“ศิษย์น้องหญิง!”
“อยู่นี่เจ้าค่ะ!”
“จงฟังคำถามนี้!”
“เจ้าค่ะ!”
หลี่ฉางโซ่วสะบัดแขนเสื้อ เด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นหญ้าริมทะเลสาบก็สะดุ้งตัวสั่นทันที ทันใดนั้นนางก็รีบตั้งสติจดจ่ออยู่กับคำถามที่หลี่ฉางโซ่วกำลังจะเอ่ยออกมา
“สมมติว่าฐานพลังวรยุทธ์ของเจ้าถึงขั้นที่เก้าขอบเขตหลอมรวมปราณวิญญาณเทพ ขณะที่เจ้ากำลังบินอยู่ในอากาศ จู่ๆ เจ้าพบสถานที่ซึ่งไม่มีใครอื่น แต่มีผู้บำเพ็ญคนหนึ่งซึ่งอยู่ในขั้นที่หกขอบเขตหลอมรวมปราณวิญญาณเทพกำลังข่มเหงผู้บำเพ็ญหญิงที่ขอบเขตหลอมรวมปราณ เจ้าจะทำอย่างไร…
นี่คือสามทางเลือก
ข้อแรก รีบตรงไปสังหารเขา เพราะเจ้าคือตัวแทนแห่งความถูกต้อง!
ข้อสอง ขว้างอาวุธเวทจากระยะไกลเพื่อโจมตีคนผู้นั้น ทำลายความสนใจของเขาแล้วจากไปอย่างสงบ
ข้อสาม ทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น หลีกลี้ห่างออกไป”
หลันหลิงเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ ดูเหมือนว่าคำถามและทางเลือกเหล่านี้จะไม่ใช่สิ่งที่คนในวัยนางจะเข้าใจได้
หลี่ฉางโซ่วเอ่ยเตือนพร้อมรอยยิ้มว่า “มีคำตอบหลายข้อ เจ้าเลือกได้เลย”
“ข้อแรก?” หลันหลิงเอ๋อร์ตอบอย่างไม่แน่ใจ
หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างราบเรียบว่า “เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าคนผู้นี้ไม่ได้ปกปิดฐานพลังของเขาเอา ไว้ แต่จงใจเปิดเผยเพียงแค่ขั้นที่หกขอบเขตหลอมรวมปราณวิญญาณเทพ ทั้งที่จริงแล้วเขาเป็นผู้บำเพ็ญชั้นสูงที่ขอบเขตคืนกลับอนัตตา?
กล่าวโดยทั่วไปผู้ที่กล้าทำเรื่องชั่วร้ายอย่างโจ่งแจ้งเยี่ยงนี้ ย่อมเป็นคนที่ทั้งน่ารังเกียจและไร้ยางอายอีกด้วย แล้วเจ้าจะฝากความหวังไว้กับความซื่อสัตย์ของเขาได้อย่างไร!”
