เปรี้ยง!
เปรี้ยง!
ในยามบ่ายอันเงียบสงบ ท่ามกลางค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาที่บางเบาและราบเรียบของสำนักตู้เซียนปกคลุมไปทั่วผืนดิน
บนยอดเขาหยกน้อยซึ่งเตี้ยกว่ามากเมื่อเทียบกับยอดเขาอื่นๆ มีเสียงกระแทกหนักเป็นจังหวะดังก้องกังวานไปทั่ว…
ในป่าทึบซึ่งอยู่ห่างออกไปทางเหนือราวสิบลี้จากกระท่อมหญ้าฟางสามหลังริมทะเลสาบ มีต้นไม้สูงตระหง่านที่สั่นไหวทุกครั้งด้วยเสียงนี้
ใต้ต้นไม้มีสตรีน้อยสวมชุดฝึกฝนซึ่งปักลายดอกกล้วยไม้และหญ้ายืนอยู่ เส้นผมของนางถูกมัดเอาไว้ด้วยผ้าไหมสีม่วง นางกำลังจามขวานใหญ่ไปที่ต้นไม้นั้นไม่หยุด แต่ถึงกระนั้นการเคลื่อนไหวของนางก็ยังดูงดงามอย่างยิ่ง
สตรีน้อยผู้นี้กัดฟันกล่าวอย่างจริงใจ ‘ด้วยความเคารพ’ ว่า
“ท่านห้ามไม่ให้ข้าใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ แล้วหากแขนขาของข้ามีกล้ามขึ้นปูดโปนเป็นก้อนไปหมด ข้าจะทำอย่างไรเล่า! ข้าเป็นผู้บำเพ็ญหญิงนะ!
จริงสิ…ท่านบอกว่าจะมาดูข้าตัดต้นไม้ แล้วคนไปอยู่ที่ใดกันเล่า! ท่านกลับแล่นไปนั่งสมาธิอีก!
ฮึ่ม! เจ้าศิษย์พี่หน้าเหม็น ข้าจะตัดรากถอนโคนซะ ทำลายลำต้นและกิ่งก้านของเจ้า จะตัดรากทั้งหมดของเจ้าทิ้ง ไม่ให้เหลือหญ้าไว้แม้แต่ชุ่นเดียว! คอยดูนะ ข้าจะทำลายให้หมด!”
เปรี้ยง!
ต้นไม้โบราณก็ค่อยๆ โอนเอนไปมาช้าๆ ก่อนที่มันจะร่วงลงสู่พื้นดินในที่สุด ทำให้ฝูงนกทั้งหมดในป่าล้วนตื่นตระหนกฉับพลัน
แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงตะโกนดังมาจากด้านหลังของนาง
“เจ้าคือ…หลิงเอ๋อร์น้อยใช่หรือไม่”
หลันหลิงเอ๋อร์พลันระมัดระวังตัวทันที ถือขวานยักษ์ไว้แล้วกระโดดตัวลอยไปข้างหน้า เมื่อนางลงสู่พื้นดินจึงหันหลังกลับแล้วมองขึ้นไปยังร่างที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า รู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง
เซียนสตรีที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนน้ำเต้าสุราขนาดสิบฉื่อ แต่งกายด้วยผ้าป่านที่ดูมอมแมมนิดหน่อย… ไอ้หยา ผ้าป่านเหมือนว่าจะฉีกขาดเป็นริ้วๆ ได้ทุกเมื่อ…
อ๊ะ เป็นอาจารย์อาจิ่วจิ่วนั่นเอง!
