราชสำนักต้องระวังคำพูดและการกระทำเพราะกลัวจะโดนดึงหางเปียเข้าสักวัน
ด้วยเหตุนี้ แม้ข้อเสนอของเจียงโม่หานจะโดนขุนนางบางคนต่อต้านอยู่บ้าง แต่เจียงโม่หานก็มีเหตุผลค้านข้อโต้แย้งเหล่านั้นได้ทั้งหมด เพราะการทำสงครามหลายปีส่งผลให้ท้องพระคลังของต้าเซี่ยว่างเปล่าและขาดดุลในทุกปี ยากนักที่จะได้มีโอกาสเติมเต็มท้องพระคลังแล้ว ฮ่องเต้หยวนชิงจะปล่อยโอกาสไปได้อย่างไร ? ทรงทอดพระเนตรเจียงโม่หานที่กำลังโต้เถียงกับ ‘กลุ่มขุนนาง’ ด้านล่างด้วยความพอพระทัยราวกับเห็นสมบัติที่หายากอย่างไรอย่างนั้น…มีผู้ช่วยมือดีเช่นนี้ ไฉนเลยจะต้องกังวลว่าต้าเซี่ยยังไม่เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาได้อีก ?
หลังจากนั้น ‘กรมการค้าต่างแดนและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ’ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ‘กรมการค้า’ จึงถูกก่อตั้งขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยมีหัวหน้ากรมการค้าขั้นสี่อย่างเจียงโม่หานเป็นคนรับผิดชอบ ระดับล่างกว่านั้นยังต้องการขุนนางขั้นห้า หกและเจ็ดอีกเป็นโขยง ขุนนางขั้นห้าและหกถูกเลือกจากจิ้นซื่อที่เพิ่งสอบได้ในช่วง 2-3 ปีนี้ ถ้าใกล้ตัวเขามีคนที่โดดเด่นก็สามารถรับสิทธิพิเศษในการเข้ารับตำแหน่งขุนนางกรมการค้าขั้นเจ็ดได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว อำนาจในกรมการค้าของเจียงโม่หานก็ดูยิ่งใหญ่เทียมฟ้าขึ้นมาทันที !
มีขุนนางในราชสำนักจำนวนไม่น้อยที่อยากได้ตำแหน่งในกรมการค้า…เพราะการติดต่อกับต่างแดน อย่างไรอีกฝ่ายก็ทำอะไรมากไม่ได้อยู่แล้ว ! นี่คือเนื้ออันโอชะ ! ทันใดนั้นเทียบเชิญก็ถูกส่งมายังตำหนักหมินอ๋องมากมาย ยังมีคนที่ ‘บังเอิญ’ เจอกับเจียงโม่หานในเวลาเลิกงานและยังมีคนที่มายืนรอหน้าที่ทำงานเพื่อเชิญเขาไปดื่มชา…
เจียงโม่หานรำคาญคนเหล่านี้มาก กรมการค้าเป็นบ่อเงินของราชสำนัก ถ้าเลือกขุนนางไม่ดี เงินนี้ก็ไม่รู้จะไหลเข้ากระเป๋าใคร ! เขาจึงรวบรวมรายชื่อผู้ที่มาตีสนิทกับตนเอาไว้ ขณะที่หมินอ๋องเข้าวัง เขาก็ฝากไปถวายฮ่องเต้และยังมีรายชื่อคนหนุ่มมากความสามารถซึ่งเขาได้ลองคัดกรองออกมาแล้วเช่นกัน
หลังจากฮ่องเต้หยวนชิงเห็นรายชื่อทั้งสองฉบับแล้วก็ขมวดพระขนงก่อน จากนั้นตรัสชมขึ้นมาว่า “หยูอัน ไม่พูดก็คงไม่ได้จริง ๆ ว่าสายตาในการมองคนของบุตรเขยเจ้าดีใช้ได้เลย ! ”
รองหัวหน้ากรมขั้นห้า เจียงโม่หานแนะนำเป็นหยานจิงหยู คนผู้นี้เคยต่อสู้กับเขามาหลายสิบปีในชาติก่อน นิสัยซื่อตรงไม่เห็นแก่ตัว ไม่กลัวผู้มีอำนาจ เหมาะกับกรมการค้ามาก เจียงโม่หานคิดจะให้อีกฝ่ายเรียนรู้งานจากตนสักสองปี แล้วถึงจะยกตำแหน่งหัวหน้ากรมให้สานต่อ
ส่วนคนอื่นที่เขาแนะนำไปก็เป็นคนซื่อสัตย์เห็นแก่ส่วนรวมเช่นกัน บางคนเป็นคนที่เขาเคยจัดการในชาติก่อน เนื่องจากตำแหน่งในชาติที่แล้วของตน หากใช้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวแล้ว การจัดการคนที่ต่อต้านเขาไปหลายคนหน่อยก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร…บางที อาจเพราะเรื่องนี้จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ฮ่องเต้ปฏิเสธเขาในเวลาต่อมากระมัง ?