“เช่นนั้นก็…ข้อสอง?” หลันหลิงเอ๋อร์ขมวดคิ้ว
“ศิษย์น้องหญิง เจ้าต้องไม่ลืมว่าเจ้าก็เป็นผู้บำเพ็ญหญิงด้วย” หลี่ฉางโซ่วกล่าวพลางถอนหายใจ “หากการสันนิษฐานที่หลากหลายของข้อแรกเป็นจริง เจ้าเดรัจฉานตัวนี้เห็นเจ้าว่ามีรูปโฉมงดงามเพียงใด มิยิ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานกว่าเดิมหรอกหรือ เช่นนั้นไม่ใช่ว่าเจ้าเป็นคนพาตนเองเข้าไปเอี่ยวหรือไร แล้วเขาจะไม่ทำร้ายเจ้าไปด้วยอีกคนหรือ”
หลันหลิงเอ๋อร์พลันหน้าแดง รู้สึกมึนงงและสับสนไปชั่วครู่ ค่อยตอบอย่างเขินอายว่า “แต่ศิษย์พี่ ทางเลือกข้อสามไม่ใช่สิ่งที่พวกเราซึ่งเป็นผู้บำเพ็ญควรทำ ยามที่ข้ายังเด็กมากท่านพ่อของข้าบอกว่า ข้ากับพี่น้องของข้าควรยืนหยัดเพื่อลงโทษคนพาลและอภิบาลคนอ่อนแอ ท่านพ่อยังบอกข้าว่าหากทุกคนเลือกที่จะวางเฉยไม่ช่วยเหลือเมื่อพบความอยุติธรรม แล้วครั้งใดที่เหยื่อเป็นพวกเขาเองล่ะ จะไม่…”
“ไม่ใช่ ศิษย์น้องหญิง เจ้าต้องจำไว้ว่าหากเจ้าอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สงบและเป็นมิตร เช่นนั้น ความคิดเยี่ยงนี้ของเจ้าย่อมถูกต้องอย่างแน่นอน แต่ยุคบรรพกาลนั้นหาได้สงบสุขไม่ ผู้บำเพ็ญชั้นสูงมากมายนับไม่ถ้วนอยู่โดยรอบ เหล่าผู้บำเพ็ญมักจะต่อสู้เพื่อแย่งชิงอาวุธเวทหรือรากวิญญาณ ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่ที่รอดชีวิตมาได้นั้นล้วนโหดเหี้ยมเป็นส่วนมาก”
หลี่ฉางโซ่วจ้องมองดูพื้นผิวของทะเลสาบโดยเอามือไพล่ไว้ข้างหลังแล้วถอนหายใจ “เป็นเรื่องยากสำหรับผู้ที่จิตใจดีมีคุณธรรมและกล้าหาญจะมีชีวิตอยู่รอดได้ในโลกนี้ สิ่งเดียวที่เราควรต้องทำคือป้องกันตัวเองจากการทำความชั่ว แต่ไม่จำเป็นที่เราจะต้องไปหยุดยั้งไม่ให้ผู้อื่นกระทำการเช่นนั้น…
แทนที่จะเป็นผู้กล้าเมื่อยังแข็งแกร่งไม่พอ ย่อมดีกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป รอจนกว่าเจ้าจะขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดและกลายเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ จากนั้นก็จะสามารถเปลี่ยนสภาพแวดล้อมสำหรับการดำรงชีวิตของผู้อ่อนแอในโลกบรรพกาลได้
เช่นนั้นแล้ว เจ้าเข้าใจหรือไม่”
“เจ้าค่ะ!”
หลันหลิงเอ๋อร์พยักหน้าหงึกหงักยืนยันอย่างหนักแน่นพร้อมด้วยดวงตาเจิดจ้า
ในขณะนั้นศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองล้วนไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีควันสีเขียวจางๆ ลอยออกมาจากกระท่อมที่อยู่ไม่ไกล และล่องลอยไปอยู่ทางด้านหลังของพวกเขาเงียบๆ
หลี่ฉางโซ่วกล่าวเสียงเข้มว่า “ศิษย์น้องหญิง! ข้าจะให้โอกาสเจ้าเลือกอีกครั้ง จงกล่าวคำตอบของเจ้าออกมาดังๆ อย่างเต็มใจและหนักแน่น! หากเจ้าเห็นผู้บำเพ็ญชายจะรังแกผู้บำเพ็ญหญิง เจ้าจะทำอย่างไร”
ยามนี้ดวงตาของหลันหลิงเอ๋อร์เปล่งประกายสว่างจ้า แม้เสียงของนางจะไม่ดังมากนัก แต่ก็ฟังดูหนักแน่นเป็นพิเศษ “ทางเลือกข้อที่สาม แสร้งทำเป็นไม่เห็นมัน! แล้วหลีกหนีไป!”