หลันหลิงเอ๋อร์พลันรีบวางขวานยักษ์ลงอย่างรวดเร็ว ประสานมือทำการคารวะเต๋าให้อาจารย์อาจิ่วจิ่ว นางหวนนึกถึงรูปแบบคำทักทายหลายชุดที่ศิษย์พี่ของนางเคยสั่งสอนเอาไว้ แล้วเลือกแบบที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่สุดก่อนจะกล่าวออกมาเบาๆ ว่า
“ศิษย์หลิงเอ๋อร์ ขอน้อมพบอาจารย์อาจิ่วจิ่วเจ้าค่ะ พื้นฐานการฝึกฝนของศิษย์ยังด้อยนัก จึงไม่อาจต้อนรับท่านได้เร็วพอ โปรดอภัยศิษย์ด้วยเจ้าค่ะอาจารย์อาจิ่วจิ่ว”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ไม่ต้องมากพิธี” จิ่วจิ่วมองศิษย์หลานแสนน่ารัก มารยาทงามและวาจาไพเราะที่อยู่ด้านล่างนางด้วยความเอ็นดู
จากนั้นจิ่วจิ่วก็เก็บน้ำเต้าใหญ่แล้วกระโดดลงมาจากท้องฟ้า
“ศิษย์พี่ของเจ้าอยู่ที่นี่หรือไม่ ข้ากำลังตามหาเขา”
“ศิษย์พี่น่าจะกำลังฝึกบำเพ็ญอยู่เจ้าค่ะ” หลันหลิงเอ๋อร์เลิกคิ้วแล้วกล่าวเชิญอย่างสุภาพอ่อนน้อมว่า “ท่านอาจารย์อา เชิญท่านเข้าไปรอในบ้านก่อน แล้วข้าจะรีบไปเชิญท่านอาจารย์ให้ออกจากการบำเพ็ญมาต้อนรับท่านด้วยดีหรือไม่เจ้าคะ บ้านต่ำต้อยนี้ไม่ค่อยได้ต้อนรับผู้ใด หากบกพร่องสิ่งใดขอท่านอาจารย์อาโปรดอภัยให้ศิษย์ด้วยเจ้าค่ะ”
“เฮ้ ไม่ต้องลำบากเพียงนั้น ข้าแค่แวะมาหาศิษย์พี่ของเจ้าเท่านั้น อาจารย์เจ้ากำลังจะบรรลุกลายเป็นเซียนแล้ว ปล่อยให้เขาบำเพ็ญเพียรไป อย่าได้รบกวนเขา”
จิ่วจิ่วโบกมือก่อนจะหันศีรษะไปสำรวจพื้นที่โดยรอบแล้วกล่าวว่า “หลิงเอ๋อร์น้อย เจ้าจะตัดไม้ไปทำอันใดกัน”
“เป็นวิธีการฝึกฝนอย่างหนึ่งเจ้าค่ะ ทำให้ท่านอาจารย์อาต้องขบขันแล้ว”
หลันหลิงเอ๋อร์รีบตอบกลับฉับไว แต่ก็รู้สึกสงสัยอยู่ในใจเล็กน้อย
ท่านอาจารย์อาผู้นี้มาหาศิษย์พี่ด้วยเหตุใดกันนะ
หลังจากกลายเป็นเซียนผู้บำเพ็ญเพียรจะมีอายุขัยยืนยาวนาน มีมากมายที่กลายเป็นคู่บำเพ็ญเต๋าข้ามรุ่นกันในสำนัก
ส่วนอาจารย์อาที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าก็มีหน้าตาสะสวย รูปร่างก็ดียิ่ง ถึงแม้นางจะดูกระเซอะกระเซิงไปบ้างแต่ก็งดงามเป็นธรรมชาติ และยังมีความสามารถยอดเยี่ยมด้วย
ประเด็นสำคัญคือท่านอาจารย์อาจิ่วจิ่วผู้นี้ได้ออกเดินทางไปกับศิษย์พี่…
มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล!