สำหรับเจ้าหน้าที่ในกรมการค้าขั้นเจ็ด เขาเสนอเฉินหยุนและขุนนางระดับต่าง ๆ ที่เคยภักดีต่อเขาในชาติก่อน คนพวกนี้ต่างได้เป็นจู่เหรินที่พยายามกันอย่างหนักแต่ก็สอบจิ้นซื่อไม่ผ่านสักที เมื่อตกอับเขาจึงกล้าเรียกใช้ บางคนเป็นนักปฏิบัติและมีความสามารถในการทำงาน แต่ไม่มีโชคในการสอบเท่านั้นเอง คนพวกนี้ล้วนเหมาะสมกับสายงานของกรมการค้าทั้งนั้น
ผ่านไปไม่นาน กรมการค้าก็เริ่มออกมาปฏิบัติหน้าที่ ในที่สุดคนต่างแดนที่ออกมาสำรวจและเริ่มการค้าในแดนตะวันออกก็ได้มีที่รวมตัวและไม่ต้องออกไปประกาศขายสินค้าของตนอีกแล้ว แม้ราคาที่กรมการค้าให้จะไม่ได้สร้างกำไรอย่างมหาศาล แต่ก็ยังมีกำไรให้จับต้อง จากนั้นยังได้ซื้อสินค้าพิเศษของต้าเซี่ยในราคาที่ยุติธรรมจากกรมการค้า เมื่อกลับไปตะวันตกแล้วยังทำกำไรได้อีกก้อน
คนต่างแดนที่มาเยือนต้าเซี่ยเริ่มมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ต่อมาเมืองตามชายฝั่งและชายแดนต่าง ๆ ก็มีการสร้างสำนักงานกรมการค้าขึ้น ขุนนางที่ผ่านการฝึกฝนจากกรมการค้าในเมืองหลวงและได้รับอนุมัติจากฮ่องเต้แล้วจะถูกย้ายไปประจำยังสำนักงานกรมการค้าในเมืองต่าง ๆ ส่วนกรมการค้าที่เมืองหลวงก็เหมือนเป็นแหล่งกำเนิดของขุนนางกรมการค้า เมื่อเข้าไปแล้วใช้เวลากว่าสองสามปีก็จะได้เลื่อนขั้นอีก 1-2 ขั้น ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงผลประโยชน์ที่กรมการค้าได้รับเลย !
เฝิงชิวฟานก็นำขุนนางฝ่ายตรวจการทั้งหลายเริ่มลงมือเช่นกัน พวกเขาจดจ้องกรมการค้าชนิดตาเขม็ง เพราะอยากหาการทุจริต ติดสินบนหรือใช้อำนาจหาผลประโยชน์ส่วนตัวให้ได้ จากนั้นก็จะได้โยนความผิดให้เจียงโม่หาน แต่พวกเขาต้องคว้าน้ำเหลวเสมอ
ตำแหน่งในกรมการค้าดีขนาดนี้ ปกติได้ปันผลหนึ่งส่วนจากการค้าเพื่อถือเป็นกองทุนสำรอง เงินพิเศษรายปี (โบนัส) สูงยิ่งกว่าเงินเดือน คงมีแต่คนหน้ามืดเท่านั้นถึงจะทำชั่วจนปล่อยให้ตัวเองหลุดออกจากถังข้าวสารได้ !
เจียงโม่หานกระจายสินค้าแปลกประหลาดไปตามหัวเมืองต่าง ๆ ในเดือนแรก เพียงปันผลของตัวเองก็เหยียบหลักหลายหมื่นตำลึงเงินแล้ว ตอนเขาเอาตั๋วแลกเงินไปไว้ตรงเบื้องหน้าหลินเว่ยเว่ย ภรรยาตัวน้อยก็ตาโตทันที “เหตุใดจึงมากมายขนาดนี้ ? เจ้าไปขโมยเงินของราชสำนักมาหรือ ? ”
เจียงโม่หานกลอกตาใส่นาง “นี่เป็นของที่ข้าควรได้และได้มาอย่างขาวสะอาดด้วย ! เจ้าเก็บได้อย่างสบายใจ…ต่อไปเจ้าก็ไม่ต้องเหนื่อยขนาดนั้นแล้ว ! ” หลายปีมานี้ เพื่อเขาและบ้านหลังนี้แล้วเว่ยเอ๋อร์ต้องเสียสละอย่างมากมาย…
หลินเว่ยเว่ยเผยท่าทางของนักโลภตัวน้อย นางพูดด้วยน้ำเสียงแหลมสูงว่า “ว้าว! 50,000 ตำลึงเงิน ! ท่านพี่ ท่านร้ายกาจจริง ๆ ! ”
หลังจากพูดจบ นางก็ทำหน้าจริงจังแล้วเดินเข้ามาหาเจียงโม่หาน จากนั้นก็เริ่ม ‘ปากว่ามือถึง’ กับเขา เจียงโม่หานรีบจับมือที่อยู่ไม่สุขของนางแล้วกระซิบเบา ๆ ว่า “ไม่ได้ ท่านหมอบอกว่าต้องรออีก 3 เดือนถึงจะ…”
หลินเว่ยเว่ยกลอกตาใส่ “คิดอะไรอยู่ ! ข้ากำลังดูว่าเจ้าซ่อนเงินไว้อีกหรือเปล่าต่างหาก ! ”
ใบหน้าของเจียงโม่หานร้อนผ่าว เขารีบยืนตัวตรงและกางแขนออกเพื่อให้ภรรยาพลิกแขนเสื้อและกระเป๋าเสื้อได้ตามใจชอบ “ก่อนแต่งก็ไม่ได้ตกลงกันแล้วหรือ ? ของข้าคือของเจ้า…หรือในใจเจ้าเห็นข้าเป็นคนไม่น่าเชื่อถือขนาดนั้น ? ”
หลังลูบกระเป๋าเงินที่ว่างเปล่าของเขาแล้วหลินเว่ยเว่ยก็หยิบตั๋วแลกเงิน 500 ตำลึงออกมาสองใบเพื่อยัดใส่กระเป๋าเขา ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ภรรยาที่ดีจะปล่อยให้กระเป๋าเงินของสามีสะอาดกว่าใบหน้าได้อย่างไร ? พกเงินติดตัวไว้หน่อย เวลากินข้าวกับคนอื่นจะปล่อยให้พวกเขาจ่ายอยู่ฝ่ายเดียวไม่ได้หรอก ? ”