“ถูกต้อง!” หลี่ฉางโซ่วอดไม่ได้ต้องยกนิ้วโป้งให้ศิษย์น้องหญิงของเขาด้วยความรู้สึกประทับใจกับคำตอบของนางเล็กน้อย
หลี่ฉางโซ่วบรรลุผลเช่นนี้ได้ด้วยบทเรียนเพียงสองวันเท่านั้น หากเป็นเยี่ยงนี้ต่อไป ภายในเวลาอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เขาย่อมไม่ต้องห่วงว่าศิษย์น้องหญิงของเขาจะสร้างปัญหาและพัวพันมาถึงตัวเขาด้วย!
การมีศิษย์น้องหญิงผู้หนึ่งที่รู้วิธีเก็บตัวไม่ให้สะดุดตาเพื่อความอยู่รอดนั้น จริงๆ แล้วช่าง…
ทันใดนั้น ก็มีลมหนาวพัดมาจากทางด้านหลังของเขา แล้วทั้งสองศิษย์พี่ศิษย์น้องก็ต้องขนลุกชันขึ้นทันทีที่ได้ยินเสียงแหบชราเย็นยะเยือกดังมาจากทางด้านหลังของพวกเขา
“หลี่! ฉาง! โซ่ว!”
กึกๆๆ…
นั่นคือเสียงฟันกระทบกันของหลันหลิงเอ๋อร์
มุมปากของหลี่ฉางโซ่วกระตุก เขาหันกลับไปมองแล้วรีบปรับเป็นใบหน้ายิ้มแย้มทันที
“ท่านอาจารย์! ท่านออกจากการปิดด่านฝึกบำเพ็ญแล้วหรือ วันนี้ท่านจะเริ่มสอนบทเรียนให้ศิษย์น้องหญิงหรือขอรับ…ท่านอาจารย์! ท่านมีอะไรจะพูดก็คุยกันได้ เอ๋! ท่านอาจารย์! เหตุใดท่านถึงเอาแส้หางม้าของท่านออกมาขอรับ… อย่างไรข้าก็ยังเป็นศิษย์สายตรงคนแรกของท่าน! ท่านไม่อาจทำร้ายศิษย์คนโตเมื่อท่านพบศิษย์น้องแล้วนะขอรับ ท่านอาจารย์!”
“ไอ้สารเลว!”
เครายาวและเส้นผมของนักพรตเต๋าชราปลิวไปรอบๆ ในอากาศ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ขณะยกแส้หางม้าขึ้นมาหมายจะใช้มันฟาดหลี่ฉางโซ่ว
“เจ้ามันไอ้ขี้ขลาดแล้วยังกล้ามาสั่งสอนศิษย์น้องของเจ้าเช่นนั้นอีกได้อย่างไรกัน! ในฐานะอาจารย์ของเจ้า วันนี้ข้าต้องสั่งสอนเจ้าให้รู้สำนึกให้จงได้!”
เสียแต่ว่าเมื่อแส้หางม้าฟาดลงมา ร่างของหลี่ฉางโซ่วก็ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีเขียวคราม และเขาก็ไปปรากฏกายขึ้นที่อีกด้านหนึ่งของต้นหลิวทันที ก่อนจะขอความเมตตาจากท่านอาจารย์ของเขาอีกครั้ง
“เจ้ายังกล้าหนีด้วยเวทหลีกรุกข์เร้นกายอีกหรือ! สมควรฟาดให้หนักจริงๆ!”