หลันหลิงเอ๋อร์ตื่นตัวอย่างกะทันหัน ความคิดของนางปั่นป่วนวุ่นวาย ขณะที่อยากถามจิ่วจิ่วว่าเหตุใดจึงมาที่นี่
แต่ก่อนที่นางจะทันได้เอ่ยวาจาใดออกไป ฉับพลันนั้นก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้นที่พื้นดินห่างออกไปไม่ไกล แล้วร่างของหลี่ฉางโซ่วก็ค่อยๆ โผล่ขึ้นมา ประสานมือโค้งคารวะให้จิ่วจิ่ว…
ไม่นานหลังจากนั้น หลี่ฉางโซ่วและจิ่วจิ่วก็นั่งขัดสมาธิอยู่คนละด้านของโต๊ะเตี้ยในกระท่อมมุงจากของหลี่ฉางโซ่ว
นางมาที่นี่เพื่อมอบรางวัลจากงานชุมนุมหาประสบการณ์ที่ผ่านมาให้กับหลี่ฉางโซ่ว และยังนำของขวัญขอบคุณจากเจียงจิ่งซานมามอบให้อีกด้วย นางจึงวางคลังเวทจัดเก็บสองชิ้นไว้บนโต๊ะเตี้ยนั้น
หลี่ฉางโซ่วก็ยอมรับมันในทันทีโดยไม่ได้มากพิธีใดๆ
เมื่อเห็นสมบัติเวท อาวุธเวท รวมถึงศิลาวิญญาณกองเป็นเนินเขาอยู่ในแหวนขุมทรัพย์ที่อาจารย์ป้าเจียงจิ่งซานมอบให้เขา ในใจของหลี่ฉางโซ่วก็เต็มไปด้วยความโล่งใจยิ่งนัก
ตอนที่เขาสำรวจเส้นชีพจรพิภพของยอดเขาหยกน้อยก่อนหน้านี้ หลี่ฉางโซ่วยังคงกังวลเกี่ยวกับทรัพยากรที่เขาต้องใช้ในการสร้างค่ายกลต่างๆ มากมาย แต่หลังจากได้รับของขวัญจากอาจารย์ป้าเจียงจิ่งซาน ปัญหากว่าครึ่งของเขาก็คลี่คลายลงได้ในทันที
หลี่ฉางโซ่วพลันเอ่ยถามว่า “เหตุใดท่านอาจารย์อาจึงไม่ไปดินแดนเทวะทักษิณด้วยขอรับ”
“เฮ้อ…” จิ่วจิ่วถอนหายใจยาวแล้วฟุบลงบนโต๊ะ ดวงตาของนางค่อยๆ หรี่แสงลงขณะกล่าวออกมาว่า “เดิมทีข้าก็อยากจะไปดูเล่นรอบๆ เช่นกัน แต่เมื่อกลับไปที่ยอดเขา พวกเขาก็เอาแต่ซักถามและตำหนิข้าให้รับผิดชอบมาจนถึงยามนี้…
บัดนี้ข้าเพิ่งออกมาจากหอลงทัณฑ์ และยังกังวลใจนัก บรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายล้วนสั่งลงโทษข้าด้วยการห้ามดื่มสุราเป็นเวลาสามปี อา…เหตุใดพวกเขาไม่มัดข้าไว้กับเสาสื่อสายฟ้า แล้วให้สายฟ้าฟาดข้าสามปีแทนเล่า…”
หลี่ฉางโซ่วอดยิ้มไม่ได้ แล้วจากนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่าน้ำเต้าที่ใส่สุราติดตัวของจิ่วจิ่วหายไปแล้ว น่าจะเป็นเหล่าผู้อาวุโสของสำนักที่เอามันไป
ประจวบเหมาะกับที่หลันหลิงเอ๋อร์เข้ามาในกระท่อมพร้อมกับชา ครั้นเมื่อเห็นภาพเช่นนี้นางก็เม้มปากฉับพลัน
ด้วยท่าทางสบายๆ ไม่มีพิธีรีตองเช่นนั้น อาจารย์อาผู้นี้เข้ากับศิษย์พี่ได้ดียิ่ง
นางมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลจริงๆ
หลันหลิงเอ๋อร์วางถ้วยชาแล้วจึงถือเบาะนั่งสมาธิไปที่ด้านข้างของศิษย์พี่ของนาง ก่อนจะคุกเข่าลงนั่งด้วยใบหน้าพร้อมเชื่อฟังคำสั่ง อีกทั้งจงใจเบียดแขนของนางกับหลี่ฉางโซ่ว
จิ่วจิ่วจ้องมองหลี่ฉางโซ่วทันทีที่เห็นเช่นนี้ “หือ? ฉางโซ่วอาการผิดปกติของเจ้าเล่า”
“ข้าไม่มีปัญหาใดเมื่อนางสัมผัสข้า อาจเป็นเพราะข้ากับศิษย์น้องหญิงรู้จักกันมานานแล้ว” หลี่ฉางโซ่วชี้แจงอย่างสงบ “แต่เมื่อสัมผัสกับสตรีอื่นที่ไม่ใช่นาง ข้าก็จะเกิดอาการชักและอาการอื่นๆ อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ขอรับ”
“แค่ก! แค่ก! แค่ก!”