ฉีหยวนยิ่งบันดาลโทสะมากขึ้น ถือแส้หางม้าของเขาไล่ตามหลี่ฉางโซ่วไปอย่างเกรี้ยวกราด
ร่างของหลี่ฉางโซ่วก็กระโดดลอยถอยออกไปทางด้านหลังเพื่อหลีกเลี่ยงการไล่ล่าของอาจารย์อย่างต่อเนื่อง ทันใดนั้นฉีหยวนเริ่มร่ายเวท แส้หางม้าของเขาขยายยาวออกไปอย่างบ้าคลั่ง มีเงามืดเกิดขึ้นในท้องฟ้าจากแส้ที่กวาดออกไป แต่หลี่ฉางโซ่วก็เคลื่อนกายพลิ้วไหวได้ดุจปลาหนีชิวที่สามารถหาช่องโหว่หลบลอดผ่านไปได้ตลอดเวลา
“ท่านอาจารย์ โปรดระงับโทสะด้วยขอรับ ที่ข้าทำไปทั้งหมดนั้นก็เพื่อผลประโยชน์ของศิษย์น้องหญิงเท่านั้นขอรับ”
“สำนักตู้เซียนของเราเป็นสำนักของผู้บำเพ็ญมนุษย์ซึ่งเป็นหนึ่งในสามสำนักเซียน! แล้วเหตุใดเราถึงต้องมีคนเช่นเจ้าที่เต็มไปด้วยความคิดนอกรีตและชั่วร้ายอยู่ในสำนักของเราด้วย”
“ทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเพราะสายตาเฉียบแหลมของท่านอาจารย์ในการมองหาอัจฉริยะขอรับ”
“เหอะ! วันนี้ข้าจะเตะเจ้าออกไปจากสำนักของเราให้ได้ สำนักของเราจะได้สะอาดขึ้น ว้าก! เจ้ามันกวนโทสะข้าจริงๆ!”
“ท่านอาจารย์ เวลาท่านโกรธแล้ว ดูไม่ดีเลยขอรับ…”
และภายใต้ร่มเงาของต้นหลิวนั้น หลันหลิงเอ๋อร์ซึ่งเดิมที รู้สึกเป็นกังวลยิ่งนักเมื่อเห็นท่านอาจารย์กำลังไล่หวดศิษย์พี่ของนาง ทว่าหลังจากนั้น นางก็ค่อยๆ ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเพราะ ‘พฤติกรรมตลก’ ของท่านอาจารย์และศิษย์พี่ของนาง
หลันหลิงเอ๋อร์รู้ว่าท่านอาจารย์ไม่ได้คิดจะลงโทษศิษย์พี่ของนางอย่างโหดร้ายจริงๆ เนื่องจากหลี่ฉางโซ่วยังสามารถหลบหนีไปได้อย่างง่ายดาย
หลังจากไล่ล่ากันไปได้สักพักหนึ่ง ก็ดูเหมือนว่าศิษย์พี่ของนางจะลื่นไถลแล้วล้มลงไปกับพื้น และทันใดนั้นท่านอาจารย์ก็รีบกระโดดเข้าไปแล้วตรึงเขาไว้กับพื้นทันที จากนั้นก็ใช้แส้หางม้าหวดก้นของศิษย์พี่อย่างดุเดือดจนเกิดเสียงเป็นจังหวะในระหว่างนั้น
ไม่นานหลังจากนั้น ฉีหยวนเสร็จสิ้นการลงโทษศิษย์คนโตของเขาอย่างหนำใจ เขาลุกขึ้นแล้วจัดชุดคลุมเต๋าที่ยับย่นยุ่งเหยิงของเขาให้ดูเรียบร้อยขึ้น ก่อนจะตวาดใส่ศิษย์ผู้น่าสงสารซึ่งยังคงนอนพะงาบอยู่บนพื้น “สมควรต่อการกระทำของเจ้าแล้ว นับจากนี้ไปเจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้สอนเกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติตนในภายภาคหน้าของศิษย์น้องหญิงของเจ้า! รีบไปสร้างกระท่อมมุงจากของนางให้เสร็จเดี๋ยวนี้!”
“ขอรับ ศิษย์น้อมรับคำสั่งอาจารย์…”
“หลิงเอ๋อร์ มานี่สิ อาจารย์จะสอนเจ้าเอง! แล้วจงลืมหลักการวิปริตที่ศิษย์พี่สั่งสอนเจ้าไปให้หมดสิ้น!”
“เจ้าค่ะ!” หลิงเอ๋อร์ส่งเสียงตอบกลับแผ่วเบา นางมองดูบั้นท้ายบวมเป่งของศิษย์พี่ที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมของเขาอย่างเป็นห่วง จากนั้นก็เหลือบเห็นมือขวาซึ่งซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของเขา…
มือขวากำลังโบกเบาๆ ให้นาง แล้วยกนิ้วโป้งให้นาง
เมื่อเห็นเช่นนั้นหลันหลิงเอ๋อร์จึงเบาใจขึ้น เมื่อเห็นว่าศิษย์พี่นอนอยู่บนพื้นหญ้าในสภาพน่าอนาถเพียงใด นางก็ก้มศีรษะลงไปหัวเราะคิกคักก่อนจะรีบตามอาจารย์ที่เดินจากไปก่อนหน้านาง
ก้าวเดินของนางค่อยๆ เร็วขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นวิ่ง
หลังจากนั้นหลี่ฉางโซ่วก็ถอนหายใจเบาๆ ขณะที่เขายังนอนอยู่ที่นั่น ทันใดนั้นก็มีก้อนเมฆขาวลอยมาหาเขาและโอบอุ้มเขาขึ้นไป
อาจารย์จัดหนักเต็มที่จริงๆ!
หลี่ฉางโซ่วสัมผัสบั้นท้ายของเขาพลางซู้ดปากเบาๆ ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
หากรู้ว่าอาจารย์จะตีเขาจริงๆ หลี่ฉางโซ่วจะไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองถูกจับได้อย่างแน่นอน
ไม่สิ เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เขาต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีของอาจารย์ด้วย เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความหวังของอาจารย์ที่จะทะยานสู่เซียนก็เบาบางลงในขณะที่ท่านต้องเผชิญกับแรงกดดันมหาศาล ดังนั้น มันจึงเป็นงานหนักอย่างยิ่ง
เมื่อพิจารณาจากวิชาเวทที่อาจารย์ใช้เมื่อครู่ก่อนนี้ เขาพบว่าภายนอกอาจดูแข็งแกร่งแต่ที่จริงแล้วภายในอ่อนแอ การเล็งเป้ามาที่เขาด้วยพลังลมปราณนั้นยังไม่ต่อเนื่อง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าอาจารย์รีบร้อนเร่งเพิ่มพูนขอบเขตพลังของเขามากเกินไป
แต่ไม่เป็นไร หลี่ฉางโซ่วจะต้องคิดหาวิธีเพิ่มโอกาสให้อาจารย์ข้ามผ่านทัณฑ์สวรรค์ไปให้ได้
หลี่ฉางโซ่วเกาศีรษะของเขาพลางครุ่นคิดอย่างหนักในขณะที่นอนราบไปกับก้อนเมฆที่ค่อยๆ ล่องลอยไปยังกระท่อมมุงจากหลังที่สามซึ่งเกือบจะสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว
……
ราตรีนี้ หลันหลิงเอ๋อร์นอนอยู่ในกระท่อมมุงจากที่ศิษย์พี่ของนางเพิ่งสร้างขึ้นมาให้ นางรู้สึกถึงความนุ่มนวลของฟางที่อยู่ใต้ร่างในขณะที่พลิกกายไปมาอีกครั้งเพราะนอนไม่หลับ