หลันหลิงเอ๋อร์ปิดปากแล้วไออยู่สักพักหนึ่ง นางมีสีหน้าเจ็บปวดจากการพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดชีวิตของนาง
“อ้อ ข้าเข้าใจแล้ว”
จิ่วจิ่วไร้ข้อกังขา นางยังคงฟุบอยู่บนโต๊ะพร้อมกับคร่ำครวญแล้วถอนหายใจออกมาด้วยท่าทางหมดอาลัยตายอยากในขณะที่ดวงตาทั้งสองของนางก็ดูเซื่องซึมยิ่งนัก
“สามปี ในสามปีนี้ข้าจะทนได้อย่างไร…
ข้าจะปิดด่านบำเพ็ญเพียรโดยไม่มีสุราได้อย่างไร ข้าจะฝึกฝนวิชาได้อย่างไร ข้าไม่อาจนอนหลับ ไม่อาจจะทำสิ่งใดได้อีก…
ต้องโทษเจ้าสารเลวหยวนชิง เหตุใดเขาต้องวางแผนทั้งหมดนี้ นอกจากเขาจะทำให้ตัวเองเดือดร้อนแล้ว ยังทำให้ข้าต้องมาทนรับโทษสามปีอีกด้วย”
หลี่ฉางโซ่วได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วครุ่นคิด พลางลูบคางสักพักแล้วถอนหายใจ
เมื่อหลันหลิงเอ๋อร์เห็นสีหน้าท่าทีของศิษย์พี่ในเวลานี้ นางก็ขยับไปด้านข้างแล้วนั่งตัวตรง มองไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่โดยไม่กล้าเอ่ยวาจาใดแม้แต่คำเดียว
นางลอบมองมุมคิ้วของหลี่ฉางโซ่วที่เฉียงลงอีกครั้ง จากนั้นก็มั่นใจว่าศิษย์พี่ของนางกำลังคิดจะล่อหลอกใครสักคน!
ทุกครั้งที่ศิษย์พี่ของนางมีท่าทางเยี่ยงนี้ ไม่ว่าจะเป็นนางหรืออาจารย์ของนางก็จะต้องถูกเขาใช้งานให้อยู่ในแผนของเขา!