ช่วงสองสามวันมานี้ ทุกอย่างล้วนดุจดั่งความฝัน
ปีนี้…ในวัยเก้าขวบของนาง หลันหลิงเอ๋อร์ได้ไปเที่ยวตลาดกับมารดา นั่นคือยามที่นางได้พบกับเซียนชราผู้หนึ่งและได้รับการยอมรับให้เป็นศิษย์ของเขา
แม้บิดามารดาจะไม่เต็มใจแยกจากกับนาง แต่นี่ก็ต้องนับว่าเป็นเรื่องดีสำหรับพวกเขา หากนางสามารถฝึกฝนได้สำเร็จ ตระกูลของนางย่อมจะได้รับประโยชน์จากความรุ่งโรจน์ของนาง
ดังนั้นหลังจากพิธีกราบไหว้อาจารย์ที่บ้าน นางก็ได้ติดตามอาจารย์มายังสำนักตู้เซียนในฐานะศิษย์ของเขาอย่างเป็นทางการ พร้อมคำแนะนำมากมายจากมารดา…
แล้วที่แห่งนี้นางก็ได้พบกับศิษย์พี่ผู้ที่ดูออกจะแปลกประหลาดอยู่สักหน่อย
ศิษย์พี่ของนางมีความคิดเห็นมากมายที่ฟังดูสมเหตุสมผลยิ่งเมื่อได้ฟังครั้งแรก ทว่าเมื่อใคร่ครวญให้ลึกซึ้งอีกครั้งก็จะรู้สึกว่าไม่ค่อยถูกต้องอยู่บ้าง
อาจารย์เตือนซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าศิษย์พี่เป็นคนแปลกประหลาด และไม่ให้เรียนรู้หลักการใช้ชีวิตจากเขา แต่ข้ากลับรู้สึกว่าศิษย์พี่เป็นผู้บำเพ็ญที่ทรงพลังอย่างมาก
บนภูเขาไม่ได้มีมารยาทพิธีการและกฎเกณฑ์มากนัก ทั้งขุนเขาและทะเลสาบล้วนเต็มไปด้วยอาหารเลิศรส ส่วนการฝึกบำเพ็ญเต๋าก็ค่อนข้างน่าสนใจ อย่างน้อยชีวิตก็ไม่น่าเบื่ออย่างที่เคยคิดเอาไว้ก่อนมาที่นี่
แน่นอนว่าสิ่งที่มีความสุขที่สุดคือได้กินไก่ย่างของศิษย์พี่ ให้อาหารปลาด้วยกัน เดินเล่นบนภูเขาด้วยกัน หาของอร่อยๆ ในป่ามาเติมจนเต็มท้องก่อนที่จะนั่งเงียบๆ อยู่ริมทะเลสาบสักพัก และฟังศิษย์พี่แบ่งปันความคิดนอกรีตของเขาเหล่านั้น…
แล้ววันข้างหน้าจะเป็นเช่นนี้หรือไม่
หลันหลิงเอ๋อร์นอนซุกกายอยู่ในผ้าห่มที่ทำขึ้นด้วยวัสดุที่ไม่รู้จักในขณะที่ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วหันหน้าไปทางหน้าต่าง
ทว่าจู่ๆ นางก็รู้สึกเหมือนเห็นเงาร่างหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ตรงหน้า นางลืมดวงตาที่ปรือสะลึมสะลือขึ้นมาเล็กน้อย และตื่นเต็มตาขึ้นมาทันทีด้วยความตกใจ ร่างเล็กกะทัดรัดของนางพลันสั่นสะท้านอย่างมิอาจควบคุมได้
นอกหน้าต่างนั้น หลี่ฉางโซ่วกำลังนอนอยู่บนก้อนเมฆสีขาวและโบกมือไหวๆ ให้นางเบาๆ
“บทเรียนยามราตรี สาวน้อย”
“หือ?” หลิงเอ๋อร์กะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มแล้วพยักหน้าเบาๆ “อืม…”
“ต่อไป จงฟังคำถามที่สอง!”
เอ่อ…ศิษย์พี่เป็นคนแปลกประหลาดจริงๆ
……
ดังนั้น สิบปีต่อมา…
…………………………………………………………………………………………………………………