“ท่านอาจารย์อาจิ่ว เหตุใดพวกเราไม่ลองเจรจากันสักหน่อยเล่าขอรับ”
“หือ? เจรจาอันใดกัน” จิ่วจิ่วถามอย่างอ่อนแรง
“ท่านอาจารย์อาจิ่วไม่อาจดื่มสุราได้ในช่วงสามปี หากท่านไม่อาจฝึกบำเพ็ญด้วยเหตุนี้แล้ว ท่านมาช่วยศิษย์สร้างค่ายกลบางอย่างร่วมกันดีหรือไม่ขอรับ” หลี่ฉางโซ่วถามจริงจังขณะกล่าวต่ออย่างเคร่งขรึมว่า “และเพื่อเป็นการขอบคุณที่ท่านช่วยเหลือ ศิษย์จะช่วยท่านอาจารย์อาบ่มสุราชั้นเยี่ยมสามชนิดที่ในยามนี้หาไม่ได้อีกแล้ว หลังจากสามปีผ่านไปท่านอาจารย์อาย่อมจะได้สำราญใจกับมัน ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังจะได้เครื่องดื่มที่สามารถทดแทนสุราได้ด้วยขอรับ”
สุราชั้นเยี่ยมที่ในยามนี้หาไม่ได้อีกแล้วหรือ เครื่องดื่มที่สามารถทดแทนสุราได้หรือ
ทันใดนั้นจิ่วจิ่วก็เริงร่าขึ้นมาอย่างกะทันหัน และลุกขึ้นนั่งตัวตรงทันที “อันใดกัน เจ้ากำลังหลอกล่อให้ข้าทำงานให้หรือ ขอบอกให้รู้ก่อนนะว่าข้าไม่ได้เก่งกาจเรื่องค่ายกล”
“ท่านอาจารย์อาเพียงต้องใช้พลังเซียนของท่านเพื่อทำให้รากฐานของค่ายกลมีเสถียรภาพและระงับความแปรปรวนของพลังวิญญาณเท่านั้นขอรับ” หลี่ฉางโซ่วกล่าวตอบด้วยรอยยิ้มสงบนิ่งก่อนจะเอ่ยถามต่อว่า “ท่านอาจารย์อาโปรดปรานการดื่มสุราหรือการลิ้มลองสุรา? ท่านชื่นชอบที่รสชาติสุราหรือความรู้สึกยามที่ท่านเมาสุรา?”
“อืม…” จิ่วจิ่วครุ่นคิดไปมาก่อนกล่าวว่า “ข้าชอบทั้งหมด ข้าเข้าร่วมสำนักเมื่ออายุสามขวบ แล้วบังเอิญศิษย์พี่ห้าผู้เป็นคนดูแลข้านั้นโปรดปรานการดื่มสุรามาก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาเข้าใจผิดแล้วโยนข้าลงไปอาบน้ำในถังสุรา แต่นั้นมาข้าก็ขาดมันไม่ได้
คงไม่ต้องบอกหรอกนะว่ารสชาติสุรานั้นมีความสำคัญมาก เฉกเช่นความรู้สึกล่องลอยยามมึนเมาเล็กน้อยก็ให้ความสบายอย่างยิ่งเช่นกัน”
“เช่นนั้นท่านอาจารย์อาโปรดดูสิ่งนี้สักหน่อยเถิด”
หลี่ฉางโซ่วชี้ไปที่ถ้วยชาที่อยู่ตรงหน้าเขา ก่อนจะหยิบกระปุกหยกใบเล็กออกจากแขนเสื้อแล้วเปิดฝากระปุกออกมา จากนั้นก็เหยาะของเหลวสีเขียวอ่อนหนึ่งหยดลงไปในถ้วยชานั้น
ทันใดนั้นก็มีกลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่วทั้งห้องในขณะที่เครื่องดื่มในถ้วยชานั้นก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อนในทันใด
หลี่ฉางโซ่วแย้มยิ้มและกล่าวว่า “ท่านอาจารย์อาลองดูว่าท่านรู้สึกมึนเมาเช่นนั้นหรือไม่”
“เอ๋?” จิ่วจิ่วกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะหยิบถ้วยชาขึ้นมาดมกลิ่นด้วยติดเป็นนิสัย แล้วจึงได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ก่อนจะก้มศีรษะลงจิบมัน แล้วจู่ๆ ดวงตาของนางก็สว่างสดใสขึ้นทันที
จากนั้นนางก็กระดกถ้วยดื่มที่เหลือจนหมดในคราวเดียว
ใบหน้างดงามของจิ่วจิ่วค่อยๆ แดงปลั่งขึ้นช้าๆ ในขณะที่ดวงตาของนางเริ่มพร่ามัวพร้อมกับฉีกยิ้มแฉ่งอยู่ตลอดเวลา
“ของดี…งานดีจริงๆ…”
เคร้ง
ทันใดนั้นถ้วยชาพลันหล่นลงบนโต๊ะขณะที่จิ่วจิ่วค่อยเอนหลังลง ค่อยๆ นอนลงแล้วกลิ้งไปมาบนพื้นช้าๆ ก่อนจะเริ่มหัวเราะคิกคัก จากนั้นนางก็พร่ำเพ้อว่า “ศิษย์พี่เจ็ด ท่านไม่รู้จักอายบ้างหรือไร เอาแต่ตามติดศิษย์พี่หญิงหกทั้งวัน กระทั่งร่วมบำเพ็ญคู่กันมานานหลายปีแล้ว ก็ยังไม่อาจให้กำเนิดทารกได้เลย!…
พวกท่านแต่ละคนต่างก็จับคู่กัน ส่วนข้าถูกลิขิตให้อยู่คนเดียวเพียงเพราะข้าเป็นศิษย์คนที่เก้าใช่หรือไม่… ฮึ่ม เมื่อข้าได้เลื่อนเป็นเซียนเทียน ข้าจะหาบุรุษรูปงามมาสักสองสามคนมารินเหล้าให้ข้าและอาบน้ำให้ข้าทุกๆ วัน…
เสี่ยวฉางโซ่ว…เจ้าห้ามดูถูกอาจารย์ของเจ้าเด็ดขาดนะ…ในกาลก่อนนั้น อาจารย์ของเจ้ายอดเยี่ยมสุดๆ จริงๆ…”
จากนั้นจิ่วจิ่วก็เริ่มส่งเสียงกรนเบาๆ นางกอดเบาะรองนั่งขณะนอนกับพื้น ผล็อยหลับสนิททันที
หลันหลิงเอ๋อร์พลันเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “ศิษย์พี่ นี่คืออันใดกันหรือเจ้าคะ”
“เซียนเมามาย” หลี่ฉางโซ่วกล่าวตอบ “นี่เป็นทั้งโอสถชนิดหนึ่งและเป็นสุราชั้นดีอีกด้วย แต่มันไม่ได้มีสารสุราจริงๆ ฉะนั้นนอกจากทำให้คนมึนเมาก็ไม่ก่อผลอื่นใดอีก ด้วยสารบางอย่างในนั้นข้าได้กำจัดออกไปแล้ว…
ตามบันทึกในตำราโบราณ เมื่อนานมาแล้ว บรรดาเซียนที่ชื่นชอบการดื่มสุราล้วนได้ลองสุราเซียนเมามายนี้ พวกเขาล้วนกรอกสุรานี้เข้าปากรวดเดียวเพราะพวกเขาติดสารในสุราอย่างมาก…
มันได้รับการสกัดขึ้นมาในลักษณะเดียวกับการบ่มสุรา ต่างกันที่สุราส่วนใหญ่ทำจากผลไม้และธัญพืชวิเศษ แต่วัตถุดิบที่ใช้ทำสุราเซียนเมามายคือสมุนไพรสามสิบสองชนิด”
หลันหลิงเอ๋อร์พลันเอ่ยถามอย่างกังวลว่า “แล้วท่านทำขึ้นมาได้ทั้งสามชนิดจริงๆ หรือเจ้าคะ”
หลี่ฉางโซ่วยิ้มพลางพยักหน้าแล้วเหลือบมองไปที่จิ่วจิ่วซึ่งหลับสนิทไปแล้ว จากนั้นก็คิดถึงหอโอสถที่เขากำลังจะสร้างสำเร็จได้ในไม่ช้านี้ แล้วกล่าวตอบว่า “ไม่ใช่แค่สาม แม้กระทั่งสิบสามข้าก็สามารถทำได้ หากมีเซียนเสิ่นมาช่วย หลายสิ่งหลายอย่างที่ข้าคิดว่าจะเป็นไปไม่ได้ก่อนหน้านี้ก็จะสามารถทำได้สำเร็จ หลังจากสร้างหอโอสถเสร็จสมบูรณ์ ด้านความปลอดภัยก็จะยิ่งมั่นคงมากขึ้น”
“เจ้าค่ะ” หลันหลิงเอ๋อร์กล่าวตอบรับพลางมุ่ยปาก เมื่อมองดูอาจารย์อาของนางซึ่งดูสวยน่ารักอย่างยิ่งในขณะที่กำลังหลับสนิท หลันหลิงเอ๋อร์ก็รู้สึกกังวลใจ
สองปีต่อมา
……
ปัง!
จู่ๆ ประตูไม้กระท่อมมุงจากของหลี่ฉางโซ่วก็ถูกเตะเปิดออก จิ่วจิ่วที่แต่งกายด้วยผ้าป่านก็รีบเข้าไปด้านในอย่างกระวนกระวายใจ
“เร็วเข้า! เซียนเมามายของเดือนนี้…”
ไม่อยู่ที่นี่?…
“อ๊ะ ทำไมเจ้าถึงไปหลอมโอสถอีกแล้วเล่า! ข้าน่าจะมัดเจ้าเอาไว้กับเตาหลอมโอสถจริงๆ!”
จิ่วจิ่วกระทืบเท้า สบถด่าเบาๆ ก่อนจะรีบหันหลังกลับแล้วกระโดดขึ้นไปในอากาศอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็รีบวิ่งไปที่ป่าทึบหลังกระท่อมมุงจากในทันที
แต่จู่ๆ นางก็หยุดกะทันหันแล้วเอียงศีรษะไปจ้องมองที่ป่าลึกทึบเบื้องหน้านาง ขณะที่สัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณเล็กน้อย ทำให้เส้นสีดำปรากฏขึ้นบนหน้าผากของนางทันที ในใจนางผุดภาพประสบการณ์อันน่าอับอายมากกว่าสิบครั้ง ที่นางติดอยู่ในค่ายกลในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา…
หากนางไม่รู้ว่ามีสิ่งใดอยู่ข้างหน้า นางย่อมไม่อาจบอกได้ว่ามีค่ายกลประจักษ์อยู่ถึงยี่สิบแปดค่ายกลและค่ายกลลึกลับจำนวนเจ็ดสิบหกค่ายกลอยู่ภายในนั้น พวกมันทั้งหมดเป็นค่ายกลดักจับที่คอยล่อลวงและทำให้สับสนซึ่งเชื่อมต่อทั้งหมดเข้าด้วยกัน!
“ประตูเซิงอยู่ที่ใดกัน นี่ข้าช่วยสร้างสถานที่แห่งนี้ขึ้นมาจริงๆ หรือ…
ที่นี่รึ? ดูเหมือนจะไม่ถูกต้องนะ
หรือเป็นที่นี่? โอ๊ย! ค่ายกลเหล่านี้ช่างน่ารำคาญยิ่ง!…
หลี่ฉางโซ่ว…รีบออกมาเดี๋ยวนี้นะ! หาไม่แล้วข้าจะถล่มยอดเขาของเจ้า!”
ชั่วขณะนั้นก็มีสายลมโชยแผ่วเบาพัดผ่านในผืนป่า ต้นไม้ทั้งหลายพลิ้วไหวไปมา และกระแสพลังวิญญาณในป่าพลันทะยานสูงขึ้น
เสียงแหบเล็กน้อยของหลี่ฉางโซ่วก็ลอยมาตามสายลมว่า “บัดนี้ค่ายกลได้รับการแก้ไขแล้ว ศิษย์กำลังเฝ้าเตาหลอมโอสถอยู่ จึงไม่สะดวกที่จะออกไปต้อนรับขอรับ”
จิ่วจิ่วกะพริบตาขณะมุ่งตรงไปข้างหน้าราวสิบจั้งอย่างระมัดระวัง เมื่อพบว่านางยังคงปลอดภัยอยู่ นางก็บินตรงไปที่กลางป่าทึบอย่างกระวีกระวาดทันที
ที่นั่นมีอาคารรูปทรงสง่างามขนาดเล็กตั้งตระหง่านอยู่อย่างเงียบๆ สายลมที่พัดโชยออกมาพัดพากลิ่นหอมสดชื่นของสมุนไพรให้ฟุ้งกระจายไปทั่วป่า
…………………………………………………………………………………………………………………